ย้อนเวลามาเป็นท่านอ๋องน้อย ตอนที่ 1-19
เล่มที่ 1 บทที่ 19 ห้องทรัพย์สินที่ไม่มีเงิน
“ปีนี้เจ้าก็อายุสิบแปดแล้ว แม่คิดใคร่ครวญอยู่ตลอดเวลาเกี่ยวกับเรื่องคู่ครองของเจ้า ทว่ายังไม่เจอคนที่ถูกใจ วันนี้ท่านย่าของเจ้าเสนอมาคนหนึ่ง เป็นหลานสาวน้องสาวนางจากครอบครัวมารดาเดิม บิดารั้งตำแหน่งเซี่ยงโจวจือโจว มีความสัมพันธ์กับจวนกั๋วกงหนุนหลัง การสอบปีนี้สิบส่วนก็มีแปดเก้าส่วนที่จะได้กลับเมืองหลวง ปีนี้นางอายุสิบหกปี รูปร่างหน้าผิวพรรณงดงาม เพียงแต่ว่า…” หลี่หยางซื่อชะงักเล็กน้อย “เพียงแต่ก่อนหน้านี้คู่หมั้นของนางตายไปสองคน”
หลี่หงเป็นคนที่รู้ตัวและเจียมตนดี บุตรสาวจากครอบครัวขุนนางขั้นห้า หากว่าทุกด้านล้วนดีพร้อม ย่อมไม่เอ่ยมาถึงตนเป็นแน่ คำพูดที่ว่าดวงกินสามีนั้น หากเชื่อก็มี ไม่เชื่อก็ไม่มี ตัวเขาเองก็ไม่ได้เรียนหนังสือจนโง่งม เรื่องดวงกินสามีที่ว่านั้น ตัวเขาเองรับได้
เมื่อเห็นว่าบุตรชายยังคงนิ่งเฉย หลี่หยางซื่อก็ได้แต่รู้สึกปวดใจยิ่งนัก บุตรชายของนางคนนี้มิว่าด้านใดล้วนดีทั้งสิ้น ทว่าขาข้างหนึ่งไม่ดี ซึ่งไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเรียนหนังสือ หากมิใช่ด้วยเรื่องขาแล้วไซร้จวนโหวแห่งนี้ย่อมตกเป็นของบุตรชายนางเป็นแน่
“คู่หมั้นสองคนก่อนหน้าของนางตายด้วยเหตุใดขอรับ” หลี่หงถาม
“คนแรกนั้นหมั้นกันตั้งแต่ยังเล็ก จากไปในฤดูหนาวของปีนั้น อีกคนหมั้นกันเมื่ออายุได้สิบสองปี ระหว่างทางที่มาเมืองหลวงเพื่อเข้าสอบเจอกับโจรป่า จึงตายไปเมื่อปีที่แล้ว นางไว้ทุกข์เป็นเวลาหนึ่งปี ปีนี้จึงมาคุยเรื่องคู่ครอง แม่ได้พบหน้านางแล้ว ดูเป็นคนที่รู้มารยาทยิ่งนัก”
“หากท่านแม่เห็นว่าดี ท่านแม่ก็ตัดสินใจได้เลยขอรับ” ในเมื่อเป็นคู่ครองที่ท่านย่าเป็นแม่สื่อให้ เช่นนั้นย่อมทราบถึงสถานการณ์ของเขาดี
“แม่คิดว่า รอให้น้องหกของเจ้าไปไหว้ศาลเจ้าบรรพชนที่จวนกั๋วกง เจ้าก็ไปด้วยกัน ถึงเวลาจะได้พบหน้ากัน เจ้าว่าอย่างไรเล่า?”
“แล้วแต่ท่านแม่เห็นสมควรขอรับ”
ณ เรือนหลัก เรือนโฉวงจี๋
หลี่หยางซื่อออกจากเรือนไปแล้ว หลี่ลั่วนำสาวรับใช้ทั้งสี่ หลี่จงหมิง และหลี่ฉางเฉิงไปเปิดห้องทรัพย์สินส่วนตัวด้วยกัน
ด้านหน้าของห้องทรัพย์สินส่วนตัวได้ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว หลี่ลั่วหยิบกุญแจที่ได้รับมาจากหลี่จงหมิง ขณะที่เปิดประตูออกก็เห็นฝุ่นเป็นชั้นๆ อยู่ภายใน ยังดีที่เรือนนี้อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุด จึงไม่มีกลิ่นอายของเชื้อรา “ท่านอาหลี่ ยกของข้างในออกมาให้หมดเถิด ด้านในก็ต้องทำความสะอาดเช่นเดียวกัน พี่ผิงอันจะได้ทำการบันทึกรายการลงในสมุดไปพร้อมกันทีเดียว”
ตอนนี้มีผู้ชายเพียงสองคน คือหลี่จงหมิงและหลี่ฉางเฉิง จึงต้องเป็นเขาสองพ่อลูกเป็นผู้เคลื่อนย้ายสิ่งของเหล่านั้น ทว่าทั้งสองต่างก็เป็นคนที่ฝึกยุทธ์มาก่อน ต่อให้ต้องขนของก็ไม่ต้องกลัวว่าจะหนัก ในห้องทรัพย์สินส่วนตัวมีกล่องทั้งหมดเจ็ดหีบ มีทั้งเล็กและใหญ่ปะปนกัน หลี่ลั่วสั่งให้พวกเขาเปิดออกทีละใบ มีสามหีบที่ด้านในเป็นขนสัตว์ หีบที่สี่คือธนูและกระบี่ หีบที่ห้ามีหยกหลายชิ้น หีบที่หกคือไข่มุก หีบที่เจ็ดเป็นหีบที่เล็กเป็นพิเศษ สิ่งที่อยู่ในนั้นคือ…โฉนดของจวนโหว
ปกติแล้วโฉนดของจวนโหวต้องอยู่ในมือของผู้นำครอบครัว นี่เป็นเรื่องปกติ
“หนังสัตว์สามหีบนี้เมื่อครั้งที่เหล่าโหวเหฺยได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ พี่น้องของเราหลายคนดีใจจึงออกไปล่าสัตว์ได้มาขอรับ เดิมทีตั้งใจไว้ว่าจะนำไปที่ค่ายทหารซีเป่ยมอบให้เหล่าภรรยาที่นั่น ทว่าตอนที่กลับซีเป่ยนั้นกลับลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท” หลี่ลั่วมองไปที่บรรดาหนังสัตว์ครู่หนึ่ง ดวงตาทั้งคู่พลันแดงก่ำ ล้วนเป็นความทรงจำ “คันธนูอันนี้และกระบี่เล่มนี้ล้วนเป็นของพระราชทานขอรับ ปีนั้นเหล่าโหวเหฺยได้รับตำแหน่งรองผู้บังคับบัญชาทหารม้า [1] ถวายอารักขาฮ่องเต้เมื่อทรงออกล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วง รางวัลที่หนึ่งก็คือสิ่งของพวกนี้ กระบี่เล่มนี้เป็นของที่ครั้งนั้นฉีอ๋อง ซึ่งก็คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเป็นผู้พระราชทาน และในปีนั้นเหล่าโหวเหฺยก็ได้รับพระราชทานยศเป็นจงหย่งโหวขอรับ”
ไม่รู้ด้วยเหตุใด เมื่อได้ยินหลี่จงหมิงเล่าเรื่องราวเหล่านี้ ดวงตาก็หลี่ลั่วก็พลันแดงก่ำ รู้สึกแสบจมูกและตื้นตัน ซาบซึ้งถึงประวัติของบิดาผู้กล้าหาญ
“ชิ้นหยกเหล่านั้นได้มาในขณะที่เหล่าโหวเหฺยปราบทหารข้าศึกที่รุกรานซีเป่ยและค้นมาจากคนเหล่านั้นขอรับ แล้วยังมีพวกไข่มุก เหล่าโหวเหฺยยังไม่ได้นำขึ้นกราบทูลแก่ฮ่องเต้ ตั้งใจไว้ว่าจะนำมาแลกเป็นเงิน เพื่อนำไปแลกกับเสบียงและหยูกยาส่งไปที่ค่ายทหารซีเป่ย” ทว่าได้แต่ผลัดเวลามาจนถึงตอนนี้ และเหล่าโหวเหฺยก็ได้จากไปแล้ว
หลี่ลั่วสรุปในใจว่าบิดาของเขาคนนี้ถือได้ว่าเป็นแม่ทัพที่ดีคนหนึ่ง เป็นที่รักและเคารพของทหารผู้ใต้บังคับบัญชา หลี่ลั่วจึงหยิบไข่มุกบูรพาหมิงโหลวหนึ่งกล่องและกำไลข้อมือหยกขาวแปดเซียนออกมา แล้วยังมีตั๋วเงินอีกจำนวนแปดพันตำลึงยื่นให้หลี่จงหมิง “รวมกับของวันนี้แล้วส่งออกไปพร้อมกัน จดบันทึกลงไปด้วย จากนั้นระหว่างทางใช้อะไรไปบ้างก็ให้ลงบันทึกเอาไว้”
“ขอรับ”
“บันทึกเช่นนี้” หลี่ลั่วชี้ไปที่สมุดบันทึกในมือของผิงอัน “เงินและสิ่งของให้ลงบันทึกแยกกัน อย่างเช่นพวกสิ่งของลงบันทึกเป็นแนวนอน บรรทัดแรกคือ หนังสัตว์: ทรัพย์สินส่วนตัวเหล่าโหวเหฺย บรรทัดที่สองเขียนว่า คันธนู: ทรัพย์สินส่วนตัวเหล่าโหวเหฺย, ของพระราชทาน ตัวอย่างต่อมาคือ ปิ่นปักผมผีเสื้อทองคำ: ทรัพย์สินส่วนตัวเสี่ยวโหวเหฺย, พระราชทาน, มอบให้หลี่หลิน เข้าใจหรือไม่?”
“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” การบันทึกแบบนี้จะชัดเจนยิ่งนัก เพียงแต่ผิงอันและคนอื่นรู้สึกประหลาดใจเหลือเกิน เสี่ยวโหวเหฺยมีอายุเพียงห้าขวบ ทว่ากลับจัดการเรื่องราวต่างได้อย่างมีหลักการยิ่งนัก
“เช่นนั้นยกที่นี่ให้พวกเจ้าจัดการแล้ว ท่านอาหลี่ ท่านพี่ฉางเฉิง พวกเราไปเดินดูในเรือนกันสักครู่ จากนั้นข้าจึงจะแจ้งว่าส่วนใดบ้างที่ต้องทำการตกแต่งซ่อมแซม” หลี่ลั่วเรียกเขาทั้งสอง บุตรชายคนโตของหลี่จงหมิงชื่อว่า หลี่ฉางเฉิง บุตรคนที่สองชื่อว่า หลี่ฉางสือ ชื่อของบุตรชายทั้งสองมาจากคำว่าเฉิงสือ [2] หลี่ลั่วได้ยินแล้วก็ได้แต่แอบหัวเราะอยู่ในใจ
———————–
[1] ฟู่เซียวฉีชานหลิ่ง (副骁骑参领) คือตำแหน่งทางทหารขั้นสี่ จีนในสมัยโบราณแบ่งทหารออกเป็น 8 กองธง ตำแหน่งฟู่เซียวฉีชานหลิ่ง คือรองผู้บังคับบัญชาทหารม้า
[2] เฉิงสือ (诚实) หมายถึง จริงใจและซื่อสัตย์สุจริต
คอมเมนต์