รีเทิร์นหัวใจ กับ AI จอมวุ่น ตอนที่ 10

Reader Settings

Size :
A-16A+

ตอนที่ 10

กวนเย่ว์มองนาฬิกาก่อนเอ่ย “ฉันจะรอนายที่บ้าน รอนายทำเสร็จค่อยเดินทางกัน”
เทียนเหอยุ่งกับหัวข้อวิจัยจนไม่ได้นอนมาสองวันแล้ว แต่เขารู้ว่าจากนิสัยของกวนเย่ว์ว่าถ้าเขาไม่ไปด้วย พวกเขาก็ไม่มีวันได้จบกันแน่ๆ ดังนั้นจึงได้แต่สั่งงานพ่อบ้านเสียงต่ำ พวกคนรับใช้เริ่มทยอยเก็บข้าวของให้เขา ส่วนตัวเทียนเหอนั้นไปปอาบน้ำ
“ลาซา[1]” กวนเย่ว์ยกชาขึ้นดื่ม เขาในชุดออกกำลังกายกำลังนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขกอย่างใจเย็น “ไม่ต้องพกอะไรไปทั้งนั้น เตรียมไว้ให้นายหมดแแล้ว”
เทียนเหอเช็ดผมแล้วเปลี่ยนเป็นชุดเสื้อผ้าทำกิจกรรมกลางแจ้ง แล้วตามกวนเย่ว์ขึ้นเครื่องบินไป เขานอนบนเครื่องบินบ้านกวนเย่ว์ไปกว่าสิบชั่วโมง ตอนเห็นท้องฟ้าแจ่มใสที่ไร้ซึ่งเมฆของลาซาก็ทำให้อารมณ์ของเขาดีไม่น้อยเลยทีเดียว
“นี่ไม่ใช่ที่ๆ ดีในการอำลาเรื่องราวบนเตียงเลยนะ” เทียนเหอกล่าว “ถ้าเกิดหายใจไม่ออกขึ้นมา โปรเจคกว่าหมื่นล้านของบริษัทนายจะไม่มีคนรับผิดชอบเอานะ”
“ฉันไม่มีเจตนาแบบนั้น” กวนเย่ว์ตอบอย่างเย็นชา “ฉันไม่ได้พานายมามีอะไรกัน”
เทียนเหอมองรอบตัวถามว่า “แค่พวกเราสองคน?”
ไม่มีคนขับรถ ไม่มีผู้ช่วย แสงแดดสดใสส่องถนนในลาซา มีแค่พวกเขาสองคน กวนเย่ว์ไม่ตอบ ยกแว่นกันแดดขึ้นมาใส่ สะพายกระเป๋าของตัวเองกับเทียนเหอก้าวเดินไปอย่างช้าๆ ในสถานที่ที่สูงที่สุดในโลกเหนือระดับเน้ำทะเลเกือบสี่พันเมตร จู่ๆ เทียนเหอก็รู้สึกได้ถึงความโดดเดี่ยวและว่างเปล่าเหมือนถูกกั้นออกจากโลกแห่งความเป็นจริง
ตั้งแต่ได้เหยียบย่ำลงบนผืนดินแห่งนี้ ลอนดอน นิวยอร์ก ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้… ราวกับว่าโลกอันศิวิไลซ์เหล่านั้นที่ปกคลุมไปด้วยกลุ่มควันมากมายค่อยๆ หายไปอย่างไม่รู้ตัว ภายใต้ผืนฟ้าที่ราวกับเอื้อมมือไปก็สามารถแตะถึงได้ เหลือเพียงแค่เขาและกวนเย่ว์ จากชีวิตที่มีแต่ความวุ่นวายได้กลับสู่สภาพที่แท้จริงของมัน
กวนเย่ว์ไม่ได้พูดอะไร เดินนำหน้าไปเช่ารถ แล้วพาไปยังร้านอาหารเล็กๆ หน้าพระราชวังโปตาลา เขาวางสัมภาระของทั้งคู่ลง แล้วสั่งชานมร้อนมาหนึ่งกา นั่งกับเทียนเหอในร้าน สิ่งที่เทียนเหอจำได้แม่นที่สุดก็คือจริงๆ แล้วชานมที่ลาซาอร่อยมาก และข้างๆ ก็มีคู่รักชาวทิเบตนั่งอยู่คู่หนึ่ง แก้มแดงแบบคนที่อาศัยอยู่บนที่ราบสูง ฝ่ายชายมีท่าทีหยาบกระด้าง ส่วนฝ่ายหญิงกลับดูขี้อาย
“พรุ่งนี้จะขับรถไปฉวี่ตัง[2]” กวนเย่ว์ปริปาก
“ไม่มีทางปีนขึ้นไปได้แน่ๆ” เทียนเหอบอก “นายบ้าไปแล้วหรือไง?”
กวนเย่ว์บอก “ไม่ไปถึงยอดหรอก ไปได้แค่ไหนก็แค่นั้น”
งั้นยังพอไหว เทียนเหอเลิกยืนหยัด กล่าวต่อว่า “ฉันอยากไปตลาดแปดเหลี่ยมสักครั้ง วันมะรืนค่อยออกเดินทางกัน”
สี่โมงเย็นหลังจากทานมื้อเย็น ทั้งคู่ก็เข้าพักกันที่โรงแรม กวนเย่ว์จองห้องนอนแบบสแตนดาร์ด ต่างคนต่างนอนอยู่บนเตียงของตัวเอง เวลาผ่านไปไม่นานนัก กวนเย่ว์ก็เริ่มรับสายโทรศัพท์อย่างต่อเนื่อง ส่วนมากเขาจะฟังเป็นส่วนใหญ่ มีพูดว่า “โอเค” หรือให้ความคิดเห็นสั้นๆ เป็นบางครั้ง จนพระอาทิตย์ตกดิน เทียนเหอรู้สึกปวดหัวเหมือนจะตายบนที่ราบสูง ในหูอื้ออึงไปหมด จนท้ายที่สุดก็ทนไม่ไหวจนต้องพูดขึ้นว่า “อย่าคุยโทรศัพท์ในห้องได้ไหม”
“โทษที”
กวนเย่ว์เดินเข้าห้องน้ำแล้วปิดประตู จัดการกับเรื่องงานต่อ เทียนเหอถอนหายใจในความมืด เลิกกันแล้วแท้ๆ ทำไมถึงยังต้องทรมานกันอีกนะ?
ตอนเที่ยงคืน กวนเย่ว์คุยโทรศัพท์เสร็จออกมา เทียนเหอที่นอนอยู่บนเตียงกำลังหอบหายใจอย่างเจ็บปวด อาการแพ้ความสูงหนักขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกำลังโดนทรมานยังไงอย่างนั้น พอกวนเย่ว์วางมือลงบนหน้าผากของเทียนเหอก็ต้องรีบออกไปซื้อออกซิเจน หงจิ่งเทียน[3]แล้วชงชาโคคา หลังจากทรมานกันทั้งคืน เช้าวันต่อมาสภาพเทียนเหอเหมือนโดนทรมานจนดูทรุดโทรมไปหมด
“เคยไปโบลิเวียมาแท้ๆ ฉันก็นึกว่านายจะทนซะได้อีก” กวนเย่ว์ที่เฝ้าอยู่ข้างเตียงทั้งคืนขมวดคิ้วกล่าว “ทำไมรอบนี้แพ้หนักขนาดนี้”
เทียนเหอคิดในใจว่าแผนนายใช้ได้เลย กว่าจะถึงเอเวอร์เรสต์เบสแคมป์เขาคงจะจากโลกใบนี้ไปก่อนพอดี
“ช่วงนี้โต้รุ่งติดกันหลายคืนบวกกับหัวข้อวิจัยของโปรเฟสเซอร์เลยนอนไม่ค่อยพอเท่าไหร่” เทียนเหอกล่าวอย่างเหนื่อยอ่อน “ไม่เป็นไรหรอก พักผ่อนสักพักก็ออกเดินทางได้แล้ว วันนี้รู้สึกดีขึ้นเยอะล่ะ”
กวนเย่ว์ซื้ออาหารเช้ามา เทียนเหอกินได้สองคำก็อ้วกซะแล้ว
“ช่างมันเถอะ กลับลงไปกัน” กวนเย่ว์เอ่ย
“ไม่” เทียนเหอกลับหัวดื้อขึ้นมา กล่าวต่อว่า “นี่เป็นการออกมาเที่ยวครั้งแรกในรอบสามปีของพวกเราเลยนี่นา?”
กวนเย่ว์มองเทียนเหอเงียบๆ เทียนเหอลุกขึ้นแล้วกล่าวอย่างดื้อรั้น “ยังไม่เคยมาลาซาเลย ฉันอยากไปเที่ยวตลาดแปดเหลี่ยม”
กวนเย่ว์ได้แต่ใส่เสื้อกันหนาวแล้วออกจากโรงแรมพร้อมเทียนเหอ
กวนเย่ว์พูดอย่างดื้อดึง “กินเข้าไปอีกนิด”
เทียนเหอ “กินไม่ลงแล้ว อย่างห่วงฉันเลย ไม่เป็นไรหรอก”
กวนเย่ว์ “ค่อยมาใหม่ครั้งหน้า เชื่อฉัน กลับกันเถอะ”
เทียนเหอกล่าวยิ้มๆ “ครั้งหน้ามีอีกที่ไหนกัน? ไม่มีครั้งหน้าแล้ว นี่เป็นครั้งสุดท้าย”

แสงแดดลอดผ่านช่องว่างของกงล้ออธิษฐาน เทียนเหอใส่หมวกของชาวทิเบตและสวมเสื้อคลุมเดินไปตามทางที่มีกงล้ออธิษฐานเรียงรายอยู่ นิ้วเรียวยาวหมุนกงล้อที่สูงครึ่งเมตรตามเข็มนาฬิกา กวนเย่ว์ยืนอยู่หน้าวัดโจคัง เฝ้ามองเทียนเหอที่กำลังค่อยๆ เดินมาหาเขาอย่างเงียบๆ
“ประการแรก หากเราไม่เคยพบเจอกัน เราก็จะไม่เกิดความรัก”
“ประการที่สอง หากเราไม่เคยรู้จักกัน เราก็จะไม่คิดถึงกัน”
“ประการที่สาม หากเราไม่เคยอยู่เคียงข้างกัน เราก็จะไม่ติดค้างกันและกัน”
เทียนเหอยิ้มน้อยๆ คิ้วเลิกขึ้นบาๆ มองไปยังปลายทางเดินที่มีร่างของกวนเย่ว์อยู่ ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้แสงแดดดูพร่ามัวไม่สามารถมองเห็นได้ชัด ราวกับว่ากำลังยืนรอเขาอยู่ที่ปลายทางของห้วงเวลา ทั้งถนนเหมือนรวบรวมช่วงเวลาอันยาวนานตั้งแต่การพบเจอ การรู้จักกันของพวกเขาตั้งแต่เด็กจนโต
“ประการที่สี่ หากเราไม่เคยทนุถนอมกัน เราก็จะไม่จดจำกันและกัน”
“ประการที่ห้า หากเราไม่เคยรักกัน เราก็จะไม่ทอดทิ้งกัน”
เทียนเหอพึมพำ “ประการที่หก หากเราไม่เคยเผชิญหน้ากัน เราก็จะไม่เจอหน้ากัน”
“ประการที่เจ็ด หาเราไม่เคยทำผิดต่อกัน เราก็จะไม่เกิดความรู้สึกผิดหวังต่อกัน”
“ประการที่แปด หากเราไม่เคยให้สัญญากัน เราก็จะไม่มีทางไปต่อด้วยกันได้”
“ประการที่เก้า หากเราไม่เคยพึ่งพากัน เราก็จะไม่มีชีวิตร่วมกัน… หากเราไม่เคยพบพานกัน เราก็จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน…”
ทางเดินเส้นนั้นยาวมาก แต่ท้ายที่สุดก็มาถึงปลายทาง ตอนที่เทียนเหอหยุดฝีเท้า กวนเย่ว์ที่ยืนอยู่ที่ปลายทางมือกำโทรศัพท์แล้วโชว์ประวัติการจองตั๋วให้เขาดู ตั๋วเครื่องบินตอนค่ำเวลาหนึ่งทุ่มถูกจองเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เทียนเหอหลบสายตาที่สบกับกวนเย่ว์ เขาหันหน้าหนีแล้วพยักหน้า
กวนเย่ว์ชี้นิ้วลงที่พื้น เป็นเชิงให้เทียนเหอรอเขาตรงนี้สักครู่ เทียนเหอเลยนั่งขัดสมาธิบนพื้นรอเขาอยู่นอกวัด มองไปยังท้องฟ้ากว้างกับผืนแผ่นดินใหญ่ ไม่มีอะไรมาผูกมัด มีอิสรเสรี
กวนเย่ว์เดินไปอยู่ท่ามกลางชาวทิเบต ยกมือทั้งคู่ขึ้นแยกออกจากกันเหนือหัว ยอบทั้งตัวลงกับพื้นค่อยคุกเข่าลงตาม เป็นการไหว้แบบทิเบต เขาก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว ยอบตัวลงอีกครั้งค่อยตามด้วยการคุกเข่าแล้วโค้งคำนับ
เทียนเหอมองกวนเย่ว์นิ่งๆ ลืมนับว่าอีกฝ่ายโค้งคำนับไปทั้งหมดกี่รอบ จนกระทั่งกวนเย่ว์จบทั้งหมดนี่ลง แล้วลุกขึ้นเดินมาทางเขา บนหน้าผากมีรอยแดงประทับอยู่ ทำให้เขารู้สึกตลกจนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
กวนเย่ว์สะพายกระเป๋าขึ้น ส่งเทียนเหอไปสนามบินอย่างเงียบงัน
“ตอนหมุนกงล้อ นายอธิษฐานอะไรน่ะ?” กวนเย่ว์เอ่ยถาม
เทียนเหอตอบ “รหัสลับของฉันเอง หวังให้หัวข้อวิจัยเป็นไปได้ด้วยดี แล้วนายล่ะ? ตอนโค้งคำนับขอพรอะไรไป?”
กวนเย่ว์ตอบ “ของให้บรรดาพระเจ้าเมตตา ให้บริษัทที่ฉันลงทุนได้เข้าตลาดหลักทรัพย์”
เทียนเหอยิ้มเล็กน้อย มองกวนเย่ว์แล้วกล่าวว่า “นายเป็นนักลงทุนที่จริงจังมีความรับผิดชอบ คำขอของนายจะต้องเป็นจริงแน่ๆ งั้น… ฉันไปก่อนนะ”
กวนเย่ว์มองเทียนเหอเงียบๆ เขาไม่ได้พูดอะไรอีก ตอนเข้าเครื่องสแกนกวนเย่ว์ก็ยังคงมองมาอย่างไร้สุ้มเสียงอยู่ด้านนอก ตอนเทียนเหอชูมือขึ้นเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจเช็ค ในที่สุดกวนเย่ว์ก็ถามขึ้นว่า “นายยังรักฉันอยู่ไหม”
“นิดนึงมั้ง” เทียนเหอหันหลังไปยิ้มให้กวนเย่ว์ “แต่ถ้านึกถึงตอนตายที่ฉันไม่สามารถถูกฝังลงสุสานของบ้านตระกูลกวนของนายแล้ว ฉันว่าเจ็บแบบสั้นๆ ยังดีกว่าเจ็บแบบยาวนาน ทุกคนก็อดทนหน่อยแล้วกัน”
กวนเย่ว์บอก “นายสามารถหาคนที่ดีกว่าฉันได้แน่”
เทียนเหอพยักหน้าส่งให้แล้วโบกมือลา
หลังจากจากลาซามาหนึ่งสัปดาห์ ในที่สุดเทียนเหอก็ทนไม่ไหวไปส่องเฟซบุ๊คของกวนเย่ว์จนได้
กวนเย่ว์โพสท์ภาพยอดเขาเอเวอร์เรสต์ ท้ายที่สุดเขาก็ผ่านจางมู่ ไปยังเนปาลและถึงเอเวอร์เรสต์เบสแคมป์ด้วยตัวคนเดียว แต่ก็ไม่ได้ไปถึงยอดเขา ด้วยการนำทางของนักนำทางชาวเชอร์ปา เขาได้ไปถึงเบสแคมป์ที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเลกว่าหกพันสี่ร้อยเมตร และได้ถ่ายภาพหมู่มวลภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะอันกว้างใหญ่มา
ข้อความประกอบคือ
เขาเคยคิดว่าภูเขาหิมะจะเป็นเหมือนเดิมไม่ว่าจะผ่านไปกี่แสนปี มันก็จะยังอยู่ตรงนั้น ภูเขายังไงก็เป็นภูเขา หิมะยังไงก็ยังคงเป็นหิมะ แต่น่ากลัวว่าหลายสิ่งที่ดูเหมือนจะไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้น ในจิตวิญญาณก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเเบบหน้ามือไปเป็นหลังมือไปเสียแล้ว
ถ้าเพียงแค่พบเจอก็รู้ซึ้ง ตอนได้เจอกับไม่เจอช่างต่างนัก จะให้ข้าตัดใจจากลาจากท่านได้อย่างไร เพียงไม่อยากให้ทั้งชีวิตเหลือเพียงแต่ความคำนึงถึง

“โพร” เทียนเหอเอ่ยขึ้นหลังจากเล่าความทรงจำเก่าจบ “นายเคยมีความรักไหม? เคยมีประสบการณ์ใจเต้นแรงตอนหลงรักใครสักคนหรือเปล่า?”
โพรไม่ได้พูดอะไร
เทียนเหอสังเกตคู่รักที่ออกมาวิ่งด้วยกันที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ฝ่ายชายกำลังหมุนข้อเท้าอยู่ริมทาง กำลังรอให้ฝ่ายแฟนสาวตามทัน
“นายตามฉันไล่” เทียนเหอหัวเราะ “พวกเขากำลังขยับไปด้านหน้าบนเส้นทางชีวิตอันเเสนยาวเส้นนี้ แต่ก็มีบางครั้งที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะวิ่งไปบนทางแยกที่ต่างกัน โพร ได้คุยเรื่องความรักกับนายนี่ดีจัง เสียดายที่นายไม่เข้าใจ”
โพรยังคงเงียบงัน จู่ๆ เทียนเหอก็ได้ยินเสียงดนตรีอันแสนรื่นเริงดังมาจากในหูฟัง เขารีบรับสายโทรศัพท์ เสียงสดใสฟังดูกระตือรือร้นดังมาจากปลายสาย “ไงที่รัก ไปเที่ยวกัน?”
เทียนเหอ “…”
เจียงจื่อเจี่ยนว่า “ยังอยู่ข้างนอกเหรอ? ไปกินข้าวกันป่ะ? กำลังมีเรื่องอยากปรึกษานายพอดี เรื่องใหญ่ในชีวิตเลยล่ะ!”
เทียนเหอตอบ “ไปกินที่ฟิงค์แล้วกัน จู่ๆ วันนี้ก็นึกถึงร้านนี้พอดี คิดถึงแฮะ”
เทียนเหอนัดแนะสถานที่เสร็จก็วางสาย ยืนอยู่ท่ามกลามผู้คนมองดูป่าคอนกรีตรอบตัว
โพรพูดขึ้นในหูฟัง “ฉันไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกของนายเท่าไหร่ แต่ฉันคิดว่าเพื่อนที่มีจำนวนการติดต่อสูงที่สุดอาจจะสามารถช่วยบรรเทาความวิตกกังวลของนายได้”

คอมเมนต์

Chapter List