รีเทิร์นหัวใจ กับ AI จอมวุ่น ตอนที่ 14

Reader Settings

Size :
A-16A+

ตอนที่ 14

ท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆ อีกด้านของภูเขา ที่ริมทะเลสาบเตี่ยนกวง สนามกอลฟ์หญ้าบนที่ราบ กวนเย่ว์ที่อยู่ในชุดตีกอล์ฟ หันตัวเล็กน้อยก่อนจะหวดไม้กอล์ฟตีลูกกอล์ฟจนบินออกไป
หัวหน้าแผนกการเงินบริษัทชิงซง ฉายา “ซุปเปอร์มาริโอ้” หวดไม้ตีลูกกอล์ฟให้บินตาม
“… เป้าหมายของเหวินเทียนเย่ว์มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ชัดเจนมาก” หัวหน้าแผนกการเงินกล่าว “การเล่นหุ้น IPO อดยอมรับไม่ได้เลยว่าการวางแผนของเขารอบนี้ค่อนข้างที่จะแปลกใหม่ แต่ว่าเพราะมั่นใจในตัวเองมากเกินไป บวกกับปัญหาทางด้านนโยบายรัฐ ก่อนจะได้เข้าตลาดหุ้นก็พังซะแล้ว”
“ถ้าไม่ใช่เพราะห่วงโซ่ทุนขาดล่ะก็เขาอาจจะสำเร็จก็ได้ พูดได้แค่ว่า นี่แหละชีวิต…”
กวนเย่ว์ส่งไม้ให้แคดดี้ ปฏิเสธรถกอล์ฟก่อนจะเดินเท้าไปยังเนินเขา หัวหน้าแผนกการเงินเดินตามหลังกล่าวว่า “ความผิดพลาดจากการตัดสินใจของอีพีอุสครั้งนี้ยังไม่เท่าการตัดสินใจเข้าสู่อุตสาหกรรมบันเทิงเมื่อปีก่อนเลย ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดเลยก็คือซุปเปอร์เซิร์ฟเวอร์ที่พวกเขาเช่านั่น ผู้คิดค้นเซิร์ฟเวอร์ชุดนี้คือบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในอเมริกาเลยนะ มีชิปประมวลผลกว่าแสนชิ้น เปิดให้ภายนอกเช่าน้อยมาก ชั่วโมงละหนึ่งพันสี่ร้อยสี่สิบดอลล่าร์ หนึ่งปีก็ 12.5 ล้าน ทุกปีต้องคอยผลาญเงินเกือบร้อยล้านหยวน สัญญาการเช่าคือหกปี…”
“… ว่ากันว่าบ้านตระกูลเหวินก็มีธุรกิจครบครัน หลายปีมานี้ลงทุนไปหลายโปรเจค ไม่น่าก้าวมาถึงจุดๆ นี้ได้” หัวหน้าแผนกการเงินกล่าวอีกว่า “อสังหาริมทรัพย์ว่าน้อยแล้วนะ ถนนการค้าเป็นแหล่งลงทุนที่พวกเขาทำเงินที่สุด นอกจากนี้พวกรีสอร์ทหลายสาขา ฟาร์มหลงเหอที่อยู่ตรงข้ามกับสนามกอล์ฟนี่ นู่น…ลองดูทางโน้น… ต่างก็พึ่งการทำเงินจากถนนการค้าทั้งหมด ช้าหน่อยสิ ไม่ได้ออกกำลังกายนานแล้ว”
กวนเย่ว์ก้าวเท้าให้ช้าลง หัวหน้าแผนกการเงินตามทันอย่างลำบาก หายใจหอบๆเดินอยู่ข้างๆเขาและพูดอีกว่า “‘เจียงเย่ว์’ คลับเฮ้าส์ส่วนตัวสำหรับกินข้าวที่รับแค่แขกกับคนในครอบครัว ตอนกรกฏาคมก็ขายให้เศรษฐีโรงแรมอย่างเจียงฉาวเซิง บริษัทเกมมือถือสองเจ้าก็จะตายไม่ตายแหล่ โปรเจคไม่ออกมาสักที แน่นอน ต้นทุนไม่สูง หนึ่งปีก็แค่เจ็ดแปดล้าน แม้พวกเวิร์คช้อปกับแบรนด์ส่วนตัวจะทำเงิน แต่ขนาดก็เล็กเกินไป เหวินเทียนเย่ว์ตอนแรกกะลงทุนไปสุ่มๆ เปิดตัวสักสองสามเกมมาฆ่าเวลาเล่น ถ้าทำขึ้นมาได้ก็ทำออกมาในรูปแบบสตูดิโอแล้วขายให้พวกเจ้าใหญ่ๆ แบบเหมาๆ…”
กวนเย่ว์หยุดการเดิน เริ่มตีหลุมที่หก หัวหน้าแผนกการเงินกล่าวอีกว่า “ส่วนเรื่องใช้ชื่อบริษัทมาทำสินเชื่อค้ำประกัน ผมคิดว่ามันน่าจะมีเบื้องลึกกว่านี้ ไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบของเหวินเทียนเย่ว์…”
หัวหน้าแผนกการเงินหาลูกกอล์ฟเจอแล้วตีให้ลูกบินภายในไม้เดียวอีกครั้ง แล้วอธิบาย “ธุรกิจหลักของบริษัทนี้หลักๆ คือการใช้ช่องทางผลิตพวกสื่อเผยแพร่ออนไลน์ต่างๆ ตามแผนที่เหวินเทียนเย่ว์วางไว้คือทำสินเชื่อค้ำประกันตามปกติไปก่อนค่อยควบรวมซื้อกิจการทีเดียว น่าจะสามารถออกมาเป็นเรื่องราวที่ดี และเมื่อเข้าตลาดหุ้นในอนาคตแล้วสามารถดึงราคาหุ้นให้สูงขึ้นได้อีกด้วย”

อีกฟากของสนามกอล์ฟ ที่ฟาร์มหลงเหอบริเวณสนามม้ามีเสียงเฮดังลั่นขึ้น
เทียนเหอขึ้นขี่บนม้า แค่ในมือมีไม้ตีลูกโปโล เพียงพริบตาเขาก็สามารถพักเรื่องหลักที่เขาควรทำไว้ก่อนได้ เขาไม่ได้ตีโปโลแบบสนุกสนานครึกครื้นมานานแล้ว อารมณ์ที่เก็บสะสมมาในช่วงนี้กำลังถูกระบายออกไปพร้อมกับแสงอาทิตย์ของฤดูใบไม้ผลิและลมที่พัดสวนมายามม้าวิ่ง
สมัยยังเรียนมหาวิทยาลัย แบ็คแฮนด์ของเทียนเหอนับว่าเป็นท่าไม้ตายของเคมบริดจ์เลยก็ว่าได้ เวลาคู่แข่งเห็นเขาดูเงียบๆ แถมยังมีผมดำก็มักจะดูแคลนเขาเสมอ ท่าทางการขี่ม้าของเขานั้นไร้ซึ่งความเป็นสุภาพบุรุษ มีแต่ความป่าเถื่อนราวกับขี่ม้าวิ่งรบอยูบนที่ราบสูงสก็อตแลนด์ สามารถฆ่าคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย
พอเจียงจื่อเจี่ยนเข้าสู่สนามก็ลืมว่าตัวเองมาเพื่อสานสัมพันธ์ เอาแต่ส่งเสียงตะโกนว่าเยี่ยม ผลัดกันรุกรับกับเทียนเหอ เพื่อนร่วมทีมอีกสองคนก็รู้ใจผสานการเล่นของตัวเองให้เข้ากับการโจมตีของพวกเขาได้เป็นอย่างดี
จัวอีหลงคิดไม่ถึงว่าชายร่างสูงผอมอายุยี่สิบกว่าปีคนนี้เมื่อเข้าสนามแล้วจะจองหองขนาดนี้ ฝ่ายของตัวเองโดนรุกจนเสียเปรียบไม่สามารถเอาคืนได้ สีหน้าของเขาเริ่มไม่ค่อยดี เจียงจื่อเจี่ยนบังคับม้าของตัวเองไปหาเทียนเหอกล่าวว่า “เทียนเหอยอมให้เขาสักสองลูก!”
เทียนเหอได้สติ เขาเห็นเจียงจื่อเจี่ยนเป็นกวนเย่ว์ พอขึ้นม้าก็พุ่งตัวออกไปเลย ส่วนเจียงจื่อเจี่ยนที่ในที่สุดก็นึกถึงเรื่องที่ต้องทำขึ้นมาได้ ก็ได้แต่ยอมให้อีกฝ่ายเล็กน้อย
อู๋ซุ่นมาทางนี้แล้วชูนิ้วโป้งให้เทียนเหอ บังคับม้าให้หมุนตัวก่อนจะตีลูกส่งไปให้จัวอีหลง เทียนเหอเหยียบโกลนมั่น ยื่นตัวออกไปด้านหน้าบนอานแล้วโค้งตัวเล็กน้อยก่อนจะพุ่งไปทางฝั่งประตูของตัวเอง จัวอีหลงอ้อมมาอีกฝั่ง จู่ๆ เทียนเหอก็ดึงม้าตีวงก่อนจะจากไป จัวอีหลงยิ้ม
จัวอีหลงทำคะแนนได้ลูกแรก ลูกทีมต่างก็เฮกันใหญ่ กรรมการส่งสัญญาณว่าชักก้า[1]แรกจบลง
เทียนเหอลดระดับความเร็วของม้าลง อาการไม่สบายยังไม่หายดีเลยเวียนหัวนิดหน่อย พอหอบหายใจก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้าพร่ามัวไปหมด ตอนลงจากม้าก็เซเล็กน้อย
“ตีดุเดือดเกินไป” เจียงจื่อเจี่ยนกล่าว
“ฉันก็เป็นแบบนี้” เทียนเหอตอบ
เจียงจื่อเจี่ยนเกาะไหล่เขาบอก “ไปพักสักหน่อย ลองไปชวนคุยดู พวกเขาดูชอบนายนะ”
ตอนแรกการพักระหว่างแข่งมีแค่สามนาที แต่อู๋ซุ่นกับรองประธานที่ชื่อว่าจัวอีหลงกลับไปนั่งลงตรงโต๊ะน้ำชาข้างสนามเสียแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ได้สนใจเรื่องกติกาการแข่งมากนัก เทียนเหอก็ไม่สนใจเช่นกัน พยักหน้าให้เล็กน้อยก่อนจะเดินไปยืนยิ้มข้างโต๊ะน้ำชา
“ผมนึกว่าคุณจะสง่างามกว่านี้เสียอีก” จัวอีหลงหยอก “พ่อสุภาพบุรุษน้อย”
เทียนเหอหัวเราะ “ไม่ได้ตีมานานแล้วน่ะครับ ครึ่งแรกใช้แรงมากไป ขอบคุณที่ต่อให้ผมครับ”
อู๋ซุ่นหันไปพูดกับจัวอีหลงว่า “นี่แหละครับ ‘สไตล์’ ของพวกเขา นอกสนามสง่างาม บนสนามป่าเถื่อน เหมือนทีมฟุตบอลของอังกฤษที่พอเข้าสนามแล้ว สุภาพบุรุษอะไรก็โยนทิ้ง มีความเหี้ยมโหดราวกับอัศวินโต๊ะกลมตอนเผชิญหน้ากับศัตรู”
เจียงจื่อเจี่ยนกับเทียนเหอต่างก็หัวเราะขึ้นมา ในใจก็คิดว่านั่นเป็นเพราะพวกคุณทั้งคู่ยังไม่เคยแข่งกับกวนเย่ว์
“ผมเคยพบพี่ชายของคุณ” จัวอีหลงยกเครื่องดื่มชูกำลังขึ้นมา นิ้วก็ชี้ไปทางเทียนเหอพร้อมกล่าว “นิสัยของพวกคุณไม่เหมือนกันเลย ฟังจากจื่อเจี่ยนแล้วอีพีอุสเป็นบริษัทที่คุณเปิดร่วมกับเขา?”
เทียนเหอตอบ “ก่อนหน้านี้เป็นเขาที่ดูแลครับ”
จัวอีหลงกล่าว “ตอนแรกผมอยากลงทุนกับอีพีอุสนะ แต่น่าเสียดาย เมื่อสองปีก่อน ไม่เคยได้รับการตอบรับจากพี่ของคุณเลย เขาคงยุ่งมากๆ ธุรกิจของบ้านใหญ่โต พอไปหาที่บริษัทก็ไม่เจอเขา การจะนัดออกมากินข้าวนี่เป็นเรื่องที่ยากมากๆ”
จัวอีหลงยังอายุไม่ถึงสี่สิบ วิธีการพูดของเขาให้ความรู้สึกเหมือนพวกทำงานด้านกฏหมาย คำพูดคำจาของเขาเหมือนมีความหมายลึกซึ้ง พูดออกมาแค่ครึ่งเดียวไม่ยอมพูดออกมาทั้งหมด อู๋ซุ่นมองเทียนเหออย่างสนใจ เทียนเหอฟังออกว่าจัวอีหลงมีความไม่พอใจต่อพี่ชายเขาเฝงอยู่ ช่วงที่พี่ชายของเขากำลังไปได้ดีนั้น มีหลายบริษัทพยายามที่จะแข่งกันมาลงทุนให้กับอีพีอุส ก็มีบ้างที่ไม่อยู่ในสายตาเหวินเทียนเย่ว์ แม้ว่าส่วนมากจะถูกปฏิเสธอย่างมีมารยาทไปแล้ว แต่ก็ทำให้หลายคนเกิดความไม่พอใจขึ้น
มุมปากของอู๋ซุ่นประดับด้วยรอยยิ้ม นิ้วมือก็เคาะขวดเครื่องดื่มไปด้วย สายตามองไปมาระหว่างจัวอีหลงกับ เทียนเหอ เทียนเหอพึ่งเรียนจบได้ไม่ถึงปี ยังไม่ค่อยคุ้นชินกับวิธีการพูดคุยของคนในประเทศ เขายังพยายามที่จะเรียนรู้มันอยู่ การจะเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในประโยคของจัวอีหลงนั้นไม่เป็นปัญหา แต่การจะอ่านสีหน้าของอีกฝ่ายออก ยังคงยากนักสำหรับเขา
ชายอายุยี่สิบกว่าที่ชื่ออู๋ซุ่นนี่ไม่รู้ว่าทำไมถึงดึงดูดความสนใจของเทียนเหอได้ เหมือนเซ้นส์ของเขาบอกว่าอู๋ซุ่นน่าจะชอบผู้ชาย ไม่แน่อาจเป็นเจียงจื่อเจี่ยน และเจียงจื่อเจี่ยนก็ดูคุ้นเคยกับอู๋ซุ่นอย่างเห็นได้ชัด
เจียงจื่อเจี่ยนหยอกล้อเพื่อทำให้บรรยากาศดีขึ้น “พี่จัวก็ยุ่งเหมือนกันนี่ครับ วันนี้จะตีโปโลก็นัดตั้งนานกว่าจะนัดได้”
อู๋ซุ่นแทรกขึ้นมา “คงกำลังยุ่งกับการวางแผนกลยุทธ์งานแถลงข่าวมั้งครับ ช่วงนี้ทุกคนเอาแต่พูดถึงบริษัทของคุณ”
“เฮ้อ” จัวอีหลงส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ หันไปพูดกับเทียนเหอว่า “บริษัทอินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยีอย่างพวกคุณคงเข้าใจที่สุด วางแผนกลยุทธ์งานแถลงข่าวอะไรนั่นเป็นละครลิงทั้งนั้น”
ทุกคนหัวเราะขึ้น จัวอีหลงพูดขึ้นอีกว่า “ตอนกลางวันยุ่งกับงาน หลังเลิกงานยังต้องคอยกล่อมภรรยาแล้วเลี้ยงเด็กอีกสองคน ไม่เหมือนพวกคุณที่ยังหนุ่มยังแน่นมีพลังชีวิตอย่างเต็มเปี่ยมหรอก”
หัวข้อสนทนาถูกเปลี่ยนไปเรื่องครอบครัว เจียงจื่อเจี่ยนตบไหล่เขาสองที จัวอีหลงหารูปจากในมือถือของตนอย่างใจเย็นก่อนจะยกให้เทียนเหอดูลูกชายสองคนของตน ถามเทียนเหออีกว่า “พวกคุณทั้งสองแต่งงานหรือยัง? กะจะแต่งงานเมื่อไหร่? พี่ชายของคุณก็ยังไม่แต่ง?”
เทียนเหอหัวเราะแล้วส่ายหน้า รู้ว่าคนในประเทศมักชอบเจอหน้ากันแป๊บเดียวสองสามคำก็ถามแล้วว่าแต่งงานหรือยัง แต่งงานเมื่อไหร่ ครอบครัวเป็นยังไงบ้าง ภรรยาลูกหลานเป็นยังไงบ้าง พอเตรียมใจมาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก ตอบกลับไปว่า “พึ่งเลิกกันได้ปีกว่าครับ ยังตัดใจไม่ได้เลย คงรอผ่านไปสักพักค่อยดูอีกที ส่วนพี่ชาย… อืม ขนาดเรื่องที่ตัวเองก่อไว้ยังนับไม่ถ้วนยังเก็บกวาดเองไม่ได้ ช่างมันดีกว่าครับ”
จริงๆ เทียนเหอชอบพี่สะใภ้ที่ยังไม่ทันแต่งเข้าบ้านก็สามารถสร้างความวุ่นวายอย่างใหญ่หลวงคนนั้นนะ แต่ดูแล้วจัวอีหลงไม่น่ารู้เรื่องเน่าๆ เมื่อปีนั้นของบ้านตระกูลเหวิน ไม่พูดน่าจะดีกว่า
จัวอีหลงกล่าว “พวกความรักที่มั่นคงเหมือนภูเขาหรือน้ำทะเลอะไรนั่นมันก็แค่นั้น” พูดแล้วก็เรื่องแบ่งปันประสบการณ์รักครั้งแรกสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เทียนเหอรู้สึกว่าการคุยเรื่องส่วนตัวกับคนที่พึ่งเคยเจอกันครั้งแรกเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าอึดอัด นอกจากเสียว่าจะสนิทกันมาก ไม่งั้นปกติแล้วเขามักจะไม่เคยเล่าประสบการณ์ความรักของตนเองให้ใครฟัง แต่จัวอีหลงกลับกระตือรือร้นที่จะบอก เขาก็ได้แต่นั่งฟังอย่างมีความอดทน

“… จากมุมมองของผมแล้วล่ะนะ” หัวหน้าแผนกการเงินหวดอีกลูกก่อนจะกล่าว “อีพีอุสไม่มีค่าขนาดนั้น เป็นแค่บริษัทที่มีแต่เปลือกอันว่างเปล่า”
กวนเย่ว์เดินผ่านผืนหญ้าลงเนินเขา เปิดปากพูดคำแรกของวันนี้
“ลดการดื่มเหล้าบ้าง ไปร้านเหล้าให้น้อยลง การรับรู้นายช้าลงนะ”
หัวหน้าแผนกการเงินชะงัก ยืนคิดอยู่ไม่กี่วิ เข้าใจได้ว่ากวนเย่ว์รู้สึกว่าในขั้นตอนการล้มละลายของอีพีอุสยังมีจุดที่ไม่สมเหตุสมผล ดังนั้นจึงเร่งฝีเท้าก้าวตามให้ทันเจ้านาย
“จนถึงตอนนี้สัญญาการเช่าหน่วยเซิร์ฟเวอร์ก็ยังไม่มีการส่งเรื่องยุติครับ” กวนเย่ว์เดินเจอลูกกอล์ฟ มือแกว่งไม้ลองหวด
หัวหน้าแผนกการเงินกล่าว “ธุรกิจที่ไฮเทคโนโลยีแบบนี้ถ้ายุติสัญญาเช่าหน่วยเซิร์ฟเวอร์ก็แปลว่าพวกเขาคงยอมรับว่าโปรเจคที่กำลังพัฒนาอยู่นั้นไม่มีค่าใดๆ อีกแล้ว”
หลังจากที่กวนเย่ว์พูดสองประโยคติดกันก็เข้าสู่ช่วงเวลาคูลดาวน์
หัวหน้าแผนกการเงินเอ่ย “แม้ว่าการยืมหนึ่งวันก็คือการผลาญเงินอีกหนึ่งวัน แต่ว่าตอนนี้สองพี่น้องเหวินเทียนเย่ว์ เหวินเทียนเหอ ถ้าให้ผมเดานะ คนหนึ่งไปซานฟรานซิสโกเพื่อหาวิธีหลอกเอาเงิน ส่วนอีกคนอยู่ในประเทศรอหลอกลวงองค์กรต่างๆ คงคิดว่าไม่แน่อาจจะยังพอมีหวัง”
กวนเย่ว์หวดลูก หัวหน้าแผนกการเงินพูดต่อ “ยังไงก็ตามผมแนะนำอย่างแรงกล้าว่าคุณไม่ควรยื่นมือไปช่วยพวกเขา ตามสไตล์ของสองพี่น้องนั่นแล้ว พอเงินถึงมือ… อืม เรื่องตลกที่มาเก๊าอาจจะเกิดขึ้นอีกครั้ง…”
มีเสียงดังมาจากด้านสนามม้านอกสนามกอล์ฟอีกแล้ว กวนเย่ว์หยุดฝีเท้าลงแล้วหันไปมองทางสนามม้า

คอมเมนต์

Chapter List