ระบบข้ามมิติ ไปเป็นแสงจันทร์ขาวของตัวร้าย ตอนที่ 1-4
เล่มที่ 1 ตอนที่ 4 นักเรียนตัวน้อยที่น่าสงสาร (04)
ระบบที่หายหัวไปนานโผล่มาได้จังหวะพอดี [เขากำลังเสแสร้ง]
อวี๋มู่พยักหน้า ใบหน้าเคร่งขรึม “เห็นแล้ว”
ดูไม่ออกก็บ้าแล้ว!
แผงหัวใจสีแดงดวงหนึ่งเหนือหัวของเหลียงหานกำลังค่อยๆ ลดแสงลง จากที่เห็นคือแทบจะเปลี่ยนกลับสีเดิมอยู่แล้ว!
ไอ้เด็กคนนี้เห็นทีจะแสร้งพูดออกมาแบบนี้ก็เพื่อทดสอบตัวเขา ดูสิว่ากับนักเรียนที่เอะอะก็อยากฆ่าคนแบบนี้ ตัวเขาจะยังทำดีด้วยต่อไปหรือไม่!
เท่านี้เรื่องที่เขาแกล้งทำเป็นห่างเหินก็ได้รับคำตอบกระจ่างแล้ว เขาดูถูกตัวเองมากไป จึงไม่ยอมรับความหวังดีจากอวี๋มู่ ทั้งยังรักษาระยะห่าง หลังระเบิดความเป็นตัวเองออกมาก็หวังว่าเรื่องจะจบ
ตอนนี้ในสมองเจ้าเด็กนี่คงฟุ้งซ่านไปต่างๆ นาๆ “เห็นไหมล่ะ ตกใจน่าดูเลยล่ะสิ” “คุณก็เหมือนครูคนอื่นๆ ที่จะไม่สนใจผมอีกต่อไปแล้ว” “ฮึ ทุกคนก็เหมือนกันหมด ไม่มีใครรักผมหรอก ฮะ ฮะ ฮะ”
นี่มันจะน้ำเน่าเกินไปแล้ว!
อวี๋มู่ไตร่ตรองคำพูด รีบเดินไปข้างหน้า คว้ามือเหลียงหานก่อนที่หัวใจสีแดงจะหมดเสียก่อน
ความพึงพอใจที่กำลังลดลงหยุดนิ่ง แต่เหลียงหานกลับไม่หันหลังกลับมา
อวี๋มู่ถอนหายใจ แต่ก็ไม่ได้บังคับให้อีกฝ่ายหันกลับมา ชายหนุ่มพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่ว่าจะอยู่ในโรงเรียนหรือนอกโรงเรียน ฉันก็เป็นครูเธออยู่ดี สนใจไม่สนใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับเธอซักหน่อย”
“เหตุการณ์เมื่อครู่ฉันเห็นหมดแล้ว เธอก่อเรื่องทะเลาะวิวาท ต้องเขียนหนังสือชี้แจง นี่คือบทลงโทษของเธอ”
“ส่วนเรื่องที่เธอพูดมาเมื่อกี้ มันไม่มีตรรกะสิ้นดี”
“ฉันถามหน่อย” อวี๋มู่จับมือเหลียงหานแน่น “เฉินผิงตายแล้วงั้นเหรอ?”
เหลียงหานเม้มปากแน่น ไม่ส่งเสียง
อวี๋มู่ขึ้นเสียงสูง “ตอบมาสิ!”
เหลียงหานใจสั่น ในที่สุดก็ตอบออกมา “……ไม่ครับ”
“เขายังไม่ตาย นั่นก็แปลว่าเธอยังไม่ได้ฆ่าใคร แล้วทำไมต้องเรียกตัวเองว่าฆาตกรด้วย?”
“ผม……”
“ตอนนี้ ฉันถามเธออีกครั้ง เธอคือฆาตกรหรือเปล่า?”
“……ไม่ใช่ครับ” แววตาเหลียงหานมีประกายพาดผ่าน เพียงแต่ชั่วครู่เดียวก็ถูกสะกดหายไป ทันใดนั้นเขาก็หันขวับกลับมา ฝ่ามือกดตัวอวี๋มู่จนชิดกำแพง ส่งเสียงแหบพร่า “แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่ใช่ อีกหน่อยก็ต้องเป็นอยู่ดี เมื่อครู่ผมรู้สึกสนุก ครูไม่รู้รึไง? ตอนที่มองเห็นคนอื่นเลือดออก แต่ผมกลับอยากหัวเราะ มันไม่ปกติแล้ว!”
“ผมอยากให้สิ่งที่พ่อทำกับผม ถูกส่งต่อไปให้คนอื่นๆ บ้าง ไม่ช้าก็เร็ว สักวันผมก็ต้องกลายเป็นสวะอยู่ดี! ครูเข้าใจรึเปล่า!”
เหลียงหานนั้นเหมือนลูกสัตว์ที่ถูกกักขังอยู่ในกรง กำลังขู่ฟ่อแยกเขี้ยวใส่อวี๋มู่ ตะโกนออกมาพร้อมกับดวงตาแดงก่ำ “ครูอวี๋ ผมไม่เหมือนกับนักเรียนที่ครูเคยสอนหรอกนะ! อีกไม่นานผมก็ต้องทำเรื่องผิดพลาดใหญ่หลวง คุณไม่มีทางเอาผมอยู่หรอก ผมไม่มีค่าพอให้คุณมาใส่ใจแม้แต่นิด!”
เนื่องจากเขาใส่อารมณ์มากไป ด้วยพละกำลังที่มหาศาลของเหลียงหาน มือใหญ่บีบจนอวี๋มู่รู้สึกปวดไหล่
ชายหนุ่มมองดูหนุ่มน้อย ยื่นมือออกมา ปัดหน้าม้าเขาออกไปอีกทาง เผยให้เห็นใบหน้ายุ่งเหยิง ในที่สุดก็มองเห็นน้ำตาเอ่อนองที่ซ่อนอยู่ในดวงตาที่แดงก่ำ
ใจเหมือนโดนใครคว้านแหวก รู้สึกเจ็บแปลบ
อวี๋มู่ขมวดคิ้ว ยื่นมือออกมาคว้าคอเสื้อเหลียงหาน ดึงทั้งตัวแลใบหน้าเข้ามาแนบ ดวงตาเรียวยาวเลิกขึ้น ท่าทางอันธพาล เอ่ยเสียงหนักแน่น “งั้นฉันก็จะจับตาดูเธอ! เบิกตากว้างเพื่อจ้องมองเธอ! ไม่ให้เธอทำเรื่องผิดพลาด ไม่ให้เธอฆ่าคน ฉันจะเป็นคนหยุดเธอเองฉันเปลี่ยนอะไรพ่อของเธอไม่ได้ แต่ฉันเปลี่ยนเธอได้แน่”
“เหลียงหาน” ดวงตาของเขาสะท้อนเงาของเหลียงหานอยู่ในนั้น และเอ่ยสาบาน “ฉันจะไม่มีวันปล่อยให้เธอกลายเป็นฆาตกรแน่นอน!”
ในโลกยุคปัจจุบัน อวี๋มู่เกิดมาจนครบยี่สิบแปดปีบริบูรณ์ พ่อแม่พร้อมหน้า ครอบครัวพร้อมตา แต่เล็กจนโตไม่เคยรับรู้ความลำบากทุกข์ทรมานมาก่อน เขาไม่มีทางจินตนาการถึงสภาพที่เหลียงหานกำลังตกนรกทั้งเป็นได้เลย
แต่ที่เขาเข้าใจคือ เหลียงหานในตอนนี้ต้องการเพียงใครซักคนมาฉุดเขาขึ้นมา อย่าให้เด็กคนนี้ต้องตกนรกไปมากกว่านี้เลย
ถึงแม้ว่าเรื่องราวในโลกนี้จะไม่ใช่เรื่องจริง แต่ ณ ตอนนี้ สิ่งที่เขาพูดออกมาล้วนมาจากก้นบึ้งในจิตใจ
เมื่อเขาพูดจบ ก็ปล่อยคอเสื้อเหลียงหาน แล้วจัดเสื้อจนเข้าที่ จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ดังนั้น.. ไปกันเถอะ กลับบ้านครู จากนั้นทำแผล แล้วเขียนหนังสือชี้แจงอย่างว่าง่ายซะดีๆ ”
อารมณ์ของเขาสงบนิ่งลงแล้ว แต่เหลียงหานยังไม่ เขายังคว้าเสื้ออวี๋มู่ไม่ยอมปล่อย
เขาอยากแน่ใจเรื่องนึง
มือขวาคลายออก จากนั้นเคลื่อนผ่านลำคออวี๋มู่ มือที่เปื้อนเลือดติดผิวหนัง สั่นระริก จวบจนเคลื่อนไปด้านหลังของชายหนุ่ม จู่ๆ เหลียงหานก็ออกแรง ดึงช่องว่างระหว่างสองคนให้แนบชิดขึ้น สวมกอดอวี๋มู่
ความหวาดกลัวที่มีทั้งหมด ความกังวลทั้งหลายแหล่ ความมัวหมองตลอดมามันสูญสลายไปในชั่วพริบตา เพียงแค่ได้สวมกอดคนๆ นี้
แขนของเด็กหนุ่มกอดรัดอวี๋มู่ไว้แน่นอยู่อย่างนั้นพักหนึ่ง จากนั้นปล่อยออก
เขาตอบ “อื้อ”
อวี๋มู่ชะงักอยู่พักหนึ่ง เข้าใจว่า อื้อ คือหมายถึงเขาตอบตกลงที่จะกลับไปด้วยกัน ตกลงที่จะไม่ดื้อแล้ว เขามองขึ้นไปบนหัวเหลียงหานอย่างมีความหวัง แต่แทบไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใดๆ จึงแอบถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ หันหลังกลับและเข็นจักรยานต่อไป
ทั้งสองเดินออกจากซอย เหลียงหานเดินตามอวี๋มู่อย่างว่าง่าย ไม่ได้เดินติดอวี๋มู่ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งห่างมาก
ใต้แสงตะวันลับขอบฟ้า เงาของสองคนนั้นทอดยาว
เหลียงหานแอบเดินเข้าไปในเงาของอวี๋มู่ ให้เงาของทั้งสองทับซ้อนกัน ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยก็บังเกิดเอ่อล้นอยู่ในใจ
เขายื่นมือออกไปกลางอากาศ จำลองเหมือนว่ากำลังคว้าคอของอวี๋มู่ไว้ แล้วค่อยๆ กำมือ
ขณะที่อวี๋มู่ไม่ทันเห็นภาพนี้ หัวใจบนหัวเหลียงหานค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว 1 ดวง 2 ดวง จนถึงครึ่งนึงของดวงที่ 3 จึงหยุด
ในเมื่อคุณตัดสินใจจะยุ่งเรื่องผม งั้นก็ปล่อยมืออีกไม่ได้แล้วนะ ครูอวี๋
หลังจากอวี๋มู่กล่าวทักทายกับพ่อของเหลียงหานแล้ว ก็พาเหลียงหานกลับบ้านตัวเอง
นี่คือครั้งแรกที่เหลียงหานเข้าบ้านอวี๋มู่
เป็นเพื่อนบ้านกันมากว่าหนึ่งเดือน อวี๋มู่เองก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งเรื่องครอบครัวเหลียงแต่อย่างใด มีเพียงบางครั้งที่มีเรื่องทะเลาะกันกลางลานสวนหย่อมถึงจะเข้าไปห้ามปรามบ้าง แต่ก็ไม่ได้เข้าไปปลอบเหลียงหานอย่างจงใจ
เขาคงนึกถึงความรู้สึกให้เกียรติของอีกฝ่าย
ทว่าตอนนี้ ทั้งสองปรับความเข้าใจกันแล้ว ทีนี้เขาก็สามารถยุ่งเรื่องชีวิตของเหลียงหานได้อย่างเปิดเผยเสียที
บ้านพักของเขามีสองห้อง ซึ่งก็คือห้องรับแขกกับห้องนอน ห้องรับแขกกับห้องครัวอยู่รวมกัน ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวมที่ลานกว้าง
“นั่งตามสบายนะ” อวี๋มู่รินน้ำให้เหลียงหาน จากนั้นเข้าห้องไปหากล่องยามา
เหลียงหานถือแก้วน้ำในมือ มองสำรวจรอบห้อง สายตาเหลือบมองไปที่โซฟาผ้าฝ้ายที่ดูสะอาดน่านั่ง แต่สุดท้ายก็เลือกหยิบเก้าอี้ข้างกำแพงมานั่งลงแทน
อวี๋มู่ถือกล่องยาเดินออกมา ก็เห็นเหลียงหานนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เล็กๆ มองไปแล้วรู้สึกอดสูใจ
เขาถามอย่างสงสัย “ทำไมไม่นั่งที่โซฟาล่ะ?”
เหลียงหานจิบน้ำในแก้วเล็กน้อย ลำคอรู้สึกดีขึ้นเยอะ ก้มหัวแล้วตอบ “เดี๋ยวมันเปื้อนครับ”
เด็กหนุ่มกำลังจะวางแก้วลงถาดน้ำชา แต่กลับเห็นรอยเลือดบนนิ้วมือติดอยู่บนแก้ว ตัวแข็งขึ้นมาทันใด เขารีบหยิบแก้วขึ้นมา ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ย “ผมจะรีบเอาไปล้าง”
“ปล่อยไว้เถอะ อย่าทำให้มันยุ่งยากเลย” อวี๋มู่รู้สึกได้ว่าเขาค่อนข้างระมัดระวัง จึงรีบกดเขานั่งลง แล้วเดินกลับเข้าห้องไปหยิบชุดสะอาดออกมาหนึ่งชุด ถือกะละมังตักน้ำจากด้านนอก
“ฉันบอกกับพ่อเธอแล้ว พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ วันนี้เธอพักกับฉันที่นี่แหละ”
“ชุดนักเรียนเธอเปื้อนมาก ถอดออกสิ เปลี่ยนใส่เสื้อของฉันก่อน เดี๋ยวฉันเอาไปซักให้”
ตอนนี้อวี๋มู่อารมณ์ดีมาก พูดไปยิ้มไป เพราะหลังจากเดินเข้าลานบ้านพักมาก็เห็นหัวใจบนหัวเหลียงหานเติมเต็มขึ้นมาตั้งครึ่งนึง นี่คือการทำลายสถิติเลย น่าปลื้มปริ่ม
เหลียงหานมองดูอวี๋มู่ที่ดูดีใจเกินเหตุ พลันเกิดความสงสัย แต่ว่า ถัดจากนั้นเขารีบเอ่ยปฏิเสธ “ครูอวี๋ครับ ต้องขอโทษด้วย กลางคืนผมต้องกลับบ้านครับ”
“ทำไมล่ะ?”
“ผมไม่ไว้ใจให้แม่อยู่กับพ่อตามลำพังครับ”
เขาพูดจบ ทั้งสองก็ต่างเงียบลง
อารมณ์ดีๆ ของอวี๋มู่หายไปสิ้น
เขานึกถึงการใช้ชีวิตร่วมกันของพ่อกับแม่ของเหลียงหาน นึกถึงหญิงบ้าที่เอาแต่ด่าทอลูกชายทั้งที่เขาพยายามปกป้องเธอ
“ก็ได้ ไม่พักก็ไม่พัก” อวี๋มู่ถอนหายใจ เร่งให้เหลียงหานเปลี่ยนชุด ทำความสะอาดเนื้อตัวที่มอมแมม
เหลียงหานราดน้ำให้ผมที่เปื้อนเลือดและแห้งกรังเปียกชุ่ม แล้วค่อยๆ สางมันออก เขาทำความสะอาดทั้งผมและใบหน้า น้ำในกะละมังเปลี่ยนเป็นสีแดงจางๆ
จากนั้นเขาจับเหลียงหานที่เนื้อตัวสะอาดแล้วไปนั่งโซฟา อวี๋มู่อ้อมไปด้านหลังเขา คว้าผ้าขนหนูมาเช็ดหัวให้เขา
เหลียงหานตัวแข็ง แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร
หลังจากกำแพงหนาชั้นของเขาถูกทลายลงไป ความรู้สึกของเหลียงหานที่มีต่ออวี๋มู่ก็เริ่มเปลี่ยนไป
สิ่งที่อวี๋มู่ทำให้กับเขา ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเพียงใด ก็สร้างความอบอุ่นในหัวใจให้เขาเป็นอย่างมาก
เขาถึงขั้นเริ่มคาดหวังในการได้ใกล้ชิดกับคนๆ นี้ ได้สัมผัสที่ใกล้ชิดมากกว่านี้
เมื่อเช็ดไปซักครู่ อวี๋มู่ก็อ้อมไปด้านหน้าเหลียงหาน เขาใช้ผ้าขนหนูแห้งเช็ดโดยเสยผ้าหน้าม้าเขาขึ้น
ชายหนุ่มโน้มตัวมาด้านหน้า งอเข่าข้างนึงบนโซฟา ตรงหว่างขาเหลียงหานพอดี อยู่ในท่วงท่าที่คร่อมทับเหลียงหานไว้พร้อมผ้าขนหนู แล้วพินิจใบหน้าหล่อเหลาของเหลียงหานอย่างตั้งใจ
ตอนที่อยู่โรงเรียน เหลียงหานได้ยินพวกเด็กนักเรียนหญิงคุยกันว่าครูคนใหม่หน้าตาหล่อเหลา ทั้งๆ ที่ดูสุขุมเรียบร้อย แต่กลับมีความนักเลงซ่อนอยู่
ตอนนั้นเหลียงหานเองไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก แต่ในตอนนี้กลับอยู่ใกล้ชิดผู้ชายคนนี้ เขาจึงนึกถึงคำพูดของกลุ่มนักเรียนหญิงขึ้นมาได้
เหลียงหานกลั้นหายใจชั่วขณะอย่างไม่รู้ตัว ใจเต้นผิดจังหวะ
สายตาของเขาจดจ่ออยู่ที่ริมฝีปากของอวี๋มู่
ริมฝีปากบางสีอ่อน
ในใจเกิดความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว
หากว่าได้กัดริมฝีปากนี้ จะแต้มสีสันให้มันแดงระเรื่อขึ้นได้รึเปล่านะ?
เหมือนรู้ตัวว่าตัวเองคิดเลยเถิด เหลียงหานรีบดึงสติเลื่อนสายตาหนี ไม่กล้าสบตาอวี๋มู่อีก
“คล้ายอยู่จริงด้วย……” อวี๋มู่ยื่นมือขวาขึ้นมาแตะแผลเป็นรูปกลีบดอกตรงหน้าผาก พึมพำ “เหมือนกันเป๊ะเลยนี่นา”
เหมือน? เหมือนใคร?
ใบหน้าแดงอมชมพูเมื่อซักครู่ของเหลียงหานค่อยๆ จางลงเมื่อได้ยินคำพูดนี้จากอวี๋มู่ เขาอ้าปากกำลังจะถาม แต่ผ้าขนหนูบนหัวก็ถูกอวี๋มู่ดึงออกเสียก่อน จากนั้นฝ่ามือของอีกฝ่ายก็วางบนหัวเปียกๆ แล้วขยี้ไปมา
ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มห่างออกไป เผยให้เห็นรอยยิ้ม เอ่ยถามกับเขา “นักเรียนเหลียงหาน เชื่อฟังคุณครูนะ พรุ่งนี้เราไปตัดผมกันดีไหม?”
เหลียงหานตอบตกลงไป แต่ตอนที่เขียนหนังสือชี้แจงกลับใจลอยอยู่ตลอดเวลา อดใจไม่ไหวที่จะคิดเรื่องที่ตัวเองนั้นเหมือนใครคนนั้น ผู้ชายหรือผู้หญิง? แล้วคนๆ นั้นมีความสัมพันธ์อะไรกับครูอวี๋
เมื่อเขียนเสร็จตรวจเสร็จ ทั้งสองนัดหมายเวลาเก้าโมงเช้าเพื่อไปร้านตัดผมพร้อมกัน เหลียงหานกลับถึงบ้านตอนสองทุ่ม เปิดประตูออก พ่อของเขา เหลียงหวากำลังนั่งดื่มเหล้าดูทีวีอยู่ บนโต๊ะชามีขวดเบียร์วางเกลื่อนกลาด ส่วนแม่ เจี่ยงหยวน นั่งอยู่อีกฝั่งดูเหม่อลอย ไม่ส่งเสียงใดๆ
“พ่อครับ แม่ครับ ผมกลับมาแล้ว” เหลียงหานทักทายพวกเขา วางกระเป๋าที่ห้องตัวเอง จากนั้นเริ่มเก็บทำความสะอาดโต๊ะกินข้าว ครอบฝาชีลงบนจานอาหารที่ยังเหลือ เก็บจานชามสกปรกไปล้างจนสะอาดเอี่ยม เก็บครัวเรียบร้อยแล้วเข้าห้องทำการบ้าน
กลางดึกเหลียงหานตื่นเพราะเสียงดังจากข้างห้อง ได้ยินเสียงกรีดร้องของเจี่ยงหยวน ในใจบังเกิดความร้อนรน กระโดดลงจากเตียงพุ่งออกไป เห็นแม่ตัวเองใส่เพียงเสื้อกล้ามกับกางเกงใน ผมเผ้ายุ่งเหยิงเหมือนพึ่งคลานออกมาจากม่าน
เหลียงหวายกขาถีบหลังหญิงสาว นั่งบนหลังเธอ ดึงกระชากเสื้อและผม พร้อมกับทั้งทุบตีและด่าทอ
“ปล่อยแม่ผมนะ!”
เหลียงหานวิ่งเข้าไปอย่างไม่คิด ใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักผู้ชายคนนั้นออกไป
เหลียงหวาถูกผลักจนเซ ยิ่งโมโหหนัก เขาต่อยไปที่หน้าเหลียงหาน สองมือบีบคอแล้วกดไปกับกำแพง
ทั้งตัวเขามีแต่กลิ่นเหล้า ด่ากราด “***! กล้าผลัก*เหรอ เห็นทีเอ็งจะไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม!”
เขารูปร่างสูงใหญ่ ทั้งยังกำยำ แข็งแรงกว่าเด็กหนุ่มที่สารอาหารไม่ถึงอย่างเหลียงหาน ขณะนี้กำลังบีบคอเขาแน่น เหลียงหานต้านทานไม่ไหว
ใบหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนสี มือขวาคว้าหวีไม้บนโต๊ะได้
หวีไม้นั้นมีปลายแหลมคมยาว หากว่าทิ่มโดนตาเขา ความเจ็บปวดนั้นคงทำให้เขาปล่อยมือได้
เขาจะปักหวีนั่นให้ลึก เลือดจะได้ไหลหลั่งรินอาบใบหน้าน่าเกลียดนั่น หากว่าปักทะลุตา ทะลุสมองเข้าไป
เขาต้องตาย จะต้องตายแน่
พ่อของเขาจะต้องตาย
เพียงคิดถึงเรื่องนี้ ทั้งตัวกลับรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมา ถึงขั้นอะดรีนาลีนแห่งความยินดีสูบฉีดขึ้นมา
เบื้องหน้าเริ่มเห็นเป็นภาพซ้อนเนื่องจากขาดอากาศหายใจ หลอดลมนั้นเจ็บปวด ปลายมือปลายเท้าเริ่มเย็นและชา ชาไปทั้งร่างกาย นี่เป็นครั้งแรกที่เหลียงหานรู้สึกเข้าใกล้ความเป็นความตายมากที่สุด
เขาบีบนิ้วเรียวผอม กำหวีแน่น ดวงตาแดงก่ำจนเห็นเส้นเลือด
ขอเพียงฆ่าเขาได้ ต้องฆ่าเขาซะ!
รีบลงมือเร็ว!
ฆ่าเขาเดี๋ยวนี้!
“ฉันจะไม่ยอมให้เธอกลายเป็นฆาตกรเด็ดขาด!”
ทันใดนั้น ในสมองก็มีเสียงใครคนนึงดังขึ้น พลันได้สติกลับมา เหลียงหานสะดุ้งจนหวีในมือหลุดตกลงพื้น
เรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดราวกับถูกดูดหายไปณ วินาทีนี้ เหลียงหานยกมุมปากชี้ขึ้นอย่างลำบาก พร้อมกับหลับตาลงด้วยรอยยิ้มโศกเศร้า
คอมเมนต์