ย้อนเวลามาเป็นท่านอ๋องน้อย ตอนที่ 1-11
เล่มที่ 1 บทที่ 11 เป็นแม่สื่อให้หลี่หง
เมื่อออกจากเรือนของหลี่เหล่าไท่ไท่ รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่หยางซื่อก็พลันสลายไปสิ้น ครั้งนั้นเมื่อแต่งเข้ามาเป็นภรรยาของหลี่ซวี่ การดำเนินชีวิตของนางนั้นมิได้สุขสบายเลย แม้บิดาของนางจะรั้งตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ ทว่ามารดาของสามีนั้นเป็นมารดาเลี้ยง ในบรรดาสะใภ้ทั้งสามคนมีเพียงนางที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องใดๆ กับหลี่เหล่าไท่ไท่ ดังนั้นยามปกติจึงพูดจาน้อยความอยู่เป็นทุนเดิม ข้ารับใช้ในจวนสกุลหลี่ต่างไม่ให้ความสำคัญกับพวกเขา ต่อมาตำแหน่งของหลี่ซวี่สูงขึ้นเรื่อยๆ ทว่าเวลาส่วนใหญ่ต้องอยู่นอกจวน เวลาที่จะกลับบ้านนั้นช่างน้อยนัก มิง่ายดายเลยที่ต่อมาหลี่ซวี่จะมีความดีความชอบจนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นโหวเหฺย [1] มีจวนโหวเป็นของตนเอง หลี่เหล่าไท่ไท่ก็ยังดีดลูกคิดรางแก้วย้ายเรือนเข้ามาอยู่ในจวนโหว พูดออกไปแล้วหน้าตาของจวนโหวนั้นใหญ่นัก พวกเขาเองก็จะได้มีหน้ามีตาเช่นกัน
ยิ่งคิดหลี่หยางซื่อยิ่งโมโห
“ฮูหยินเจ้าคะ” จี้หมัวมัวตบหลังนางเบาๆ “ฮูหยินค่อยๆ นะเจ้าคะ ชีวิตของเราจะต้องดีขึ้นเจ้าค่ะ”
“ที่ดีน่ะไปสวรรค์กันหมดแล้ว คนพวกนี้หากไม่ได้ยึดครองจวนโหวย่อมมิมีวันยอมถอดใจ” คำพูดประโยคนี้ของหลี่หยางซื่อนั้นไม่ดังและไม่เบา หากมีผู้ที่อยากจะฟัง ก็สามารถได้ยินได้
“ฮูหยิน ระวังหน้าต่างมีหูประตูมีช่องนะเจ้าคะ” จี้หมัวมัวย่อมรู้ดีว่าหลี่หยางซื่อในยามปกตินั้นเป็นคนนิสัยใจเย็น วันนี้แน่นอนแล้วว่านางโมโหจนลืมตัว
“กำลังจะครบกำหนดเวลาสี่ปีแล้ว ตลอดเวลาสี่ปีมานี้ฮ่องเต้มิเคยแพร่งพรายเบาะแสใดๆ ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นใดแล้วบ้าง? และหากหาเด็กคนนั้นพบ เด็กอายุเพียงห้าขวบก็ต้องมาตายอยุ่ดี จะสามารถทำอันใดได้?” หลี่หยางซื่อพูดอีกประโยคด้วยความโมโห เมื่ออยู่ต่อหน้าลูกสาว น้อยครั้งนักที่นางจะควบคุมตนเองมิได้ คำพูดเหล่านี้นางจึงได้แต่พูดกับจี้หมัวมัว “ช่างเถอะๆ หมัวมัว ไปจวนจงกั๋วกง”
“เจ้าค่ะ”
ณ จวนจงกั๋วกง
น้อยครั้งนักที่หลี่หยางซื่อจะมาเยือนที่นี่ สามปีก่อนต้องไว้ทุกข์ให้สามี จึงไม่สะดวกที่จะออกมาข้างนอก เมื่อครั้งหลี่ซวี่ยังมีชีวิตอยู่ก็เพียงแต่มาร่วมงานเลี้ยง วันเทศกาลสำคัญต่างๆ จึงจะมาเยือน โดยส่วนตัวแล้วมิเคยไปมาหาสู่ เมื่อวานขณะที่ได้รับเทียบเชิญ นางเองพอจะมองออกถึงความนัยว่าอาจจะเกี่ยวกับเรื่องระยะเวลาสี่ปีที่ใกล้จะครบกำหนดรวมไปถึงเรื่องเกี่ยวกับตำแหน่งโหว หากอยากจะยกบุตรชายมาให้จวนจงหย่งโหวนั้น มิจำเป็นว่าต้องเป็นสายเลือดของหลี่ไท่เหฺย ขอเพียงเป็นคนที่อยู่ในผังสกุล [2] ก็ใช้ได้แล้ว
“จงหย่งโหวฮูหยินมาถึงแล้ว รีบเชิญด้านในเจ้าค่ะ” ผู้ที่ออกมารับถึงหน้าประตูคือหมัวมัวคู่ใจของจงกั๋วกงฮูหยิน ถือได้ว่ามีหน้ามีตายิ่งนัก
“หมัวมัวสบายดีนะ” หลี่หยางซื่อยิ้มบางๆ
“เหล่าฮูหยินระลึกถึงท่านเจ้าค่ะ” มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าราวเจ็ดส่วน ให้ความเป็นกันเองมากอย่างชัดเจน
เมื่อไปถึงเรือนของกั๋วกงฮูหยิน พบว่าที่นั่นยังมีแขกคนอื่นๆ อีก เป็นฮูหยินท่านหนึ่งและแม่นางน้อยคนหนึ่ง
“หลานสะใภ้มาแล้ว” เมื่อเห็นหลี่หยางซื่อ จงกั๋วกงฮูหยินจึงรีบกวักมือมาทางนางอย่างกระตือรือร้น “นี่คือหลานสะใภ้ของข้า จงหย่งโหวฮูหยิน”
เมื่อได้ยินถึงตำแหน่งฮูหยินตราตั้งของหลี่หยางซื่อ ฮูหยินและแม่นางน้อยต่างรีบลุกขึ้นยืน พร้อมกับแสดงการคำนับกึ่งพิธีการโดยย่อตัวลงไปครึ่งหนึ่ง ในขณะเดียวกัน หลี่หยางซื่อก็แสดงความเคารพต่อจงกั๋วกงฮูหยินที่เป็นผู้อาวุโส
“รีบมานั่งเร็ว วันนี้จวนข้าคึกคักยิ่ง ข้ามีแขกโดยบังเอิญ พูดกันขึ้นมาแล้วก็เป็นญาติผู้น้องของเจ้า เจ้าอาจจะไม่รู้จัก” จงกั๋วกงฮูหยินทำหน้าที่เป็นผู้แนะนำ “นี่คือหลานสาวบ้านมารดาข้า หลี่ว์ซื่อ สามีนางคือ เซี่ยงโจวจือโจว [3] นี่คือลูกสาวของนาง หลี่ว์หมิงเจี๋ย หมิงเจี๋ยเอ๋อร์ปีนี้มีอายุสิบหกปี”
“หมิงเจี๋ยเอ๋อร์คารวะท่านป้าเจ้าค่ะ” แม่นางน้อยเดินเข้ามา โค้งคำนับคารวะหนึ่งครั้ง
รอยยิ้มของหลี่หยางซื่อมีความเมตตากรุณาอยู่หลายส่วน “เพิ่งจะได้พบหลานสาวครั้งแรก งดงามยิ่งนัก” พูดแล้วก็ถอดกำไลหยกจากข้อมือของตน แล้วสวมให้ที่ข้อมือของหลี่ว์หมิงเจี๋ย “มิทราบว่าหลานสาวอยู่ที่นี่ด้วย จึงมิได้นำอะไรติดตัวมาเลย”
“ขอบคุณท่านป้าเจ้าค่ะ” แม่นางน้อยเอ่ยอย่างอ่อนโยน ได้ฟังเสียงก็เหมือนได้พบคน ดูแล้วเป็นคนที่นิสัยพอใช้ได้คนหนึ่ง
จงกั๋วกงฮูหยินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ครั้งหน้าไปจวนโหว เจ้าค่อยชดเชยให้นางก็…” ยังไม่ได้ทันเอ่ยจบ หญิงรับใช้นางหนึ่งเดินเข้ามา หลังจากโค้งคำนับแล้วจึงรายงาน “เหล่าฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยินใหญ่ต้องการพบหลี่ว์ฮูหยินและคุณหนูหลี่ว์เจ้าค่ะ ท่านบอกว่าเป็นเรื่องด่วน”
“ในเมื่อเป็นเรื่องเร่งด่วนเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าก็รีบไปเถอะ”
หลังจากรอให้แม่ลูกสกุลหลี่ว์ออกไปแล้ว กั๋วกงฮูหยินก็เอ่ยปากยิ้มๆ ว่า “ที่จริงวันนี้เชิญเจ้ามาที่จวน ข้าอยากเป็นแม่สื่อให้ เจ้ารู้สึกว่าหมิงเจี๋ยเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง?”
——————–
[1] โหวเหฺย (侯爷) คือคำที่เรียกนายท่านของจวนโหว หรือบุตรที่จะรับสืบทอดตำแหน่งเจ้าของจวนโหว ซึ่งเป็นบรรดาศักดิ์ที่สูงกว่าขั้น 1 โดยส่วนใหญ่พระราชทานให้พระญาติสนิท และขุนนางที่มีคุณงามความดีต่อแผ่นดิน เริ่มใช้ตั้งแต่ราชวงศ์ฉิน จนมาถึงราชวงศ์โจวจึงได้กำหนดบรรดาศักดิ์นี้ไว้ 5 ขั้น แบ่งเป็น กง โหว ป๋อ จื่อ หนาน (เทียบกับบรรดาศักดิ์ไทย คือ เจ้าพระยา พระยา พระ หลวง ขุน)
[2] ผังสกุล (家族谱) คือผังสกุลสมาชิกในครอบครัวทุกคนที่ใช้สกุลร่วมกัน
[3] เซี่ยงโจวจือโจว (象州知州) หมายถึงตำแหน่งขุนนางในรัชสมัยซ่ง แบ่งเป็น จือโจว (เทียบเท่านายกเทศมนตรี), จือฝู่ (เทียบเท่าเลขานุการเทศบาลเมือง) และจือเซี่ยน (เทียบเท่านายอำเภอ) จือโจวนับเป็นขุนนางขั้นที่ 5
คอมเมนต์