ระบบข้ามมิติ ไปเป็นแสงจันทร์ขาวของตัวร้าย ตอนที่ 1-6
เล่มที่ 1 ตอนที่ 6 นักเรียนตัวน้อยที่น่าสงสาร (06)
ตอนเช้าหลังจากตื่น อวี๋มู่เปิดประตูปุ๊ป ดอกกุหลาบก็หล่นลงที่พื้น
เขาเก็บมันขึ้นมา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เกิดความรู้สึกมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
กลอนประตูมันงอกดอกไม้ออกมาได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
เหมือนระบบรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จึงตอบ [นี่คือดอกกุหลาบของเหลียงหาน เมื่อวานตอนตีสองเขาวิ่งมาเสียบไว้ที่ประตู ยังทำความเคารพประตูอีกด้วย]
“กลางดึกตีสอง? เด็กนี่ดึกดื่นไม่นอนวิ่งมาเสียบดอกกุหลาบห้องฉันเพื่ออะไร?” อวี๋มู่เปลี่ยนคำถาม “เมื่อวานเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเหลียงหานรึเปล่า? บอกฉันมา”
ระบบสามารถตรวจสอบถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางรู้ว่าดอกไม้เป็นของเหลียงหาน
ระบบสืบค้นข้อมูล [เมื่อวานเขากลับบ้านไปแล้วเอาดอกไม้ให้แม่ จากนั้นแม่เขาก็ยิ้ม ส่วนเขาร้องไห้ ถัดจากนั้นอีกเขาก็นอนไม่หลับ จึงวิ่งมาเสียบดอกไม้ที่ห้องโฮสท์ครับ]
“……” อวี๋มู่กุมขมับ บอกกับไม่บอกไม่ได้ต่างกันเลยนี่
เขานั่งลงที่โซฟา มองดูดอกกุหลาบ ขมวดเป็คินปม
ทำไมต้องดอกกุหลาบ?
ฤดูร้องเมืองเป่ยนั้นค่อนข้างร้อนและแห้ง ยุคนี้เครื่องปรับอากาศก็แพงมาก ไม่ใช่คนทั่วไปจะซื้อได้
อยู่ในบ้านมีแต่จะอบอ้าว เพื่อนบ้านหลายคนถือพัดสานไปนั่งใต้ต้นไม้อาศัยความร่มเย็น
ต้นพุทราเป็นของบ้านเหลียง ต้นฉัตรของบ้านหลี่ที่คุณปู่ปลูกไว้ คุณปู่เหมือนกำลังเล่นหมากรุกที่แกะสลักโต๊ะหินทำเป็นโต๊ะหมากรุก และนั่งดื่มชากับเพื่อนๆ
หวางปิง สามีจางเหมยกำลังตั้งแผงร้านอาหารหน้าบ้าน ส่วนเธอดูแลลูกสาวที่ปิดเทอมอยู่ที่บ้าน ตอนนี้กำลังนั่งใต้ต้นฉัตรถือพัดสานมองดูลูกสาวเธอวิ่งเล่น
เมื่อเห็นอวี๋มู่เดินออกมา จึงทักทายเรียกให้ไปนั่งด้วยกัน
ทั้งสองสนนทนากันชั่วครู่ จู่ๆ จางเหมยก็กล่าวถึงเหลียงหาน “ครูอวี๋ เหลียงหานอยู่ห้องของคุณใช่ไหม”
อวี๋มู่ชะงัก ตอบ “ใช่ครับ มีอะไรหรือเปล่า?”
“การเรียนของเขาดีไหม?”
อวี๋มู่ไม่รู้ความหมายที่เธอถาม จึงตอบไปตามความเป็นจริง
“การเรียนไม่เลวเลย อยู่สิบอันดับแรกของชั้นเรียนตลอด”
พูดถึงการเรียนของเหลียงหาน อวี๋มู่ก็อดที่จะชื่นชมไม่ได้ แม้ว่าเด็กคนนี้จะวิ่งเข้าออกห้องพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง แต่การเรียนก็ไม่เคยตกเลย ฉลาดมากทีเดียว
“งั้นก็ช่างน่าเสียดาย”จางเหมยเผยสีหน้าเสียดาย
อวี๋มู่สงสัย “พี่จาง ผมไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่พี่พูดเท่าไหร่?”
จางเหมยจึงเล่าเรื่องที่ตัวเองรู้ให้อวี๋มู่ฟัง
วันนั้นเธอไปจ่ายตลาด เดินผ่านร้านขายเครื่องมือช่างของพ่อเหลียงหวา เห็นสองพ่อลูกกำลังทะเลาะกัน
เหลียงหวาตั้งใจว่าจะไม่ส่งเหลียงหานเรียนต่อ บอกว่าการเรียนไม่จำเป็น เหลียงหานไม่เห็นด้วย พอเริ่มพูดก็ถูกเหลียงหวาถีบกลิ้งไปกับพื้น หยิบท่อนเหล็กจะฟาดเหลียงหาน ดีที่คนแถวนั้นช่วยห้ามไว้ จึงไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่โต
อวี๋มู่ฟังจบ ในใจรู้สึกไม่ดี
เพราะเหลียงหานไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้กับเขามาก่อน
ต้องพูดว่าพอเริ่มปิดเทอม เขาก็ไม่ค่อยได้เห็นเหลียงหานอีกเลย
อีกฝ่ายนั้นออกบ้านเช้ากลับบ้านดึกตลอด ไม่รู้ว่าทำอะไรบ้าง หลายวันก่อนเห็นหน้าบ้าง รู้สึกได้ว่าเด็กคนนี้ผอมลงไปอีก ใบหน้ามีรอยช้ำ
เขาเข้าใจดีว่าเหลียงหวาเลี้ยงเหลียงหานด้วยลำแข้งมาตลอด ยอมให้มีข้าวกินก็ถือว่าดีมากแล้ว การส่งให้เรียนจบมาเก้าปี หากจะขึ้นมัธยมปลายต้องมีค่าใช้จ่ายไม่น้อยเลย เขาไม่อยากต้องใช้จ่ายกับเหลียงหานมากไปกว่านี้ หวังอยากให้เขาออกกลางคันด้วยซ้ำ
แต่อวี๋มู่รู้ว่าเหลียงหานอยากเรียน
ช่วงที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มดีขึ้น เหลียงหานเปลี่ยนไปมาก
หลังจากตัดผมหน้าม้า ด้วยหน้าตาอันหล่อเหลา เพื่อนๆ ในห้องเริ่มไม่ตีตัวออกห่างจากเขาแล้ว แม้เหลียงหานจะไม่ค่อยชอบคลุกคลีกับคนอื่น แต่ก็ถือว่าเริ่มเข้ากับคนอื่นได้
ทุกอย่างกำลังเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
สำหรับเหลียงหานในตอนนี้ การเรียนคือทางออกเดียวสำหรับเขา โรงเรียนเป็นสถานที่ๆ เขาสามารถหลบหลีกความรุนแรงในบ้านได้
เหลียงหวาเอ่ยปากให้เขาหยุดเรียน นี่เท่ากับว่าตัดหนทางอนาคตของเขาเลยก็ว่าได้
โหดร้ายสิ้นดี
*
หลังจากนั้น จางเหมยก็พูดนั่นนี่ไปเรื่อย แต่อวี๋มู่ฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว
เขาไม่ได้กินข้าว ก็มานั่งรอเหลียงหานอยู่ตรงหน้าประตูลานกว้าง จากหกโมงเย็นจนถึงสามทุ่ม หลังจากสูบบุหรี่มวนที่แปด ในที่สุดเหลียงหานก็กลับมา
ไฟตรงประตูยังคงสว่าง แสงสะท้อนเงาชายหนุ่มที่ใส่เสื้อกล้ามขาวกางเกงดำ
เขานั่งตัวงอข้อศอกชันเข่า นิ้วมือเรียวยาวกำลังคีบบุหรี่ที่หายไปกว่าครึ่งและมีไฟริบหรี่
อวี๋มู่สูบบุหรี่เข้าปอดลึกๆ ก่อนจะดับบุหรี่ที่พื้น จากนั้นยืนขวางเหลียงหานไว้
ที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องขวาง เพราะทันทีที่เหลียงหานเห็นเขาก็หยุดเดินแล้ว ใต้แสงไฟที่ไม่ได้สว่างมากนัก ทำให้เขาซ่อนอารมณ์ตัวเองได้อย่างดี แววตาละโมบจรดอยู่บนตัวอวี๋มู่ แทบไม่อยากละสายตาจากเขา
เขาไม่ได้เห็นหน้าครูอวี๋มาติดกันหลายวันแล้ว ช่วงนี้เขาอยากเก็บเงินเพื่อหาเงินเรียนโดยการไปเป็นพ่อครัวที่ร้านอาหารตรงถนนใหญ่ ต้องตื่นตั้งแต่ตีห้า จนถึงสองทุ่มครึ่งถึงจะได้พัก
เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่มีทางหยุดเรียนแน่
เหลียงหวาไม่อยากจ่ายค่าเทอม งั้นเขาจะหาเอง ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนเขาก็จะถอดใจเรื่องเรียนไม่ได้
เพราะเขายังจำใบหน้าของอวี๋มู่ที่ยิ้มแย้มเวลาอวดเรื่องการเรียนของเขาใหครูคนอื่นฟังได้ดี
หากการเป็นนักเรียนดีเด่นแล้วทำให้ครูอวี๋ดีใจ ถ้าอย่างนั้นเขาก็ยินดีที่จะทำ
เขาเข้าใจดี มีเพียงเวลาที่อยู่ที่โรงเรียน คือเวลาที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับอวี๋มู่มากขึ้น
เขาไม่อยากปล่อยโอกาสเหล่านี้ไป
แววตาของเหลียงหานเริ่มร้อน แม้ว่าจะไม่ค่อยชัดในที่มืด แต่อวี๋มู่ก็รับรู้ได้ถึงความแปลกประหลาดบางอย่าง เขามองดูเด็กหนุ่มที่ตัวสูงเกือบจะเท่าเขาแล้ว ขมวดคิ้วแน่น
ที่จริงเขาอยากจะโมโห ว่าทำไมเหลียงหานจึงไม่ได้บอกเรื่องใหญ่เช่นนี้กับเขา
แต่พอลองเปลี่ยนมุมมองความคิด ปรับเป็นมุมของเขาแล้วลองคิดดู หากว่าเขาเป็นเหลียงหาน ก็คงไม่อยากเอาเรื่องแบบนี้มาบอกกับครูเช่นกัน
เป็นเรื่องของความทะนงตน แล้วก็ไม่อยากเพิ่มปัญหาให้ครูด้วย
เพราะเรื่องแบบนี้ถึงพูดออกไป ก็ใช่ว่าครูจะช่วยจัดการปัญหาให้ได้ซะเมื่อไหร่? จ่ายค่าเทอมให้เขางั้นเหรอ? หรือช่วยกล่อมพ่อที่ไม่ได้เรื่องให้จ่ายค่าเทอม?
แต่ว่า ครูคนอื่นจะจัดการยังไงเขาไม่รู้ แต่ถ้าพูดถึงเขา เขายอมจ่ายเพื่อเหลียงหาน
แต่เรื่องแบบนี้มันต้องมีวิธี ไม่ใช่ทำด้วยอารมณ์
“ครูอวี๋ มาหาผมมีเรื่องอะไรหรือเปล่าฮะ?”
เมื่อเงียบกันอยู่นาน เหลียงหานก็ถอนสายตาสำรวจตามอำเภอใจของเขากลับมา แล้วทำลายบรรยากาศเงียบๆ ทิ้ง
เขาเดาออกถึงสาเหตุที่ครูอวี๋มาหาเขา ในใจพลันรู้สึกเป็นสุข
รอนานขนาดนี้ แสดงว่าครูอวี๋ต้องห่วงความรู้สึกเขามากแน่ๆ
บางทีอาจเป็นเพราะหลังจากเรื่องกุหลาบในคืนนั้น ความรู้สึกที่เขามีต่อครูอวี่ก็เปลี่ยนไป บอกไม่ถูกว่ายังไง เพียงแต่สายตาของเขานั้นตามติดตัวอวี๋มู่อย่างไม่อาจควบคุมได้
ทั้งที่ชุมชน แล้วก็ที่โรงเรียน กลางดึกเวลาอยู่บนเตียง เขาก็นึกถึงแต่อวี๋มู่
ตอนที่ถูกพ่อเฆี่ยนตี หรือแม่ด่าทอ ทุกครั้งที่สมองเริ่มคลั่ง เขาก็จะนึกถึงคำพูดที่ครูอวี๋บอกกับเขา และมันทำให้เขาสงบสติลงมาได้
เขาคาดหวังให้อวี๋มู่สังเกตเห็นเขา อยากให้อวี่มู่ยอมรับในตัวเขา และรู้สึกไว้วางใจในตัวเขาได้
เหมือนตอนนี้ ทั้งสองยืนอยู่ตรงหน้ากันและกัน นิ้วมือของเขาก็อดไม่ได้ที่สั่นเทา
ความเหนื่อยและความกดดันทั้งหมดที่มีในช่วงนี้แปรเปลี่ยนเป็นความต้องการที่อยากจะโอบกอดคนตรงหน้า เขาเข้าใกล้ความเป็นคนโรคจิตเข้าไปทุกที
หลังหักห้ามใจ เขาก็ขัดความคิดของครูอวี๋ แล้วเรียกเขาอีกรอบ “ครูอวี๋ฮะ?”
อวี๋มู่ตัดสินใจเลือกวิธีได้แล้ว มุมปากยิ้มยกขึ้นแบบดูไม่ค่อยออก “กินข้าวเย็นรึยัง?”
“กินแล้วฮะ”
“อ่า กินแล้วเหรอ?” จุดนี้อวี๋มู่ไม่ทันได้นึก เขายังคงนึกว่าเจ้าเด็กน่าสงสารนี่คงไม่มีเงินกินข้าวแน่
“อื้ม กินจากข้างนอกมาแล้วฮะ” เขาตอบด้วยท่าทางน่าเอ็นดู
อวี๋มู่หน้าจืดสนิท พลันรู้สึกว่าการปล่อยท้องให้ว่างเพื่อรอเจ้าหมอนี่มาทั้งวันนี่มันทรมานตัวเองชัดๆ
คงเพราะความทรงจำในวันที่เขาเป็นลมไปนั้นชัดเจนเกินไป ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าหมอนี่ต้องไม่ได้กินข้าวดีๆ แน่ หรือไม่ก็ไม่มีเงินกินข้าว แต่ตอนนี้มาคิดๆ ดู เหลียงหานตัวโตขนาดนี้แล้ว จะไม่รู้เรื่องขนาดนั้นเลยเหรอ?
จะปล่อยให้ตัวเองอดตายคงไม่ใช่เรื่อง?
“ดึกขนาดนี้แล้ว ครูยังไม่กินเหรอฮะ?” เหลียงหานรู้สึกแปลกใจ
“อื้อ ใช่ ยังไม่ได้กิน” อวี๋มู่ตอบแล้วทำปากคว่ำไม่พอใจเล็กๆ เหลียงหานเก็บทุกรายละเอียดท่าทางนั้น
“หรือครูรอผมมาทั้งเย็น ก็เลยไม่ได้กินข้าวเหรอฮะ?” หลังจากพูดสิ่งที่ตัวเองเดาออกมา เสียงของเหลียงหานนั้นแอบแหบแห้ง
“อืม จะว่าอย่างนั้นก็ได้” อวี๋มู่เกาหัวตัวเองอย่างเคอะเขิน หันหลังเดินเข้าด้านที่พัก ก็เปลี่ยนเรื่องคุย “เธอตามมานี่สิ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
อวี๋มู่พาเหลียงหานเดินเข้าบ้านตัวเอง เปิดไฟ จากนั้นหยิบซองในถุงเก็บของข้างกำแพง จากนั้นเดินไปที่เตาทำอาหาร
“เธอนั่งตามสบายนะ ฉันหิวจนทนไม่ไหวแล้ว ขอต้มบะหมี่กินก่อน”
เหลียงหานสังเกตเห็นซองมาม่ารสชาติหลากหลายกองอยู่ พลันขมวดคิ้ว
“ครูกินแต่มาม่าตลอดเลยเหรอฮะ?”
อวี๋มู่ฉีกซองมาม่าออก “ก็ไม่ใช่หรอก บางทีก็ซื้อบ้าง แต่ทำเองไม่เป็น ทำได้มากสุดก็มะเขือเทศผัดไข่น่ะ กินบ่อยจนจะอ้วกแล้ว เลยกินมาม่าดีกว่า”
เหลียงหานขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม
เขาเดินไปห้องครัวที่ติดกับห้องรับแขก แล้วค้นตะกร้าใส่ผัก จากนั้นหยิบแตงกวากับมะเขือเทศและไข่ที่อยู่ในแผงมา
“ครูฮะ กินแต่ของพวกนี้มันไม่ได้นะฮะ” แม้ว่าเหลียงหานจะเป็นคนประหยัด แต่ก็อยากให้อวี๋มู่ดูแลตัวเองบ้าง
พอไดฟังคำพูดนี้ อวี๋มู่ดวงตาเป็นประกาย มือที่ถือซองมาม่าเริ่มชะงัก แล้วถามระบบในใจว่า : ระบบ เหลียงหานทำกับข้าวเป็นรึเปล่า?
[แน่นอน ทั้งยังทำได้อร่อยมากด้วย] ระบบเสริมอีกว่า [เมื่อครู่ผมเช็คข้อมูลมา หลายวันมานี้งานที่เขาทำ ก็คือเป็นพ่อครัวร้านอาหาร หาเงินได้ไม่เยอะ แต่เลี้ยงอาหารพร้อมสามมื้อ]
อวี๋มู่ : …….เรื่องแบบนี้ทำไมไม่บอกฉันล่ะ? ให้ฉันทนรอเค้าตั้งนาน? สนุกมากรึไง?
[ก็คุณไม่ได้ถามนี่นา] ระบบละล่ำละลั่ก [คุณต้องถาม ผมถึงจะบอกได้ คุณไม่ถาม ผมก็ไม่ค้นหา หลายเรื่องแม้กระทั่งผมเองก็ไม่ทราบเช่นกัน]
อวี๋มู่ : …….
เขาไม่อยากทะเลาะกับระบบ อวี๋มู่วางซองมาม่าลง เรียกเหลียงหานมา
เขายืนตรงเตาอาหาร แล้วหันมายิ้มหวานให้เหลียงหาน ก่อนเอ่ย “ครูเองก็รู้ว่ากินแต่ของพวกนี้มันไม่ดี แต่ครูทำไม่เป็นเลยนี่นา”
เขาโบกมือ เอ่ยขำขัน “ฉันเดาว่าคงต้องหาแฟนซักคนถึงจะแก้ปัญหานี้ได้”
ตอนที่เหลียงหานได้ยินคำว่า แฟน ในใจเริ่มลน จึงรีบพูดออกมาไม่ทันคิด “ไม่ต้องมีแฟนก็แก้ปัญหาได้ฮะ ผมพอทำกับข้าวได้ เดี๋ยวผมทำให้ครูกินเอง!”
อวี่มู่ชะงัก คิดไม่ถึงว่าจะราบรื่นขนาดนี้ เดิมเขานึกว่าต้องพูดอะไรมากกว่านี้เสียอีก ว่าจะทำยังไงให้เหลียงหานเผยว่าตัวเองทำกับข้าวได้ นี่ก็เท่ากับไม่ต้องเปลืองแรงเลย
เหลียงหานเหมือนรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว หันหน้าหนีเอามือปิดปาก หน้าด้านที่ยังมองเห็นอยู่นั้นแดงไปทั้งหน้า
อา นี่เขาพูดอะไรออกไปนะ…..
แต่เสียดายที่อวี่มู่ ชายแท้ไม่ได้คิดได้ลึกซึ้งถึงขั้นนั้น เขาแค่เห็นอีกฝ่ายหลงกลก็ดีใจแล้ว แล้วก็เห็นแต้มความพอใจของเหลียงหานเพิ่มขึ้นอีกด้วย ดวงที่สี่เพิ่มขึ้นมาส่วนนึงแล้ว ยิ่งดีใจเป็นพิเศษ
เขาหัวเราะ “ได้สิ งั้นอีกหน่อยเธอรับหน้าที่ทำกับข้าวให้ฉันนะ วันละสามมื้อ เท่ากับว่าฉันจ้างเธอ เดี๋ยวจะมีค่าแรงให้อย่างเหมาะสมเลย”
เหลียงหานถูกคำพูดเขาขัดความคิดเข้า จึงไม่มีเวลามาเขิน จ้องมองอวี๋มู่ รีบเอ่ย “ไม่ได้หรอกฮะ ครู ผมทำกับข้าวให้คุณได้ แต่รับเงินไว้ไม่ได้หรอก นี่คือสิ่งที่ผมควร……”
“นักเรียนเหลียงหาน” อวี๋มู่จู่ๆ ทำหน้าเข้ม “ช่วงที่ผ่านมาเธอไปทำงานรับจ้างข้างนอกมาใช่รึเปล่า? ต้องนอนดึกตื่นเช้า กินไม่ดีหลับไม่สบาย……”
เขาเดินหน้าไปสองก้าว แล้วจับหน้าเหลียงหาน มองดูซ้ายขวา “ดูตาหมองคล้ำนี่สิ พ้นช่วงปิดเทอมไป ร่างกายคงเหนื่อยจนฟุบแน่นอนไม่ใช่หรือ?”
เขาปล่อยมือ เริ่มสวมบทครูร่ายบทสวดให้นักเรียน “หากร่างกายอ่อนเพลียจะพร้อมรับการเปิดเทอมใหม่ได้ยังไง? แล้วจะสอบได้คะแนนดีๆ ได้ยังไง? ในฐานะที่เป็นครูประจำชั้น ฉันมีอำนาจให้เธอลาออกจากที่ทำงานนั่น แล้วมาทำกับข้าวให้ฉัน ทั้งยังเป็นโอกาสดีที่ฉันจะได้ประเมินว่าเธอลืมบทเรียนกับความรู้ที่เคยเรียนไปแล้วรึยังด้วย”
“แต่ว่า……” สัมผัสของนิ้วมือยังอยู่บนใบหน้า ทำให้อุณหภูมิที่ลดลงเมื่อครู่เด้งกลับขึ้นมาอีก เหลียงหานเม้มปากแน่น เพียงคำพูดไม่กี่คำก็ทำให้ใจเขาอบอุ่นได้อย่างเหลือเชื่อ
“ไม่มีคำว่าแต่ เอาตามนี้” อวี๋มู่ขัดคำพูดเขา แล้วใส่ซองเครื่องปรุงกลับเข้าไปในซองมาม่า หักครึ่งนึงโยนเข้าปาก เคี้ยวกรุบๆ ใช้น้ำเสียงคำสั่งพูดต่อ “พรุ่งนี้เป็นต้นไป พวกเราต้องไปจ่ายตลาดด้วยกัน ฉันจะซื้อของที่ฉันอยากกิน เธอมีหน้าที่ทำให้ฉันก็พอ”
สายตาของเหลียงหานไปจรดอยู่ที่ซองมาม่าในมืออวี๋มู่ มองดูชายหนุ่มเคี้ยวกรุบๆ แล้วกัดอีกคำนึง เหมือนสัตว์เลี้ยงน่ารักตัวน้อย
เขาจิกเล็บตัวเอง เหลียงหานต้องรีบเก็บความคิดฟุ้งซ่านในหัวไป แล้วตอบรับเงื่อนไขของอวี๋มู่
หรือจะพูดว่า แม้ปากจะปฏิเสธ แต่ในใจกลับมีความสุขมาก ชีวิตที่พึ่งพากันและกัน รับรู้ถึงความปลอดภัยจากการใส่ใจและพยายามปกป้องจากอีกฝ่าย
คอมเมนต์