รีเทิร์นหัวใจ กับ AI จอมวุ่น ตอนที่ 19

Reader Settings

Size :
A-16A+

ตอนที่ 19

จี๋เสียงฝู่เป็นภัตตาคารอาหารจีนเจ้าเก่าแห่งหนึ่งของเมือง อู๋ซุ่นแค่เพียงโทรไปสายเดียวก็สามารถจองห้องอาหารพิเศษ “หลิงซานสุ่ยเก๋อ” ที่กวนเย่ว์ต้องรอคิวอย่างน้อยครึ่งปีได้แล้ว
“กำลังอยากกินปลากุ้ยซอสขาวของร้านนี้พอดี” เทียนเหอยิ้มรับ พอเข้าห้องอาหารพิเศษแล้วก็นั่งลง
“ร้านนี้จองห้องพิเศษหลิงซานสุ่ยเก๋ยากจริง” อู๋ซุ่นกล่าวอย่างเหนื่อยใจ “ถ้าไม่ใช่ว่าผมให้เลขาของพ่อช่วย เราอาจได้นั่งกินที่โถงใหญ่”
เทียนเหอเอ่ย “ไม่ได้ยกกับข้าวของแขกที่นั่งทานตรงนี้แล้วไล่พวกเขาออกไปใช่ไหม”
อู๋ซุ่นยิ้มแล้วแบมืออย่างช่วยไม่ได้ “อันนั้นผมคงไม่รู้ด้วย ได้ยินว่าห้องอาหารนี้เปิดให้แขกเพียงไม่กี่คนเท่านั้น”
“คุณเหวิน!” เถ้าแก่ร้านถือเมนูมาพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ได้มานานเลยนะครับ!”
เทียนเหอยิ้มแห้ง เถ้าแก่กล่าว “เมื่อกี้มองจากไกลๆ ก็รู้สึกว่าเป็นคุณแล้ว ผมก็ว่าวันนี้ไม่ได้รับโทรศัพท์จากคุณ วันนี้ยังเป็นแบบเดิมไหมครับ? ลองเมนูใหม่ของพวกเรา?”
เทียนเหอส่งสายตาให้เถ้าแก่ว่าอย่าต้อนรับเขาอย่างเร่าร้อนปานนี้ มันน่าอึดอัดจะตายอยู่แล้ว อู๋ซุ่นตื่นจากภวังค์ พอรู้ว่าเทียนเหอก็เป็นหนึ่งใน “แขกเพียงไม่กี่คน” ก็ระเบิดหัวเราะออกมา มองเมนูอย่างสนอกสนใจแล้วกล่าว “ผมเคยมาแค่สามครั้ง เทียนเหอสั่งแล้วกันครับ” เทียนเหอได้แต่อดทนไม่หัวเราะ ทั้งอึดอัดและเหนื่อยใจ ก้มหน้าสั่งอาหาร
“ป้าแม่บ้านของเราชอบร้านนี้มาก” เทียนเหออธิบาย “คุณป้าแกมักจะโหยหานึกถึงแต่บรรยากาศสมัยก่อนอยู่เสมอ”
ดอกไม้ผลิบาน ดวงจันทร์กลมโต ใกล้ถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว มีชายใส่เสื้อตัวคลุมยาวปรากฏตัวขึ้นหลังบานพับกั้นของห้องอาหารหลิงซานสุ่ยเก๋อ ในมือกอดผีผาไว้ เริ่มบรรเลง
หลังเทียนเหอสั่งอาหารเสร็จ จู่ๆ อู๋ซุ่นก็พูดขึ้น
“คุณเป็นอัจฉริยะ”
“หืม?” เทียนเหอเปิดลิ้นชักเล่นราวกับเด็กน้อย เห็นไพ่นกกระจอกอยู่ด้านใน เขาหยิบก้อนหยกขาวสวยลายหงจง[1]ขึ้นมาจับไปมา สมัยเด็กๆตอนป้าฟางพาพวกเขามาทานข้าวมักจะเล่นไพ่นกกระจอกกับพวกเขาสามพี่น้องเสมอ
“เรียนรู้วิธีการอวยคนมาจากเจียงจื่อเจี่ยนเหรอ?” เทียนเหอหยิบไพ่นกกระจอกออกมาโยนเล่นไปมา ก่อนจะโยนสองชิ้นให้อู๋ซุ่นแล้วกล่าว “ไม่คิดเลยว่าคนที่จะตั้งใจฟังผมพรีเซ้นท์ที่สุดในวันนี้จะเป็นคุณ ขอบคุณที่เป็นหน้าม้าให้นะครับ”
อู๋ซุ่น “ตั้งใจฟังการประชุมแล้วมันทำไมเหรอครับ? คนที่ฟังไม่รู้เรื่องนี่จะฟังไม่ได้เลยเหรอ?”
เทียนเหอนั่งลงกล่าว “ฟังแล้วไม่รู้สึกเหนื่อยเหรอครับ”
“ก็มีนิดหนึ่งมั้ง” อู๋ซุ่นกล่าว “เพราะตอนเรียนก็ไม่ได้ตั้งใจเรียนสักเท่าไหร่”
เทียนเหอถาม “ผมขอเสียมารยาทถามอะไรหน่อย คุณเรียนอะไรมาเหรอครับ?”
โพรตอบคำถามเข้าในหูฟัง “เขาจบจากวิศวกรรมคอมพิวเตอร์มาจาก MIT”
เทียนเหอ “…”
อู๋ซุ่นตอบอย่างมีมารยาทว่า “วิทยาลัยศาสนศาสตร์ของฮาร์วาร์ดครับ”
เทียนเหอไม่ได้ตอบอะไร จู่ๆ ก็รู้สึกว่าไม่แน่อาจจะกลายเป็นเพื่อนที่ดีกับหมอนี่ได้
“วันนี้คุณดูอารมณ์ดีนะครับ ดีกว่าวันที่ตีโปโลวันนั้นเยอะเลย” พอออเดิร์ฟเริ่มเสริฟ์ อู๋ซุ่นก็ม้วนแขนเสื้อขึ้นกล่าว “ดื่มเหล้าไม่ได้ ช่วงนี้ตำรวจเข้มงวดมาก ดื่มชาแล้วกันนะครับ”
เทียนเหอ “เพราะเคลียร์ปัญหาไปได้อย่างหนึ่งน่ะ เชียร์ส”
ทั้งคู่ชนแก้วชากันเบาๆ อู๋ซุ่นกล่าว “ชื่อเทียนเหอนี่ ฟังแล้วน่าจะเป็นคนที่ใจเย็นนะครับ”
“ตอนแรกก็ไม่ใช่แบบนั้นเหรอก” เทียนเหอกล่าว “คุณพ่อตั้งชื่อนี้ให้ผม ความหมายคือโอกาสไม่เท่าทำเลดี ทำเลดีก็ไม่เท่าการมีคนร่วมงานที่ดี”
อู๋ซุ่นจ้องมองเทียนเหอพลางครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยปาก “เพราะฉะนั้นเวลาเจออะไรแปลกๆ ก็จะไม่แปลกใจ เย้ยหยันแบบเงียบๆ เก็บไว้ในใจ ผมว่าวันนี้ผมก็น่าจะถูกคุณพลิกไปพลิกมา…” เขาว่าพลางพลิกมือไปมา “เย้ยหยันไปเจ็ดแปดครั้งน่าจะถึง”
“ไม่มีอะไรจริงๆ” เทียนเหอก่ายหน้าผากอย่างหยุดขำไม่ได้ ถลกแขนเสื้อขึ้นกล่าว “กินข้าวกันเถอะ ถึงจะเป็นพี่จัว ผมก็รู้สึกว่าไม่เห็นเป็นอะไรเลย ทุกคนต่างก็มีวิธีเข้าสังคมในแบบของตัวเอง เข้ากันได้ก็ดี เข้าไม่ได้ก็ช่างมันก็พอแล้ว”
ท่ามกลางเสียงผีผา เมฆครึ้มเริ่มคลายตัว เเสงจันทร์ค่อยๆ ส่องเข้ามาในห้อง
อู๋ซุ่นชิมออเดิร์ฟดู “รสชาติดีจริงๆ ด้วย”
เทียนเหอยกชาขึ้นดื่มแล้วกล่าว “มีรสชาติแบบเดียวกันกับความทรงจำวัยเด็กเลย”
อู๋ซุ่นเหลือบมองออกไปนอกห้องก่อนเอ่ย “คืนนี้พระจันทร์ก็สวยเหมือนกัน”
“อืม” เทียนเหอพยักหน้าพูด “ถึงจะไม่กลมก็ตาม ผมนึกว่าจะฝนตกต่อเสียอีก”
โพรว่า “เขาพูดมีความหมายโดยนัย”
เทียนเหอไม่ได้ตอบ อู๋ซุ่นถามขึ้นว่า “คุณฟันดาบเป็นไหม?”
เทียนเหอไม่คิดว่าความคิดของอู๋ซุ่นก็โดดไปมาเหมือนกัน จุดนี้เหมือนกับเจียงจื่อเจี่ยนไม่น้อย เขาพยักหน้าถาม “คุณชอบ?”
“ถ้าว่างไปฟันดาบกัน” อู๋ซุ่นชวน “ผมสอนคุณฟันดาบ คุณสอนผมตีโปโล”
“ได้” เทียนเหอตอบรับ “ผมก็ไม่ได้เล่นมานานแล้วเหมือนกัน”
อู๋ซุ่นครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนกล่าว “กวนเย่ว์คงฟันดาบไม่เป็นใช่ไหม? เผื่อเกิดสถานการณ์แบบเมื่อวันเสาร์อีก”
เทียนเหอ “…”
เทียนเหอรู้ว่าอู๋ซุ่นกำลังหยอกเขา แต่ก็ยังคงทำหน้านิ่งก่อนจะแบมือกล่าว “ผมก็ไม่รู้ พวกเราแทบจะไม่ติดต่อกันเลย ขนาดเบอร์เขาผมยังไม่เซฟเลย”
ในตอนนั้นนั่นเอง โทรศัพท์ที่เทียนเหอวางบนโต๊ะก็ดังขึ้น สายเรียกเข้าแสดงชื่อกวนเย่ว์
เทียนเหอ “…”
อู๋ซุ่นได้แต่แกล้งทำเป็นไม่เห็น โพรเอ่ยในหูฟังว่า “ฉันเซฟให้นายเอง”
เทียนเหอ “โพร รบกวนช่วยรับโทรศัพท์ที”
เสียงของกวนเย่ว์ดังขึ้นในหูฟัง ต่อติดกับเสียงของโพรอย่างไม่ขาดสาย
“ประธานกวน มีอะไรหรือเปล่าครับ?” เทียนเหอถาม “ในหนึ่งปีนี้นี่เป็นครั้งแรกเลยที่คุณโทรหาผม”
เสียงของกวนเย่ว์เอ่ย “โทรผิด โทษที” แล้วก็ตัดสายเลย
เทียนเหอ “…”
“คือว่า…” อู๋ซุ่นพยายามเปลี่ยนเรื่อง “คุณรู้ไหมว่าต้นกำเนิดของการฟันดาบเกิดจากความหึงหวงของผู้ชายเลยเกิดการท้าประลองเกิดขึ้น เพื่อป้องกันการตายจึงเปลี่ยนมาใช้ฟอยล์แทน”
โพร “เขากำลังพยายามคลายความอึดอัดอยู่”
เทียนเหอถอดหูฟังออกวางบนโต๊ะ พูดอย่างจริงใจว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง ถ้ากวนเย่ว์มาก่อกวนที่สนามฟันดาบอีก น่าจะเป็นผมที่เข้าไปฟันเขาจนตายเสียก่อน”
ตกกลางคืน ผู้บริหารชาวต่างชาติต่างก็นั่งอยู่ในห้องอาหารกึ่งปิด กวนเย่ว์จับขวดที่วางอยู่บนโต๊ะเงียบๆ แค่เพียงนิ้วเรียวยาวขยับบิดเล็กน้อย ขวดเบียร์เริ่มหมุนบนโต๊ะอีกครั้ง ชี้ไปยังคนๆ หนึ่ง ผู้คนเริ่มหัวเราะก่อนจะมองไปยังคนๆ นั้น

อู๋ซุ่นขับรถพาเทียนเหอกลับสู่ลานจอดรถ เทียนเหอที่กำลังจะลงรถหันไปพูดกับอู๋ซุ่นว่า “ผมจะตั้งใจคิดดู”
“คุณไม่ทำงานสายนี้ต่อก็น่าเสียดายเกินไปแล้ว” อู๋ซุ่นพูดอย่างเสียดาย “ก็เหมือนผมที่เลือกจะทิ้งสายวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ตอนกลับมาในประเทศนั่นแหละ”
เทียนเหอพยักหน้ากล่าว “วันนี้มีประธานสูงอายุคนหนึ่งพูดได้ถูกมาก บริษัทล้มละลายไม่น่ากลัวหรอก สิ่งที่น่ากลัวคือเครดิตล้มละลายไปแล้วต่างหาก การอัพเกรดโปรแกรมนั้นไม่ยากเลย แต่ผมไม่มีความมั่นใจเลยว่าตลาดจะยอมรับมัน”
อู๋ซุ่นมีผมสีดำ คิ้วเรียงตัวเข้มดูสมกับเป็นชาย ตาทั้งสองเป็นประกายสดใส ตอนยิ้มเหมือนมีกลิ่นอายของความไม่ขลาดกลัวต่อสิ่งใด
“คุณทำได้” อู๋ซุ่นกล่าว “คุณเป็นอัจฉริยะ”
เทียนเหอพยักหน้าเล็กน้อย ในใจรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก ทั้งสองต่างขึ้นรถของตนเอง อู๋ซุ่นขับรถออกไป ส่วนเทียนเหอกลับบ้าน
“หลังจากอู๋ซุ่นสารภาพรัก นายจะมีทางเลือกสองทาง หนึ่งคือตอบรับเขา กลายเป็นคนรักลับๆ ของเขา แต่ถ้าพัฒนาความสัมพันธ์เเบบนี้ไปเรื่อยๆ โอกาสที่พ่อแม่ของเขาจะจับได้สูงถึง 100% เพราะว่าแม่ของเขามักจะสงสัยอยู่บ่อยครั้งว่าลูกชายตัวเองเป็นพวกรักร่วมเพศหรือเปล่า เพียงแค่ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด…”
“ถ้านายโน้มน้าวเขาได้ล่ะก็พวกนายสามารถลองพิจารณาถึงการหนีตามกันไปใช้ชีวิตที่อเมริกาไม่ก็อังกฤษ แน่นอนว่าในงานแต่งงาน เขาจะไม่สามารถเชิญพ่อแม่ของตัวเองมาร่วมงานได้ นับว่าเป็นหนึ่งในเรื่องที่น่าเสียดายไปจนวันตาย”
“ระหว่างรับเลี้ยงเด็กกับแม่อุ้มบุญอย่างถูกกฎหมาย ฉันแนะนำอย่างหลังมากกว่า แต่เขาอาจจะไม่มีความอดทนในการเลี้ยงเด็กนัก”
“พอลูกโตแล้ว ความบาดหมางระหว่างพวกคุณและปู่ย่าจะเริ่มเบาบางลง พวกนายสามารถพิจารณาไปคุยทำความเข้าใจกับพ่อแม่อายุเจ็ดสิบห้าของเขาในสามสิบปีให้หลัง”
“ในงานแต่งงานของลูกๆ ขอแนะนำให้พวกนายอย่าแทรกแซงมากดีกว่า…”
“พอได้แล้ว โพร” เทียนเหอนั่งลงบนโซฟาหลังอาบน้ำเสร็จกล่าว “ฉันแค่ออกไปกินข้าวกับเขาแค่มื้อเดียวเอง!”
“ฉันแค่จะเตือนนายถึงทางเลือกที่สอง” โพรบอก “ถ้านายไม่อยากเดตกับอู๋ซุ่น ทางที่ดีควรเว้นระยะห่างกับเขา”
เทียนเหอเปิดตารางงานส่วนตัว ด้านนอกฝนตกอีกครั้ง ป้าฟางเข้านอนแล้ว เทียนเหอเดินไปปิดหน้าต่าง
“คนที่เข้าหน่วยงานที่มีอำนาจขนาดนั้นได้ตั้งแต่ยังหนุ่ม” เทียนเหอเอ่ย “ไม่มีทางปัญญาอ่อนคิดจะหนีตามไปกับฉันแน่ๆ ยิ่งกว่านั้นมีชีวิตอยู่ดีๆ กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ ทำไมจะต้องหนีตามกันไป? นายยังมีตัวอย่างไม่พอที่จะนำมาวิเคราะห์”
“ถ้าเลือกทางเลือกที่สอง โอกาสที่จะเสียความช่วยเหลือของเขามีมากถึง 60%” โพรกล่าว “หลังจบสัญญาเช่าหน่วยเซิร์ฟเวอร์ บริษัทที่ประมูลได้ฉันไปจะก้อปฉันออกมาหนึ่งชุดแล้วมอบให้กับกระทรวงกลาโหมของอเมริกา ทางหน่วยงานรัฐจะเปิดเส้นทางวิวัฒนาการใหม่โดยไม่ตั้งใจผ่านการวิจัยของฉัน แล้วทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สาม”
เทียนเหอ “ฉันว่านายเป็นโรคหวาดระแวงชัดๆ เอาแต่เป็นห่วงว่าตัวเองจะโดนแยกชิ้นส่วนอยู่ได้ ฉันสัญญาว่าจะไม่ส่งมอบนายออกไป ไม่ได้ ฉันจะต้องแก้แค้นกวนเย่ว์ ทำไมเขาชอบมาก่อกวนฉากสำคัญของฉันนักนะ”
โพร “ดีจัง งั้นเพื่อเป็นการตอบแทน ฉันขอแนะนำว่าส่งนกแก้วให้เขาเป็นไง?”
เทียนเหอ “ช่างมันเถอะ มันโหดร้ายเกินไป… ฉันคิดภาพไม่ออกเลยว่าตอนเขาได้ยินเสี่ยวจินพูดแล้วจะมีสีหน้ายังไง… เเถมนี่ยังเป็นตัวที่เราซื้อด้วยกันที่โคลอมเบียอีก”
เทียนเหอนอนลงบนเตียง กำหนดการวันนี้ทำเขาเหนื่อยมาก แต่หลังจากเหนื่อยแล้วกลับรู้สึกเบาใจไปเปลาะหนึ่ง เขาพลิกตัวนอนตะแคงเเละครุ่นคิดถึงข้อเสนอแนะของอู๋ซุ่น โพรปิดไฟห้องลง อู๋ซุ่นสามารถจะช่วยหาบริษัทที่จะมารับประกันการเลื่อนการล้มละลายให้เขาได้ ภายในเวลาที่เลื่อนออกไปอีกสามเดือน ขอแค่เทียนเหอพยายามอย่างเต็มที่แล้วพัฒนาโปรแกรมออกมาใหม่ อู๋ซุ่นยังยินดีที่จะช่วยแนะนำให้เขาต่อและช่วยจัดงานแถลงข่าวอีกด้วย
ถ้าตลาดในภายภาคหน้าเล็งผู้ลงทุนรายย่อยไว้ก็น่าจะเป็นไอเดียที่ดี… เมื่อก่อนบริษัทมีเป้าหมายเป็นผู้ลงทุนสถาบัน ถ้าลองเปลี่ยนทิศทางไปยังผู้ลงทุนรายย่อยล่ะก็… ต้องคำนึงถึงปัจจัยที่ผู้ลงทุนจะยอมจ่ายเงินสูงขนาดนี้เพื่อซอฟต์แวร์แท้ๆหนึ่งตัว แต่ว่านอกจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่แล้ว ตลาดต่างประเทศก็กว้างมากเหมือนกัน… ราวกับว่าเทียนเหอเจอแสงสว่างลอดเข้ามาท่ามกลางความมืดมิด เขาค่อยๆ หลับไปในคืนฝนตกท่ามกลางความเหนื่อยล้าจากหลายวันนี้… แต่แล้วแสงสว่างนั้นก็ค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ สว่างจนแสบตาไปหมด
เทียนเหอ “…”
“ใครกัน” เทียนเหอรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมากที่ถูกปลุกขึ้นเมื่อกำลังจะนอนหลับ
บนหน้าจอที่กำลังสว่างกฎชื่อของผู้โทรเข้า “กวนเย่ว์”
“เป๋าเป่า เธอใช่เป๋าเป่าไหม? เรียกคุณแม่ของเธอมาคุยหน่อยได้ไหม?”
แม่ของเทียนเหออยู่ที่มิวนิค และเขาก็ไม่ชอบให้คนอื่นพูดถึงแม่ของเขาด้วย แต่เขาก็ยังตอบยังมีความอดทนว่า “ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครเหรอครับ?”
เสียงผู้หญิงที่ไม่คุ้นหูตอบจากปลายสายว่า “อ๊ะ ไม่ใช่เด็กน้อยหรอกเหรอ งั้นคุณสะดวกมารับคนหน่อยไหมคะ? พวกเราจะปิดร้านแล้วน่ะค่ะ”

[1] ไพ่นกกระจอกมีไพ่อยู่ 3 แบบ คือ ไพ่จำนวนนับ ไพ่ตัวอักษร และไพ่ดอกไม้กับฤดูกาล ไพ่หงจง (红中) อยู่ในชุดไพ่ตัวอักษร

คอมเมนต์

Chapter List