ย้อนเวลามาเป็นท่านอ๋องน้อย ตอนที่ 1-13
เล่มที่ 1 บทที่ 13 เข้าวังเข้าเฝ้าฮ่องเต้
เมื่ออ่านจดหมายจบแล้ว หลี่หยางซื่อจึงไปเยือนเรือนว่านโซ่ว และสั่งให้คนไปแจ้งข่าวแก่หลี่ไท่เหฺยที่ศาล
ณ เรือนว่านโซ่ว
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ? หาเด็กคนนั้นพบแล้วรึ?” หลี่เหล่าไท่ไท่นั้นยังมิอาจปรับตัวให้ทันท่วงทีเมื่อรับรู้ข่าวนี้ “นี่…นี่แน่ใจแล้วใช่หรือไม่ว่าเป็นหลานน้อย?” แผนการของนางยังมิทันจะได้วางหมากให้ดี? ได้แต่นั่งดูเวลาที่ผ่านมาจนจวนจะครบกำหนดสี่ปี นี่คงไม่ใช่ตัวปลอมหรอกนะ?
หลี่หยางซื่อตอบด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ครั้งนั้นพบกับนักฆ่า เป็นคนของท่านพี่ที่อุ้มเด็กคนนั้นหนีไปเจ้าค่ะ แต่เด็กคนนั้นมีสุขภาพอ่อนแอ จึงต้องรักษาตัวตลอดมา ด้วยเกรงว่าจะรักษาไม่หายดีแล้วจะทำให้พวกเรากังวลใจ ดังนั้นฮ่องเต้จึงมิได้แพร่งพรายมาโดยตลอด สี่ปีมานี้ ฮ่องเต้ได้ส่งราชองครักษ์หลี่และทหารเงาคุ้มครองอยู่อย่างลับๆ ตลอดเวลาเจ้าค่ะ ท่านแม่คงจะทราบดีว่าราชองครักษ์หลี่เป็นข้ารับใช้คู่ใจของท่านพี่”
สีหน้าของหลี่เหล่าไท่ไท่ทะมึนลงทันที รักษาตัว? กังวลใจ? ใครจะเชื่อลงเล่า? หรือว่าผู้อื่นหาได้สามารถดูแลเด็กคนหนึ่งให้ดีได้ไม่? คำพูดของหลี่หยางซื่อนั้นเจตนาพูดให้นางฟังมากกว่า เห็นได้ชัดเจนยิ่งนักไม่ว่าจะในที่ลับหรือที่แจ้ง เกรงว่าพวกเราที่อยู่ที่นี่จะเลี้ยงได้ไม่ดี ที่ป้องกันไว้มิใช่ตัวเองหรอกหรือไร?
“ในเมื่อเด็กคนนั้นกลับมาแล้ว ก็ควรจะฉลองเพื่อแสดงความยินดี นี่เป็นเรื่องในเรือนของเจ้า ถ้าเช่นนั้นเจ้าลงไปจัดการเถิด” ในใจของหลี่เหล่าไท่ไท่นั้นอึดอัดใจเหลือแสนแต่มิอยากจะเอื้อนเอ่ยวาจาออกมา
“เจ้าค่ะ ถ้าเช่นนั้นข้าจะกลับไปทำความสะอาดเก็บกวาดเรือนหลักก่อน” หลังจากที่หลี่หยางซื่อออกจากเรือนของหลี่เหล่าไท่ไท่ บนใบหน้าของนางก็ค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา ถือดีเช่นใด พวกเจ้าคิดแผนการได้เพียงฝ่ายเดียวหรือไร ตอนนี้ชื่อเสียงตำแหน่งโหวของจวนยังอยู่บนตัวของคนในเรือนนั้น เพียงแต่…ต่อไปคงมีเรื่องยุ่งยากอีกมาก เด็กน้อยอายุห้าขวบคนนั้น นางต้องทุ่มเทกำลังและความสามารถเพื่อปกป้องคุ้มครองเด็กคนนั้นให้ดี เพื่อเกียรติยศที่เหล่าโหวเหฺยได้มาอย่างยากลำบาก นางได้แต่หวังว่าเด็กคนนั้นจะเป็นเด็กที่เข้าใจอะไรง่ายๆ ไม่ขอให้ฉลาดเฉลียวว่องไว ต่อให้ธรรมดาสามัญก็ไม่เป็นไร เพียงแค่อย่าก่อเรื่องเพิ่มขึ้นก็เพียงพอแล้ว ผู้นำครอบครัวอายุห้าขวบ หัวหน้าครอบครัวอายุห้าขวบ หลี่หยางซื่อเพียงคิด ในใจก็ให้รู้สึกเศร้าสลดหดหู่ คืนวันเช่นนี้เมื่อใดจะได้เงยหน้าเงยตาเสียที
ณ วังหลวง รัชศกจ้าวหนิง [1] ปีที่ 6
จ้าวหนิงฮ่องเต้ในวัยสี่สิบเอ็ดพรรษาอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์และเต็มไปด้วยกำลังวังชา ฮ่องเต้ทรงเป็นชายชาตินักรบ ร่างกายกำยำและน่าเกรงขาม กลิ่นอายของนักรบ กลิ่นอายการต่อสู้ในสนามรบในไม่กี่ปีมานี้ได้จางลงไปมาก แต่ไม่ว่าจะในฐานะของแม่ทัพคนหนึ่งหรือในฐานะของฮ่องเต้องค์หนึ่ง กลิ่นอายบนร่างกายที่แม้จะมิได้ทรงพิโรธหากกลับน่ากริ่งเกรงอยู่ดี ช่างมีอำนาจเหลือเกิน แม้ว่าหลี่ซวี่จะเป็นลูกหลานของบ้านสกุลหลี่ แต่มิได้รับความโปรดปรานจากคนในครอบครัว ดังนั้นหากจะกล่าวว่าหลี่ซวี่นั้นเป็นคนรุ่นใหม่ที่จ้าวหนิงฮ่องเต้ประคับประคองและสนับสนุนมาด้วยองค์เองก็ไม่เกินจริงเลย ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์และขุนนางของทั้งสองคนนั้นยาวนานกว่ายี่สิบสามปี
สุดท้ายหลี่ซวี่เพื่ออารักขาพระองค์ถึงได้เสียสละชีวิตตนเองตายไป หากจ้าวหนิงฮ่องเต้มิได้ปลอมพระองค์ออกประพาสที่ค่ายทหารซีเป่ยเพื่อเป็นการเจตนาให้โอกาสโจรกบฏลงมือ หลี่ซวี่ก็คงไม่ต้องใช้ชีวิตของเขาอารักขาฮ่องเต้ นี่เป็นความเจ็บปวดที่หนักหน่วงยิ่งในพระทัยของจ้าวหนิงฮ่องเต้ และยังเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชานามว่าหลี่ซวี่ที่ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้วปราศจากซึ่งข้อด้อยใดๆ ในพระทัยของพระองค์
เมื่อหลี่ลั่วถูกเรียกตัวให้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่ห้องทรงพระอักษร บนใบหน้าซาลาเปาของเขานั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ที่จริงแล้วตลอดการเดินทางเขามิได้รู้สึกตื่นเต้นเลย แต่เมื่อมาถึงวังหลวง มองเห็นความยิ่งใหญ่ที่สง่างามทั้งหมดที่หาอะไรเปรียบมิได้นั้นแล้ว หัวใจของหลี่ลั่วพลันเต้นระรัว บนโลกใบนี้ ฮ่องเต้ก็คือยมทูตที่กำหนดความเป็นความตายของทุกคน
ทว่าในความตื่นเต้นก็ปะปนไปด้วยความปลาบปลื้มปิติยินดี เพราะกำลังจะได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ในยุคสมัยโบราณ สำหรับคนที่มาจากศตวรรษที่ 21 อย่างเขาแล้วนั้น ถือได้ว่าเป็นเกียรติที่มหัศจรรย์เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว
ดังนั้น ตั้งแต่หลี่ลั่วก้าวเข้าสู่ห้องทรงพระอักษรเขาจึงเงยหน้าตลอดเวลา ใบหน้าซาลาเปาของเขาเชิดขึ้นเต็มที่ รอจนกระทั่งเขาได้พบกับจ้าวหนิงฮ่องเต้ ขาสั้นๆ ทั้งสองข้างของเขาก็คุกเข่าลงบนพื้นเพื่อคำนับฮ่องเต้ตามธรรมเนียม “หลี่ลั่วถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
สำหรับเจ้าซาลาเปาน้อยที่เงยหน้าเดินเข้ามาตั้งแต่ต้นนั้น จ้าวหนิงฮ่องเต้เอ่ยด้วยความอบอุ่นเป็นกันเองอย่างหาได้ยากยิ่ง “ลุกขึ้น มาข้างหน้าเจิ้น [2]”
“พ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วคลานขึ้นมาจากพื้น แล้วยังนวดคลึงหัวเข่าทั้งสองข้างของตนเองไปด้วย
“…” จ้าวหนิงฮ่องเต้ทอดพระเนตรกิริยาของหลี่ลั่วแล้วให้รู้สึกขบขันในทันใด จ้าวหนิงฮ่องเต้ประสูติในราชวงศ์ ปีนี้ทรงมีพระชนมายุสี่สิบเอ็ดพรรษา เขามิเคยได้พบกับผู้ที่เข้าเฝ้าฮ่องเต้ผู้ใดเมื่อคำนับตามธรรมเนียมแล้วนวดหัวเข่าต่อหน้าพระพักตร์มาก่อน
ไห่กงกง [3] ขันทีคนสนิทข้างกายจ้าวหนิงฮ่องเต้เองก็เพิ่งจะเคยเห็นฮ่องเต้ทรงพระสรวลพร้อมวางพระองค์อย่างสบายๆ เป็นครั้งแรก
หลี่ลั่ววิ่งก้าวเล็กๆ มาถึงเบื้องพระพักตร์ของจ้าวหนิงฮ่องเต้ ใช้น้ำเสียงใสกังวานของเขาเอ่ยถาม “ฝ่าบาท ฝ่าบาทต้องการทอดพระเนตรอะไรกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ไอหยา…ไห่กงกงยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดปากของตน เด็กคนนี้ ช่างน่าขบขันยิ่งนัก วิ่งในห้องทรงพระอักษรนั้นก็ช่างเถิด พูดกับฮ่องเต้ยังไม่แบ่งผู้น้อยผู้ใหญ่อีก
“เจ้าไม่กลัวเจิ้นรึ?” จ้าวหนิงฮ่องเต้จับมือของเขาไว้ พบว่าหลังมือของเด็กน้อยนั้นไม่ค่อยมีเนื้อหนังสักเท่าใดนัก เนื้อหนังที่มีมากหน่อยก็มีเพียงบริเวณใบหน้าเล็กน้อย
“ไม่กลัวพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วส่ายหน้า เด็กน้อยช่างออดอ้อนออเซาะ ใครๆ ก็ชมชอบ “ต่อไปกระหม่อมจะเป็นเหมือนกับท่านพ่อ ช่วยฝ่าบาททำการใหญ่พ่ะย่ะค่ะ” คำพูดประจบจากเด็กน้อยไร้เดียงสาเป็นใครก็ย่อมชอบฟัง
“เจ้ายังรู้อีกด้วยว่าพ่อของเจ้านั้นทำการใหญ่?” จ้าวหนิงฮ่องเต้เอนพระปฤษฎางค์พิงลงกับเก้าอี้มังกรอย่างอารมณ์ดีเป็นที่สุด
——————
[1] รัชศกจ้าวหนิง คือ ชื่อรัชศกหรือรัชสมัยขององค์ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ในสมัยจีนโบราณเนื่องจากห้ามมิให้ปุถุชนคนธรรมดาเรียกชื่อขององค์ฮ่องเต้โดยตรงได้จึงนิยมเรียกตามชื่อรัชศกที่ฮ่องเต้องค์นั้นๆ เป็นคนตั้ง
[2] เจิ้น (朕) แปลว่า “เรา” เป็นคำที่ฮ่องเต้ในสมัยโบราณใช้เรียกแทนตัวเอง
[3] กงกง (公公) คือคำเรียกขานขันที ข้างหน้าจะใส่สกุลของขันทีผู้นั้น ในที่นี้ แซ่ ไห่ จึงเรียก ไห่กงกง
คอมเมนต์