รีเทิร์นหัวใจ กับ AI จอมวุ่น ตอนที่ 8
ตอนที่ 8
หัวหน้าแผนกการเงินเดินผ่านฝ่ายบริหาร มองเข้าไปในห้องรับรองแล้วถาม “นั่นใครน่ะ”
ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารยืนขึ้นแล้วคุยกับหัวหน้าแผนกฝ่ายการเงินเสียงเบาได้ชั่วครู่ หัวหน้าแผนกฝ่ายการเงินก็พยักหน้าแล้วเอ่ยปากถามอีก “วันนี้ประธานพูดกี่คำ?”
“เจ็ดคำ” ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารพูด “ตอนรายงานการทำงานตอนเช้า หลังจากเขาฟังจบเขายังพูดอีกว่า ‘ฉันรู้แล้ว’ ด้วย”
หัวหน้าแผนกการเงินรับคำแล้วเอ่ย “งั้นวันนี้เขาน่าจะอารมณ์ไม่แย่นะ ไม่แน่อีกสักพักเขาอาจจะกลับมา”
ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารถามขึ้นว่า “ให้แขกกลับไปไหมครับ?”
หัวหน้าแผนกการเงินครุ่นคิดชั่วครู่ ก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมือ “ถึงห้าโมงสี่สิบแล้วกัน ไม่แน่เขาอาจจะเป็นเพื่อนสมัยเรียนของท่านประธาน”
เทียนเหอนั่งมองรางวัลเล็กๆ ใหญ่ๆ จากวงการนักลงทุนกับรูปรวมทีมของบริษัทที่ตั้งอยู่ในห้องเงียบๆ ไม่เห็นแม้แต่เงาของกวนเย่ว์ในรูป
“เขาไม่มีทางลงทุนต่อชีวิตให้อีพีอุสแน่ๆ” เทียนเหอพูดในท้ายที่สุด “ฉันไม่อยากเสียเวลาที่นี่แล้ว”
โพรยังคงยืนหยัด “มีทางแน่ๆ แค่นายปรับท่าทีที่นายมีต่อเขาหน่อย อ้างอิงจากการเก็บรวมรวมข้อมูลของฉันแล้วนำมาวิเคราะห์ ในไตรมาสนี้เขามีวงเงินในการอนุมัติกว่าสองพันล้านดอลล่าร์สหรัฐ อีพีอุสขาดทุนก็แค่สองร้อยล้านดอลล่าร์ สำหรับเขาเงินแค่นี้มันก็แค่จิ๊บๆ”
เทียนเหอ “ถึงจะน้อยแต่สองร้อยล้านก็ยังเป็นเงินนะ การประเมินทรัพย์สินไม่มีตัวตนของอีพีอุสไม่มีทางผ่านแน่ๆ ผู้จัดการสาขาธนาคารที่ปล่อยเงินกู้ให้พี่ฉันยังจะโดดตึกอยู่เลย ในอีกสามปีข้างหน้าก็ไม่มีทางทำกำไรถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทีมไอทีก็แยกย้ายกันไปหมดแล้ว คนที่ยังสติดีน่ะไม่มีทางมาลง… เดี๋ยวนะ นอกเสียจากว่าฉันจะดึงนายออกมาให้เขาดู…”
โพรว่า “กรุณาอย่าทำแบบนั้นเด็ดขาด! ถ้าเขารู้การมีตัวตนอยู่ของฉันล่ะก็ โอกาสที่เขาจะทำลายฉันมีสูงมาก”
เทียนเหอ “อืม เขาไม่ยอมให้นายมีตัวตนอยู่หรอก เพราะว่านายสามารถคาดการณ์พฤติกรรมของเขาได้อย่าง ‘น่าตกใจ’ สูงถึงร้อยละเท่าไหร่นะ?”
“96.1%” โพรช่วยตอบ
“สวัสดีครับ” หัวหน้าแผนกการเงินเคาะประตูแล้วเดินเข้ามาจับมือกับเทียนเหอแล้วยื่นนามบัตรให้พร้อมกล่าว “ผมเห็นว่าคุณมารอได้สักพักแล้ว มีอะไรที่ผมสามารถช่วยคุณได้ไหมครับ?”
เทียนเหอไม่แม้แต่จะมองนามบัตรแล้วหย่อนใส่กระเป๋า ก่อนจะลุกขึ้นยืน “คุณมาริโอ้ ผมเป็นเพื่อนสมัยเรียนของกวนเย่ว์ครับ พอดีว่าผ่านมา อยู่ดีๆ นึกอยากจะมาคุยเรื่องสมัยก่อนกับเขาสักหน่อย ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมกำลังจะไปพอดี ไว้มีโอกาสหน้าผมค่อยนัดเขาส่วนตัวก็ได้ครับ”
เทียนเหอชำเลืองมองโทรศัพท์ ห้าโมงสี่สิบ โพรกลับค้นหา “เบอร์ส่วนตัว” ของกวนเย่ว์เจอแล้วทำการต่อสายอัตโนมัติเสียแล้ว เทียนเหอขมวดคิ้วรีบบอก “อย่า!”
หัวหน้าแผนกการเงินชะงัก ในขณะเดียวกัน เวลานี้กวนเย่ว์ที่กำลังก้มมองมือถือ เมื่อเดินเข้าบริษัทมาก็หยุดฝีเท้าลง
“ท่านประธานคะ” พนักงานแผนกต้อนรับกำลังจะเอ่ยปาก กวนเย่ว์กลับยกมือขึ้นก่อน แล้วหมุนตัวเดินกลับออกไปรับโทรศัพท์ พอรับสาย อีกฝั่งก็ตัดสายเสียแล้ว
กวนเย่ว์มองโทรศัพท์ เหม่อไปหนึ่งวิก่อนจะโทรกลับ
ในบริษัท เทียนเหอตัดสายจากกวนเย่ว์แล้วพูดกับหัวหน้าแผนกการเงิน “เดี๋ยวผมกลับก่อนนะครับ”
โพรว่า “เขาอยู่หน้าบริษัทแล้ว”
ตอนนี้เทียนเหอไม่อยากพูดอะไรอีกต่อไป หันไปพยักหน้าให้กับหัวหน้าแผนกการเงินแบบฝืนๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องรับรองอย่างรีบเร่งราวกับกับสายลม
กวนเย่ว์ที่กำลังต่อสายกลับอยู่หน้าบริษัทพลันเงยหน้าขึ้นก็เกือบชนเทียนเหออย่างจัง
แม้เทียนเหอจะหยุดฝีเท้าลงก็ยังคงหลบไม่พ้น ทั้งคู่ยืนอยู่อย่างนั้น สบตากันอยู่เพียงชั่วครู่
หน้าตารวมถึงริมฝีปากของเหวินเทียนเหอก็ยังคงเหมือนครั้งแรกที่พวกเขาพบกันเมื่อหลายปีก่อน มีกลิ่นอายของความไร้เดียงสาแบบเด็กน้อยไร้ประสบการณ์ นัยน์ตาใสจนเป็นประกาย มุมปากยกขึ้นอย่างมีความหมาย
กวนเย่ว์กลับมีสีหน้าพยายามหักห้ามใจแวบหนึ่ง ปรากฏความไม่มั่นคงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คิ้วถูกยกขึ้นอย่างไม่ทันสังเกต แต่สีหน้าทุกอย่างก็กลับเป็นเรียบนิ่งอย่างรวดเร็ว
“ไง” เทียนเหอรู้ว่ากวนเย่ว์ไม่มีทางเป็นคนปริปากทักทายก่อนก็เลยทักเองเสียก่อนเลย “ไม่เจอกันตั้งนาน”
กวนเย่ว์เบี่ยงตัวหลบเดินเข้าบริษัท ก่อนจะผายมือเป็นท่าทางบอกให้เทียนเหอเข้าไปพูดด้านใน
โพรบอกว่า “อย่ากลับนะเทียนเหอ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของนาย ใจเย็นเข้าไว้ ฉันมีดนตรีที่ช่วยทำให้จิตใจนายสงบได้…มีอะไรก็พูดกันดีๆ! ไม่เอาบาคนะ!”
เทียนเหอกล่าวว่า “ได้ ปะ…ไปพบเขา…ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรนักหรอก” เทียนเหอหายใจเข้าลึกๆ ตอนแรกคิดจะพูดแค่ว่า แวะมาดูหน้านายเฉยๆ แล้วก็กะจะกลับ แต่หลายวันมานี้ข่าวถูกเผยแพร่เต็มไปหมด ในวงการทั่วไปก็รู้อยู่แล้วว่าบริษัทของเขากำลังจะล้มละลาย กวนเย่ว์ไม่มีทางไม่รู้ ถึงพูดไปก็ไม่มีประโยชน์
เทียนเหอเดินตามกวนเย่ว์เข้าไปในออฟฟิศของเขา ห้องทำงานซีอีโออันกว้างใหญ่มีเพียงหน้าต่างกระจกบานใหญ่สองบานกับโต๊ะทำงานสีขาวขนาดใหญ่หนึ่งตัว วิวของชั้นสามสิบเจ็ดค่อนข้างดี สามารถมองเห็นย่านศูนย์กลางธุรกิจอย่างชัดเจน แอร์ก็เย็นใช้ได้
กวนเย่ว์หยิบรีโมทขึ้นมากด หน้าต่างกระจกบานใหญ่ปรับโหมดเป็นโหมดบังแดด แสงแดดอ่อนลงจากเมื่อกี้
กวนเย่ว์นั่งลง เปิดหน้าจอที่ฝังอยู่บนกระจกโต๊ะทำงาน รัวนิ้วลงบนคีย์บอร์ดไม่กี่ที หน้าจอโปร่งใสปรากฏข้อมูลจำนวนมากกำลังวิ่งไปมาบนหน้าจอ กวนเย่ว์ปรับระดับความเร็วของข้อมูลให้เหมาะแก่การอ่าน เอนตัวพิงเก้าอี้หมุน ข้อศอกทั้งสองข้างวางอยู่บนพนักเท้าแขน เรียวนิ้วถูกวางทาบริมฝีปากอันน่าดึงดูด ไม่แม้แต่จะมองเทียนเหอ เขาเริ่มการอ่านอย่างตั้งใจ
เทียนเหอนั่งลงตรงข้ามโต๊ะทำงาน ในห้องเต็มไปด้วยความเงียบงัน มีเพียงเสียงซ่าเบาๆ ของเครื่องกรองอากาศที่กำลังทำงานอยู่ ราวกับใบไม้นับไม่ถ้วนที่กำลังลังร่วงหล่นไปมาในยามเย็นนี้
โพรว่า “นายต้องเริ่มฟังฉันตั้งแต่ตอนนี้”
เทียนเหอมองใบหน้ากับสีหน้าอันคุ้นเคยของกวนเย่ว์ ราวกับเวลาถูกย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ช่วงฤดูร้อนในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
โพรว่า “อย่าพูดนะ แม้แต่คำเดียวก็ห้าม”
หางตาของกวนเย่ว์เห็นว่าเทียนเหอกำลังมองเขาอยู่ จึงหยิบนาฬิกาจับเวลาจากข้างโต๊ะขึ้นมาตั้งไว้ห้านาทีแล้ววางลงบนโต๊ะ คิ้วเลิกขึ้นเป็นเชิงถามว่าทำไมยังไม่เปิดปากอีก?
โพรว่า “รอห้านาทีนี้จบก่อน นายค่อย…”
จู่ๆ เทียนเหอก็เอ่ยขึ้น “เปลี่ยนเพลงได้ไหม?”
โพรว่า “อย่าโจมตีรสนิยมของเขา”
เทียนเหอพูดขึ้น “ฉันนึกว่านายท้องซะอีก บิดาแห่งการตั้งท้องอย่างบีโธเฟ่นคงจะไม่เหมาะกับบรรยากาศตอนนี้เท่าไหร่”
โพรว่า “มันไม่ตลกนะ เทียนเหอ”
กวนเย่ว์ปิดดนตรี เวลายังเหลืออีกสี่นาที
โพรว่า “ถ้าฉันคาดการณ์ไม่ผิดล่ะก็ตอนนี้อารมณ์ของเขากำลังไม่มั่นคง ลองพูดถึงพี่สาวที่เป็นญาติของเขาดู จางชิว…”
เทียนเหอไม่ได้ใส่ใจคำแนะนำของโพรเท่าไหร่นัก กล่าวต่อ “นายน่าจะได้ข่าวแล้วนี่ ก่อนวันชาติฉันจะยื่นล้มละลาย”
ในที่สุดกวนเย่ว์ก็ปริปากกล่าวตามมารยาท “ได้ยินมาบ้าง มีอะไรให้ฉันช่วยนายได้บ้าง”
โพรว่า “นี่เป็นความคิดที่ไม่ดีเลย เทียนเหอ”
เทียนเหอ “พวกพนักงานบริษัทต่างก็แยกย้ายกันหมดแล้ว ถ้านายยอมลงทุนล่ะก็ ฉันคิดว่าฉันน่าจะสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ภายในสามปี”
กวนเย่ว์ก็ยังคงไม่ได้มองเทียนเหอ เอ่ยปากส่งๆ “อยากได้เงินที่ขาดทุนไปกว่าหนึ่งพันสี่ร้อยล้านกลับมา ซื้อสลากกินแบ่งลูกบอลน่าจะเร็วกว่า”
โพรว่า “รางวัลมูลค่ารวมในสลากกินแบ่งลูกบอลงวดนี้มีแค่หนึ่งร้อยสี่สิบล้าน…”
เทียนเหอจึงว่า “รางวัลมูลค่ารวมในสลากกินแบ่งลูกบอลงวดนี้มีแค่หนึ่งร้อยสี่สิบล้าน”
โพรเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากให้นายพูด เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ นายต้องเงียบ”
กวนเย่ว์ยังคงจดจ่ออยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ “ก็ถูกรางวัลก่อน ค่อยบินไปมาเก๊า เลียนแบบเทียนเย่ว์ ไปสู้แบบหมาจนตรอกไง”
เทียนเหอสำรวจกวนเย่ว์แล้วพูดขึ้นว่า “ตอนนี้นายไม่ค่อยชอบพูดใช่ไหม? คือไม่อยากพูดจริงๆ หรือแค่เพิ่มความรู้สึกน่าค้นหาต่อหน้าลูกน้องของนาย จะได้ควบคุมง่ายหน่อย?”
โพร “…”
สองมือที่ประกบกันอยู่ของกวนเย่ว์แยกออกจากกัน เป็นการแสดงภาษาทางร่างกายโดยไม่รู้ตัว “บางทีแค่คุยกันก็ทำให้เหนื่อยได้เหมือนกัน บางอย่างไม่พูดเสียยังจะดีกว่า อีกสามนาที”
“ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง” เทียนเหอครุ่นคิดก่อนจะพูดต่อ “ได้ขึ้นเป็นซีอีโอ ถึงจุดที่สูงที่สุดในชีวิต ชีวิตก็คงผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ ฉันขอโทษกับการกระทำอันไร้มารยาทที่ฉันทำต่อนายเมื่อตอนนั้น…”
“ก็แค่การงานก้าวหน้า ใครๆ ก็ย่อมต้องเคยเจอ” กวนเย่ว์ตัดบท “ได้รู้จักหญิงสาวที่อ่อนโยนมาคนหนึ่ง พึ่งเจอพ่อแม่กันไป เตรียมคุยกันเรื่องการแต่งงาน ลองดูรูปไหมล่ะ? นี่ไง”
เทียนเหอมองรูปบนมือถือของกวนเย่ว์แค่แวบเดียว ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วกล่าว “นี่ไม่ใช่ซุปเปอร์โมเดลที่บ้านทำธุรกิจช็อกโกแลตหรอกเหรอ? หลอกเขามาแต่งงานไม่ดีมั้ง อยู่ในระดับที่แต่งงานเพื่อธุรกิจแล้ว แต่งงานกับผู้ชายก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย พ่อแม่นายเปิดกว้างจะตาย ที่บ้านก็ไม่ได้กดดันอะไรเลยนี่”
กวนเย่ว์เก็บมือถือคืน ก้มหน้ามองรูปในนั้น “ฉันจำได้ว่าเคยบอกนายว่าฉันชอบผู้หญิง เธอก็เป็นสไตล์ที่ฉันชอบพอดี”
เทียนเหอกลั้วหัวเราะ “ทำไมฉันไม่เห็นจะจำได้?”
“วันนั้น ตอนที่พายเรือด้วยกันที่แม่น้ำเทมส์” กวนเย่ว์เตือนความจำ “วันอีสเตอร์”
เทียนเหอนึกออกแล้วบอก “วันที่นายสารภาพรักกับฉัน”
กวนเย่ว์อืมรับคำ เทียนเหอกล่าวอีกว่า “วันนั้นนายยังบอกอีกว่าฉันเป็นผู้ชายคนเดียวที่นายมีความรู้สึกด้วย วันนี้ใช่ ตลอดทั้งชีวิตก็ใช่”
โพรพูดว่า “เขาโกรธแล้ว เทียนเหอ นายกำลังจะทำให้เขาตะคอก”
กวนเย่ว์ตอบแบบตรงๆ ว่า “อืม”
เทียนเหอลองนึกดูอีกทีก็หัวเราะออกมา “ฉันแปลกใจมาก”
กวนเย่ว์ “ฉันรู้ดีเสมอว่ารสนิยมทางเพศของฉันเป็นยังไง ใช้วิธีหลอกลวงให้มาแต่งงานด้วย จะมีข้อดีต่อฉันยังไง?”
เทียนเหอ “นายชอบสไตล์นี้เหรอ? แค่หน้าตา?”
กวนเย่ว์ “แน่นอนว่าไม่ใช่แค่นั้น เธอกระตือรือร้นเปิดเผย สุภาพเหมือนนาย มีสกุล มีมารยาท ถึงบริษัทจะล้มละลายแล้ว คำหยาบสักคำก็จะไม่ออกมาจากปาก ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน ท่าทางเหมือนรอดื่มชายามบ่ายเสร็จค่อยจัดการยังไงอย่างนั้น”
เทียนเหอ “…”
โพรว่า “เขายังรักนายอยู่เทียนเหอ ถ้านายยังอยากให้เขาช่วยก็เลิกยั่วโมโหเขาสักที”
เทียนเหอว่า “งั้นก็ยินดีด้วย จะแต่งกันเมื่อไหร่ล่ะ?”
กวนเย่ว์ตอบ “ยังไม่ได้ขอแต่งงานเลย ที่จริงอยากติดต่อนายอยู่พอดี ช่วยฉันวางแผนจัดฉากโรแมนติกให้ทีสิ ในด้านนี้นายน่าจะเข้าใจความชอบของหญิงสาวได้ดีกว่าฉัน”
เทียนเหอล้วงแหวนทองที่ถูกรื้อออกมาจากกองของเก่าออกจากกระเป๋าก่อนจะพูดขึ้นว่า “เอาอันนี้ให้เธอสิ ฉันเชื่อว่าเธอน่าจะชอบนะ ถ้าฉันว่างเมื่อไหร่จะช่วยนายคิดแล้วกัน”
“นายเก็บเอาไว้เล่นเถอะ” กวนเย่ว์ชำเลืองมองแหวนวงนั้นที่อยู่บนโต๊ะก่อนจะเอ่ย “ใครไม่มีช่วงวัยรุ่นที่เลือดมันพลุ่งพล่านกันบ้าง? ไว้ฉันค่อยซื้อใหม่ก็ได้”
“นี่ไม่ใช่อันที่ปู่นายให้เหรอ?” เทียนเหอถามขึ้น
กวนเย่ว์คลายนิ้วมือเล็กน้อยกล่าวว่า “อยากลองเปลี่ยนเป็นแหวนเพชรน่ะ มีแบรนด์แนะนำไหม?”
เทียนเหอพูด “ผู้หญิงแนวนี้น่าจะเจอพวกเพชรนิลจินดาแพงๆ มาเยอะแล้ว จะใช้แหวนเพชรหรือห่วงบนกระป๋องเครื่องดื่มขอแต่งงานก็ไม่ต่างกันมากนักหรอก แต่ว่าฉันจะลองถามมาให้นายแล้วกัน”
“นายพูดล่ะนะ” กวนเย่ว์เอ่ย “บ้านฝั่งแม่ของนายสนิทกับพวกจิวเวอรี่ดีไซน์เนอร์นี่ พวกเศรษฐีหน้าใหม่ที่มีแค่เงินเข้าพบพวกเขาไม่ได้หรอก ฉันอยากนัดกินข้าวกับเพื่อน แค่ที่ ‘ฟิงค์’ ยังจองโต๊ะไม่ได้เลย ต้องต่อคิวรอตั้งสามเดือน”
“นายก็บอกก่อนสิ” เทียนเหอกล่าว “ก็แค่โทรศัพท์กริ๊งเดียวเท่านั้นแหละ นายอยากไปเมื่อไหร่?”
กวนเย่ว์ตอบ “เรื่องตั้งแต่ปีที่แล้ว ช่างมันเถอะ”
เทียนเหอ “ตอนนี้ที่ฟิงค์รสชาติก็ไม่ได้เรื่องแล้ว เดี๋ยวฉันแนะนำร้านใหม่ๆ ให้นายดีกว่า…” พูดแล้วก็ดึงดินสอกับกระดาษโพสท์อิทออกมาเขียนให้กวนเย่ว์อย่างตั้งใจ
กวนเย่ว์แค่มองเทียนเหอเงียบๆ
โพรว่า “เขาแซะนายอยู่ เทียนเหอ นายฟังไม่ออกหรือไง?”
คอมเมนต์