ย้อนเวลามาเป็นท่านอ๋องน้อย ตอนที่ 1-20
เล่มที่ 1 บทที่ 20 วันแรกในจวนโหว
จวนจงหย่งโหวเป็นจวนโหวขั้นหนึ่ง [1] ตั้งแต่รัชสมัยก่อน จนกระทั่งถึงรัชสมัยปัจจุบันสถานะของจวนไร้ซึ่งเจ้าของตลอดมา ดังนั้นเมื่อหลี่ซวี่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์โหว จ้าวหนิงฮ่องเต้จึงได้พระราชทานจวนโหวแห่งนี้ให้แก่เขา
เรือนโฉวงจี๋คือเรือนที่หลี่ลั่วพักอาศัยอยู่ เป็นเรือนที่ดีที่สุดและใหญ่ที่สุดในจวนโหวแห่งนี้ อีกทั้งโครงสร้างและการตกแต่งนั้นถือได้ว่าประณีตและงดงามมาก ท่านโหวของรัชสมัยก่อนเป็นปัญญาชน [2] ผู้หนึ่ง ดังนั้นรสนิยมจึงไม่เลวนัก
หลี่ลั่วเดินดูรอบหนึ่ง สิ่งที่เขาชอบที่สุดในเรือนแห่งนี้คือศาลาหลังหนึ่ง ศาลาหลังนี้ตั้งอยู่บนภูเขาจำลองซึ่งเป็นตำแหน่งที่สูงที่สุดในจวนโหว หากนอนพักผ่อนที่นั่นคงจะดีไม่น้อย โครงสร้างโดยรวมของเรือนทั้งหลังมิต้องปรับแต่งแก้ไขประการใด หลี่ลั่วตกแต่งซ่อมแซมเพียงสองแห่งคือ ห้องหนังสือเดิมที่เรียกว่าห้องสมุด [3] และห้องนอนอีกห้องหนึ่ง
ห้องสมุดของหลี่ซวี่นั้นเดิมมีพื้นที่เกือบๆ หนึ่งร้อยตารางเมตร ตั้งอยู่ตรงข้ามกับห้องนอน มีระยะห่างกันประมาณห้าสิบเมตร หลี่ลั่วจึงตัดสินใจปรับปรุงเป็นหนึ่งห้องโถงและสองห้องเล็ก ห้องโถงที่อยู่ตรงกลางมีพื้นที่ประมาณสี่สิบตารางเมตร หลี่ลั่วตั้งใจว่าจะเอาไว้พักผ่อน วางโซฟาที่นั่นสักตัว โต๊ะน้ำชา ทางด้านซ้ายกั้นเป็นห้องน้ำหนึ่งห้อง พื้นที่สิบตารางเมตร ส่วนด้านขวาทำเป็นห้องทดลอง (ห้องผ่าตัด) พื้นที่ห้าสิบตารางเมตร หลี่ลั่วคิดไว้แล้วว่าจะใช้ประโยชน์อันใดบ้าง แล้วยังได้สั่งให้ขุดห้องใต้ดินอีกหนึ่งห้อง
ต่อมาก็คือการแก้ไขในส่วนของห้องนอน หลี่ลั่วปรับเปลี่ยนห้องนอนและห้องที่อยู่ติดกันโดยตีทะลุถึงกัน หลังจากที่ออกแบบตู้หนังสือแล้ว หลี่ลั่วยังได้ออกแบบโต๊ะเขียนหนังสือด้วย โต๊ะหนังสือของเขายาวสองเมตร กว้างหนึ่งเมตร ด้านที่เป็นที่นั่งนั้นทำเป็นครึ่งวงกลมเว้าเข้าไป เลือกใช้การออกแบบโต๊ะเขียนหนังสือสมัยใหม่ที่เน้นการประหยัดพื้นที่ใช้สอย
หลี่ลั่วนำแบบโต๊ะและเก้าอี้ที่ตนออกแบบยื่นให้แก่หลี่จงหมิง
หลี่จงหมิงถึงกับโง่งมไปเลยทีเดียว เขาคิดว่าตลอดทางที่ผ่านมานั้นเขาสามารถยอมรับความสามารถอันเก่งกาจและฉลาดเฉลียวของเสี่ยวโหวเหฺยได้แล้ว คาดมิถึงว่าเสี่ยวโหวเหฺยยังมีเรื่องอื่นให้เขาประหลาดใจได้อีก
ต่อมาหลี่ลั่วได้เอ่ยขึ้นกับหลี่ฉางเฉิงว่า “ท่านพี่ฉางเฉิง รบกวนท่านช่วยข้ารวบรวมหนังสือแพทย์ที ส่วนเรื่องเงินไปเบิกกับพี่ผิงอัน”
“ขอรับ” แม้จะไม่รู้ว่าเสี่ยวโหวเหฺยต้องการทำอะไร แต่หลี่ฉางเฉิงรู้ว่าหน้าที่ในอนาคตของเขาคือปกป้องคุ้มครองเสี่ยวโหวเหฺยท่านนี้ เหล่าโหวเหฺยเป็นเจ้านายและเป็นผู้มีพระคุณของครอบครัวเขา
สุดท้ายหลี่ลั่วยังได้เอ่ยกับหลี่จงหมิงอีกว่า “ท่านอาหลี่ ท่านพอจะฝึกยามอารักขาให้ข้าได้หรือไม่ หรืออาจจะไปซื้อตัวยามรักษาการณ์ที่มีวิชายุทธ์ก็ได้” หลี่ลั่วไม่อยากเอาชีวิตของตนมามอบให้ผู้อื่นที่นี่ ในฐานะที่เป็นคนในยุคปัจจุบัน หากต้องมาตายภายใต้น้ำมือของคนในยุคสมัยโบราณ เช่นนี้ก็มิเท่ากับว่าเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นสติปัญญาของคนในยุคปัจจุบันหรอกหรือ
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา เสี่ยวโหวเหฺยต้องการกี่คนขอรับ?”
หลี่ลั่วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “สักยี่สิบคนจะลำบากหรือไม่?”
หลี่จงหมิงรู้สึกว่า ที่เสี่ยวโหวเหฺยต้องการยามรักษาการณ์เฝ้าจวนที่มีวรยุทธ์ยี่สิบคนเช่นนี้ นี่ต้องการแยกบ้านหรือไม่? “ไม่มีปัญหาขอรับ”
“จริงด้วยสิ จากนั้นยังต้องเลี้ยงพวกคนชั้นล่าง [4] ไว้สักหลายคน อย่างเช่น ขอทาน เพื่อให้คนเหล่านี้ทำหน้าที่สอดแนมในราชสำนักและข่าวสารในเรือนขุนนางโดยเฉพาะ เตรียมคนไว้ก่อนเมื่อต้องการใช้คนจะได้มิสิ้นเปลืองเวลา แน่นอนว่าหลังจากที่พวกเขาสอดแนมข่าวสารมาได้ให้ทำการรวบรวมบันทึกลงไปในสมุดเล่มหนึ่ง บันทึกไว้ข้างในนั้น เรื่องที่ข้าเสี่ยวโหวเหฺยให้ความสนใจอีกเรื่องหนึ่งคือการฟังเรื่องนินทา” หลี่ลั่วสั่งการลงไป “แต่ต้องให้ค่าตอบแทนที่แน่นอนแก่พวกเขา”
“ขอรับ” หลี่จงหมิงรู้สึกว่าความคิดของตนนั้นตามความคิดของเสี่ยวโหวเหฺยไม่ทัน
“เอาละ พวกท่านไปจัดการเถิด ข้าจะไปนอนก่อน”
นอนไปงีบหนึ่ง หลี่ลั่วที่กำลังตกอยู่ในความฝันกลับถูกคนปลุกให้ตื่น เขาลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย เบื้องหน้าคือใบหน้างดงามอ่อนเยาว์ทั้งสี่ นี่ถ้าหากอยู่ในโลกยุคปัจจุบันแล้วละก็ พวกนางยังเป็นเพียงนักเรียนมัธยมต้นอยู่เลย
หลี่ลั่วคลานลุกขึ้นจากเตียง “เกิดอะไรขึ้น?”
“คุณชาย ยามเซิน [5] หนึ่งเค่อ [6] แล้วเจ้าค่ะ ท่านสมควรตื่นได้แล้ว ที่เรือนของเหล่าฮูหยินเริ่มทานอาหารมื้อเย็นในเวลายามเซินเจิ้ง [7] สองเค่อเจ้าค่ะ” ผิงอันตอบ
ระบบเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง หลี่ลั่วเพิ่งจะได้เรียนรู้ระหว่างเดินทางกลับเมืองหลวง ทานอาหารมื้อเย็นเวลาสี่โมงครึ่ง คนในยุคสมัยโบราณกินอาหารกันเช้าเสียจริงๆ อีกทั้งยังไม่มีกิจกรรมเวลากลางคืน ชีวิตยามค่ำคืนเพียงหนึ่งเดียวที่มีก็คือ หอโคมเขียว [8] หรือหอคณิกา
หลี่ลั่วเพียงแต่นั่งนิ่งๆ ไม่ต้องเคลื่อนไหวอันใด ผิงอันปรนนิบัติเปลี่ยนเสื้อผ้าและสวมรองเท้าให้เขา หยวนโม่ปรนนิบัติหลี่ลั่วล้างหน้าล้างตาบ้วนปาก ผิงอันและหยวนโม่ล้วนเป็นสาวใช้ขั้นหนึ่ง [9] ผู้ที่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายเจ้าของจวนโหวล้วนเป็นงานในหน้าที่ของสาวใช้ขั้นหนึ่ง
“สมุดบัญชีของห้องทรัพย์สินส่วนตัวทำเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือพี่ผิงอัน?”
“เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ คุณชายหกอยากดูหรือไม่เจ้าคะ?”
“หลังอาหารเย็นค่อยดูเถิด”
“เจ้าค่ะ”
“พี่เหนียนหงมีฝีมือในงานเย็บปักถักร้อย ถักถุงเท้าเป็นหรือไม่?” ถุงเท้าในยุคโบราณล้วนทำมาจากผ้า สวมใส่แล้วไม่ค่อยสบายเท้า
“ถักถุงเท้ารึเจ้าคะ?” เหนียนหงไม่เคยได้ยินมาก่อน “ใช้อะไรถักหรือเจ้าคะ?”
“ฝ้าย”
“ฝ้ายคือด้ายชนิดใดหรือเจ้าคะ?”
“…ไปกินข้าวเถิด ไว้กลับมาค่อยพูดกัน”
เมื่อเดินออกมาจากห้องลวี่ผิงก็เอ่ยขึ้น “คุณชายหก จากเรือนของพวกเราเดินไปที่เรือนของเหล่าฮูหยินต้องเดินเป็นเวลาสองเค่อเจ้าค่ะ ต้องการให้บ่าวอุ้มท่านไปหรือไม่เจ้าคะ?”
ให้เด็กนักเรียนมัธยมต้นมาอุ้มตัวเองน่ะหรือ? “ไม่ต้องหรอก ข้าเดินเองได้” ก่อนหน้านี้แต่ไหนแต่ไรมา ก็เดินมาด้วยตัวเองมิใช่หรือไร?
เมื่อมาถึงเรือนหยวนเซ่อ สาวใช้พูดด้วยความเคารพ “คารวะคุณชายหกเจ้าค่ะ”
“กระหายน้ำแล้ว เตรียมน้ำชาให้ข้าเถิด” หลี่ลั่วพูดพร้อมกับเดินเข้าไปด้านใน
หลี่หยางซื่อที่อยู่ด้านในได้ยินแล้วจึงรีบกล่าว “เร็วเข้า รินน้ำชาให้คุณชายหก” พร้อมกับเดินเข้ามาอุ้มหลี่ลั่วขึ้นไปวางบนตั่ง “นอนหลับสบายดีหรือไม่?”
“นอนหลับดีขอรับ ต้องให้มารดาเป็นกังวลแล้ว” เหลือบไปเห็นหลี่หลินและหลี่หงที่ต่างก็มาถึงแล้ว หลี่ลั่วจึงหันไปยิ้มให้พวกเขา
—————————
[1] จวนโหวขั้นหนึ่ง (一等侯府) หมายถึง จวนโหวขั้นสูงสุด ในสมัยจีนโบราณในแต่ละรัชสมัยได้แบ่งขั้นของขุนนางและจวนไม่เหมือนกัน
[2] ปัญญาชน (文人) หมายถึง ผู้ที่เรียนรู้และชำนาญศาสตร์ทั้งสี่แขนงคือ เล่นขิมหมากรุก การเขียนพู่กัน และการวาดภาพ
[3] ห้องสมุด (书阁) หมายถึงห้องสมุดส่วนตัวในเรือน
[4] คนชั้นล่าง (生活底层) ในที่นี้หมายถึง กลุ่มคนที่ถูกเลี้ยงไว้เพื่อทำหน้าที่สอดแนม หรือเป็นไส้ศึก เช่น ขอทาน คนไร้บ้าน เป็นต้น
[5] ยามเซิน (申初) คือการนับช่วงเวลาในสมัยจีนโบราณ เป็นช่วงเวลาตั้งแต่ 15.00-16.59 น.
[6] เค่อ (刻) หมายถึง เวลา 15 นาที ในที่นี้ ยามเซินหนึ่งเค่อ คือเวลา 15.15 น. (ในหนึ่งชั่วยามมีสองชั่วโมง ดังนั้นในหนึ่งชั่วยามจึงมี 8 เค่อ)
[7] เซินเจิ้ง (申正) คือเวลา 16.00 น. เซินเจิ้งสองเค่อ คือเวลา16.30น.
[8] หอโคมเขียว (青楼) คือ หอคณิกา เรียกอีกอย่างได้ว่าหอนางโลม ในสมัยโบราณสถานที่ดังกล่าวจะใช้กระจกสีเขียวสะท้อนแสงในตอนกลางคืนเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า บ้านนี้ ร้านค้านี้เปิดให้บริการด้านโสเภณี เพื่อให้หมู่นักท่องเที่ยวราตรีสังเกตเห็นได้ง่ายเวลากลางคืน
[9] สาวใช้ขั้นหนึ่ง (一等丫鬟) หมายถึง สาวใช้ผู้มีหน้าที่ปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดผู้นำครอบครัว หรือเจ้าของเรือน เจ้าของจวน ส่วนสาวใช้ขั้นสองเป็นสาวใช้ผู้มีหน้าที่คอยปรนนิบัติรับใช้เจ้านายเช่นกัน แต่ไม่ได้รับใช้ใกล้ชิดติดตัว และไม่สนิทกับเจ้านายเท่าสาวใช้ขั้นหนึ่ง
คอมเมนต์