เบบี้ซิตเตอร์…หลอกนายมาเป็นพี่เลี้ยง ตอนที่ 2-4
ตอนที่ 2-4 แครอทและแส้ม้า คือกฎที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
“ไม่รู้ว่ามันสมเหตุสมผลไหม แต่ฉันไม่ได้หลอกนาย ฉันต้องการพี่เลี้ยงจริงๆ”
“ทำไม”
“เพราะฉันป่วย เป็นโรคประสาทหัวใจ[1]”
“ถึงผมจะไม่รู้ว่ามันโรคคืออะไร แต่ถ้าป่วย ก็ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสิ”
“สาเหตุมันยังไม่ชัดเจนน่ะ เมื่อวันก่อนนายก็เห็นแล้วนี่ ที่ฉันชักอะ”
“อ่า…”
แจฮยอกอุทานออกมาเมื่อนึกถึงอาการตอนนั้น โซโฮร้องครวญครางพร้อมกุมหน้าอกตัวเองด้วยใบหน้าซีดเผือด มันมีแค่ช่วงเวลานั้นเท่านั้นแหละที่เขาไม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นมนุษย์ไร้มารยาทและเฮงซวยแบบนี้
ผ่านไปเพียงหนึ่งวัน ภาพนั้นก็เป็นเหมือนเรื่องโกหก เพราะสิ่งที่คนตรงหน้าแสดงให้เห็นหลังจากนั้นมันทำให้ภาพความอ่อนแอและเจ็บปวดในตอนนั้นดูเหมือนไม่มีอยู่จริง
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ตัวปลอมหรอก
“พูดจริงเหรอ”
“เดี๋ยวมันก็กำเริบ เดี๋ยวมันก็สงบลง จะมีหมอประจำตัวมาตรวจที่บ้านอาทิตย์ละครั้ง แต่ฉันไม่มีคนคอยอยู่ข้างๆ”
“งั้นจ้างเอาก็ได้ ทำไมต้องเป็นฉันด้วย”
เมื่อฟังคำพูดของโซโฮ แจฮยอกก็สงสัยขึ้นมา แต่ไม่ยอมนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความคิดที่ว่าหากอีกฝ่ายทำเป็นเล่นอีกแค่นิดเดียวล่ะก็ เขาจะเดินออกจากห้องนี้ไปทันที
อาจจะเป็นเพราะโซโฮพูดคุยอย่างต่อเนื่องทั้งๆ ที่ถอดเสื้อ ภายในห้องนั่งเล่นที่เปิดแอร์อย่างแรง เลยรู้สึกหนาวจนต้องหยิบเสื้อยืดแขนยาวสีแดงขึ้นมาสวมอีกครั้ง อีกทั้งยังพับผ้าห่มไปไว้ด้านข้างแล้วห้อยขาลงจากโซฟาไม้โบราณ
“ฉันก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกัน แต่แค่อาทิตย์เดียวก็ไม่มีใครทนได้ ลาออกกันไปหมด”
ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาแล้วพูด แจฮยอกเกือบจะโพล่งออกมาว่า ‘เหตุผลมันก็มีแค่นายนั่นแหละที่ไม่รู้ ทุกคนเขารู้กันหมด’ แต่ก็ต้องอดกลั้นเอาไว้
เจ้าของบ้านเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับเงยหน้ามองแล้วยิ้ม
“ฉันออกจะเป็นคนง่ายๆ”
ด้วยคำพูดที่ชวนให้เข้าใจผิดไปไกลทำเอาแจฮยอกขมวดคิ้วน้อยๆ เพราะมันฟังดูเหมือนว่า ‘ถ้านายรุกเข้ามา ฉันจะรับมันเข้าไป’ รวมถึงลักษณะนิสัยที่เป็นคนค่อนข้างไวต่อคำพูดชัดเจนอะไรแบบนี้ ยิ่งทำให้รู้สึกอยากด่าทอคนตรงหน้าออกมาเป็นการตอบโต้ ถึงแม้จะไม่ได้แสดงสีหน้าบึ้งตึงออกมาเลยสักนิดก็ตาม
โซโฮมองหน้าแจฮยอกแล้วพูดต่อ
“เป็นคนดูแลง่าย แต่ทุกคนก็หนีกันไปหมด”
“ฉันเองก็คงจะหนีไปเหมือนกัน”
แจฮยอกไม่สามารถอดกลั้นได้อีกเป็นครั้งที่สอง เขาโพล่งสิ่งที่อยู่ในใจออกมา ซึ่งโซโฮก็หัวเราะต่อทันทีด้วยเสียงเหมือนกำลังสนุกสนาน
“ไม่เป็นแบบนั้นหรอก จิตใจนายแตกต่างกับคนพวกนั้นนี่นา อีกอย่างนายก็ฝากชีวิตไว้กับฉัน แล้วฉันก็จะฝากชีวิตไว้กับนายด้วย”
แจฮยอกถอนหายใจออกมาเบาๆ ตอนนี้เขารู้สึกเกลียดกษัตริย์รูทเอลิโน่ที่เป็นคนคิดคำคม ไม่สิ คำพูดไร้สาระนั่นเสียแล้ว การฝากชีวิตคนอื่นไว้ที่ตัวเองและฝากชีวิตตัวเองไว้ที่อีกคนน่ะ มันเป็นข้ออ้างชัดๆ
สำหรับโซโฮที่ตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ แบบนี้ตามอำเภอใจนั้น มันทำให้แจฮยอกรู้สึกขมขื่น แต่ก็รู้สึกประหลาดในขณะเดียวกัน ทว่า ถึงแม้จะพยายามหาเหตุผลให้กับความรู้สึกประหลาดนี้แล้ว แต่เขาก็หาสาเหตุของมันไม่พบเลยเหมือนกัน
โซโฮจึงอธิบายเพิ่ม
“ฉันชอบแครอท[2]นะ แล้วก็ชอบการต่อรองด้วย ถ้านายยังไม่ลืม มันก็เหมือนของที่ฉันกินตอนเสนอเงินเดือนสี่ล้านให้นั่นแหละ ฉันค่อนข้างจุกจิก เพราะงั้นเรื่องอาหารก็ทำตามสูตรของบ้านฉัน ส่วนเรื่องการทำความสะอาด ทุกวันจะมีผู้ช่วยแม่บ้านมาวันละสามคน นายแค่มาเล่นกับฉันก็พอ นั่นแหละงานพี่เลี้ยงเด็ก”
ตอนนี้แจฮยอกเข้าใจแล้วว่าทำไมอีกคนถึงไม่จ้างพยาบาลพิเศษ ผู้ช่วย หรือว่าอาชีพอื่นๆ แต่จ้างเป็นพี่เลี้ยงเด็กแทน แถม ‘โรค’ ไร้สาระของเขาก็ยังกำเริบอีก เพราะเมื่อได้ฟังเรื่องราวแสนโชคร้ายของคนอื่น เขาก็จะรู้สึกเจ็บปวดหัวใจและอยากช่วยเหลือ มันเป็นเหมือนโรคที่ชอบสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องไร้สาระ
และแน่นอนว่ามันก็เป็นการรักษาเงินสี่ล้านวอนที่ลอยอยู่ตรงหน้าด้วย
“ก็ได้ ทำก็ทำ”
แจฮยอกมองโซโฮที่ดึงเขาเข้าไปกอดพร้อมรอยยิ้มกว้าง แล้วก็คิดขึ้นมาว่านี่เขาคงไม่ได้ทำอะไรผิดไปใช่ไหม
ถึงแม้มันจะไม่ใช่เรื่องถูกต้องกับการไปกินเงินคนอื่นง่ายๆ แต่ก็ยากจะห้ามใจกับเงินตั้งสี่ล้านวอน
* * *
ติ๊ดๆๆ แจฮยอกกดรหัสเลขวันเกิดของโซโฮแล้วเดินเข้าข้างใน วันนี้เขาก็เริ่มต้นวันด้วยการขมวดคิ้ววุ่นเช่นเดิม
อากาศข้างนอกมันเป็นอากาศช่วงต้นฤดูร้อนแท้ๆ แต่อากาศภายในบ้านของโซโฮเหมือนเป็นฤดูหนาว และวันนี้เจ้าตัวก็นอนกระดุกกระดิกอยู่ในผ้านวมบนโซฟาไม้โบราณ
พอแจฮยอกเดินเข้าไปข้างๆ ก็เจอกับโซโฮที่ยิ้มร่าให้ทั้งๆ ที่ลืมตาได้เพียงครึ่งเดียว
“แจฮยอก มาแล้วเหรอ”
“ฉันเพิ่มอุณหภูมิแอร์ไว้ให้แล้วนี่ ทำไมถึงกลับมาเป็นแบบนี้อีกแล้ว”
แจฮยอกถอนหายใจพร้อมว่ากล่าวโซโฮ วันนี้ใบหน้าน่ารักสดใสเป็นประกายเหมือนไร้ความเหน็ดเหนื่อยมาตลอดอาทิตย์ ก็ยังทำให้เขาเบนสายตาหนีเหมือนเดิม
เมื่อโซโฮเห็นแจฮยอกไม่ยอมมองกัน จึงแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา เขาอุตส่าห์ทาทั้งไนต์ครีม ไหนจะสกินแคร์นู่นนี่ทุกคืนเพื่อให้ดูน่ารักขึ้นอีกสักนิดในตอนเช้า แต่ทำไมถึงไม่ยอมมองหน้ากันแบบนี้เล่า
ถ้าอยากจะเด็ดผลไม้ ก็ต้องมองก่อนไม่ใช่หรือไง ช่วยมองกันหน่อยเถอะ ได้โปรดล่ะ
“ก็มันร้อน”
“ถ้าร้อนก็ใส่เสื้อผ้าที่มันบางลงหน่อย เอาผ้านวมออก แล้วก็ไม่ต้องเปิดเสื่อทำความร้อน”
“ก็ฉันชอบให้หลังอุ่นๆ นี่นา”
“นี่รู้บ้างไหมว่าตัวเองใช้ไฟเปลืองขนาดไหน”
“ฉันก็จ่ายเงินเท่ากับที่ใช้เปลืองนะ”
“โว้ย ให้ตายเถอะ!”
แจฮยอกหงุดหงิดจนเหนื่อยกับการพูดเรื่องใช้ไฟเปลือง เขาเดินไปปรับอุณหภูมิแอร์ขึ้น
ร่างกระเซอะกระเซิงของของโซโฮลุกยืนพร้อมกับยื่นมือออกมาหาคนที่กำลังเดินเข้ามา ถึงใบหน้าแจฮยอกจะยับยู่ยี่ แต่ก็ดึงคนตัวบางเข้ามากอดอย่างอ่อนโยนตามที่อีกฝ่ายปรารถนา
ทุกครั้งที่โซโฮรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาบนโซฟา ขาก็มักจะไร้เรี่ยวแรงเลยขอให้แจฮยอกช่วยย้ายตัวเองไปที่เตียง ซึ่งหลังจากนั้นก็จะขอแบบเดิมประจำ
“ฉันจะนอนต่ออีกหน่อย อยู่ตรงนี้ล่ะ”
“…อืม”
โซโฮมุดเข้าไปในอ้อมกอดแจฮยอกช้าๆ จากนั้นถูไถใบหน้าลงไปหลายต่อหลายครั้งก่อนจะสงบลง
แจฮยอกมองคนที่หนุนแขนเขาและหลับไป ทั้งที่ยังมุดหน้าเข้ามาในอ้อมกอดครู่นึง ถึงตอนนี้จะเป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว แต่อีกฝ่ายก็มักจะนอนต่อแบบนี้อีกสามสิบนาทีแล้วถึงจะตื่น
ในตอนแรกเขาเองก็ตกใจกับการกระทำแบบนี้จนผลักออก
หลังจากนั้นพอถึงช่วงทานข้าวกลางวัน หากว่าโซโฮเห็นว่ามีรอยนิ้วมืออยู่บนจานแล้วล่ะก็ จะยัดอาหารลงถังขยะทั้งจาน แล้วไม่ยอมกินอะไรตรงนั้นเลยแม้แต่อย่างเดียว
แจฮยอกมองการกระทำนั้นโดยไม่รู้ว่ามันคือนิสัยของอีกคน ก่อนจะตำหนิออกไปอย่างรุนแรง ทว่าโซโฮกลับหัวเราะคิกคักแล้วพูดว่า
‘ไม่อยากเห็นเหรอ งั้นสามสิบนาทีหลังเริ่มงาน นายก็เอาแขนมาเป็นหมอนให้ฉัน แล้วฉันจะไม่ทำอะไรแบบเมื่อกี้อีก’
จากคำพูดและรอยยิ้มอวดดีมันแสดงให้เห็นว่าโซโฮต้องการให้เขาอยู่ข้างตัวแล้วหยอกเล่น ดังนั้นแจฮยอกจึงคิดว่าไม่มีทางเอาตัวเข้าไปพัวพันกับอีกคนเด็ดขาด
ยิ่งไปกว่านั้น การต่อรองครั้งนี้ก็เหมือนเขาไม่ได้กำไรอะไรเลยสักนิด แจฮยอกจึงได้ปฏิเสธข้อเสนอนี้ออกไปอย่างชัดเจน
ทว่า ในวันถัดมาแจฮยอกก็ได้รู้ว่าอีกคนฉลาดมากแค่ไหน ซึ่งแน่นอนว่าเขาหมายถึงในทางแย่ๆ
โซโฮถามแจฮยอกถึงรสชาติของอาหารที่วางอยู่ข้างๆ หัวหน้าพ่อครัว แล้วถ้าหากคำตอบของเขาไม่เป็นที่พึงพอใจอีกฝ่าย ก็จะเทอาหารทิ้ง
หัวหน้าพ่อครัวรู้ดีว่าเจ้านายตัวเองมีนิสัยอย่างไร มีพฤติกรรมอย่างไร จึงไม่ได้ส่งสายตาเกลียดชังให้แจฮยอก เพียงแค่ส่งสายตาอ้อนวอนร้องขอให้ช่วยทำอะไรสักอย่างหน่อยเท่านั้น
ซึ่งสิ่งนี้มันยากสำหรับเขา ก่อนหน้านี้ถ้าเกิดโดนเกลียดขึ้นมาก็แค่บอกว่า ‘นี่มันไม่ใช่ความผิดของผม’ แล้วก็ไม่สนใจใยดี แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้แล้ว
เขาไม่รู้ว่าโซโฮเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วหรือเปล่า แต่จุดประสงค์ของการกระทำซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ก็เห็นได้ชัดว่าทำเพื่อต้องการข่มขู่
และในวันนั้นแจฮยอกจึงกลับบ้านไปพร้อมกับความกังวลว่าหรือจะไม่ทำงานนี้ต่อดีนะ
แต่คำที่ว่า ‘ทุกคนลาออกไป ทั้งที่ยังไม่ถึงอาทิตย์’ กับสิ่งที่เรียกว่า ‘โรคประสาทหัวใจ’ ไหนจะเงินเดือนสี่ล้านวอนอีก ทุกอย่างมันกำลังรั้งขาเขาอยู่
อาจจะเป็นเพราะอยู่คนเดียวเลยทำให้โซโฮมีนิสัยชอบขู่เข็ญคนอื่นตามใจชอบแบบนี้ก็ได้ แต่ยังไงการอยู่คนเดียว ก็คงจะโดดเดี่ยวไม่ใช่เหรอ
นอกจากนี้ เงินจำนวนสี่ล้านวอน ถึงแม้จะหักค่าใช้จ่าย ค่าเงินกู้เล่าเรียน รวมถึงภาษีทั้งหลายออกไปแล้ว มันก็ยังเหลือเก็บอีกจำนวนไม่น้อยเลย
และดูเหมือนว่าอีกไม่นานเขาจะโดนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไล่ออกจากพื้นที่ตรงนั้นด้วยเหตุผลของการอยู่อาศัยอย่างผิดกฎหมาย ดังนั้นจึงต้องเก็บคำมัดจำเพื่อเช่าบ้านไว้ให้ได้มากที่สุด
สุดท้ายแจฮยอกก็เลยเปลี่ยนมาคิดหาทางให้ตัวเองสามารถควบคุมโซโฮได้ สิ่งที่นึกขึ้นมาได้ก็มีเพียงอย่างเดียว คือการต่อรอง และสิ่งที่ตัวเขามีก็มีเพียงร่างกายเท่านั้น
ในวันที่สอง แจฮยอกจึงเสนอข้อต่อรองกับโซโฮ
เขาจะให้ยืมแขนและหน้าอกทุกวัน วันละสามสิบนาที แลกกับการเลิกหาเรื่องจับผิดอาหาร รวมถึงไปขอโทษหัวหน้าพ่อครัวด้วย แล้วหลังจากนี้เขาจะร่วมมื้ออาหารโดยไม่บ่นอะไร
แจฮยอกเองก็คิดว่าตัวเองยื่นข้อเสนอที่มันมากเกินไปหรือเปล่า กับการให้อีกฝ่ายไปขอโทษกับหัวหน้าพ่อครัว แต่ว่าโซโฮกลับตอบว่าเข้าใจแล้วโดยไม่ใช้เวลาคิดเลยสักวินาทีเดียว
อันที่จริง แจฮยอกไม่ได้คิดว่าอีกคนจะรักษาสัญญานี้หรอก คิดว่าคงจะพูดกำกวมให้ดูเหมือนจะรักษาไปอย่างนั้น
ทว่าแจฮยอกก็ต้องตกใจอีกครั้ง เพราะวันต่อมาโซโฮเอ่ยขอโทษหัวหน้าพ่อครัว แถมยังโค้งให้อีกด้วย
แจฮยอกยืนมองโซโฮจนกระทั่งยืดตัวขึ้นมาด้วยความรู้สึกประหลาด ซึ่งวันนั้นหัวหน้าพ่อครัวก็มองเขาอย่างตกตะลึงเหมือนเขาเป็นพ่อมด
แถมในวันถัดๆ ไป โซโฮก็ไม่ได้จุกจิกจู้จี้กับหัวหน้าพ่อครัวอีกแล้ว และทานอาหารตามที่จัดเตรียมให้อย่างดี จนถึงตอนนี้มันก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ เมื่อมองการนอนหลับอย่างสงบในอ้อมแขนแล้ว วันนี้ก็คงจะเป็นแบบนั้นเช่นกัน
แจฮยอกถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางมองคนที่หายใจสม่ำเสมอในอ้อมกอดตัวเอง อะไรที่ทำให้ชายหนุ่มคนนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงภายในเวลาหนึ่งอาทิตย์ มันช่างน่าสับสนและวุ่นวายใจเพราะเขาไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ได้ แจฮยอกแสร้งทำเป็นไม่สนใจเรื่องนั้นก่อนจะคลี่ผ้าห่มคลุมให้
แถมยังลูบหลังโซโฮอย่างช้าๆ โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว
[1] โรคประสาทหัวใจ (Cardiac Neurosis) โดยความเครียด ความกังวลและความกลัว ไปส่งผลต่อระบบประสาทควบคุมหัวใจและทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการหายใจไม่อิ่ม เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย เจ็บหน้าอก ใจสั่น ฯลฯ
[2] แครอทในที่นี้ หมายถึงสำนวน “carrot and stick” หมายถึงการหลอกล่อ การใช้ไม้อ่อนไม้แข็ง เจรจาต่อรองเพื่อให้ได้บางสิ่งมา สำนวนนี้ มีที่มาจากการหลอกล่อให้ลากินแครอท เหมือนเอาของรางวัลมาล่อเพื่อให้คนยอมทำงาน ขณะเดียวกันถ้าหลอกล่อไม่ได้ผล ก็จะใช้ไม้แข็ง (stick) เพื่อบังคับให้ทำ
คอมเมนต์