เบบี้ซิตเตอร์…หลอกนายมาเป็นพี่เลี้ยง ตอนที่ 2-5
ตอนที่ 2-5 แครอทและแส้ม้า คือกฎที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
เวลาผ่านไปไม่รู้ตัวจนกระทั่งถึงสามสิบนาที นาฬิกาในห้องของโซโฮก็ส่งเสียงดังติ๊ดๆ ขึ้น และเจ้าตัวก็พลิกตัวในทันที
“อือออ…”
“ได้เวลากินข้าวเที่ยงแล้ว”
“หื้ออ… ถึงแล้วเหรอ”
โซโฮเอ่ยด้วยร้ำเสียงขึ้นจมูกพร้อมกับทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง ก่อนจะใช้มือเกาหน้าท้องแบนราบที่โผล่พ้นชายเสื้อยืดแขนยาวที่สวมเป็นชุดนอน รอยข่วนแดงๆ ที่ปรากฎบนผิวขาวๆ แบบนี้ดูท่าน่าจะเจ็บพอตัว
แจฮยอกจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางลูบหน้าท้องของโซโฮอย่างแผ่วเบา
“เกาทำไม มันแดงหมดแล้ว”
“มันคันอะ ยุงกัดหรือเปล่า ช่วยดูให้หน่อยสิ”
คนตัวเล็กเบ้ปากบ่นพึมพำ ทั้งๆ ที่ดวงตายังเต็มไปด้วยความงัวเงีย แจฮยอกมองภาพนั้นแล้วรู้สึกเหมือนโดนโจมตีที่หัวใจจนหูเปลี่ยนเป็นสีแดงแทบจะในเวลาเดียวกัน
ทุกวันโซโฮก็จะอยู่ในสภาพนี้ ถึงหน้าตาจะน่ารัก แต่นิสัยสุดจะหยาบกระด้าง ซึ่งการที่อีกฝ่ายพยายามแสดงด้านที่ตัวเองคิดว่าน่ารักให้เขาเห็น มันทำให้เขารู้สึกประหลาด และเขาเองก็รู้สึกแปลกๆ กับความรู้สึกประหลาดนี้ด้วย
ปกติต้องทำตัวน่าหมั่นไส้ไม่ใช่เหรอ
“เหมือนจะไม่ได้โดนกัดนะ เหมือนเป็นเศษด้ายที่ลุ่ยออกมา”
“งั้นเหรอ… อื้ม… วันนี้ก็หลับสบายจังเลยแจฮยอก”
“…เหรอ ไปกินข้าวเถอะ”
แจฮยอกตอบกลับคนที่ยังคงยึดมั่นกับการใช้คำพูดแบบไม่เป็นทางการด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
แม้ว่าจะบอกอายุออกมาแล้ว แต่โซโฮก็ยังใช้คำพูดแบบเป็นกันเองกับคนที่อายุมากกว่าและน้อยกว่าเป็นสิบปีราวกับทุกคนเป็นเพื่อน แจฮยอกเลยยื่นข้อเสนอต่อรองอีกครั้ง ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมรับมัน
เมื่อร่างกายอันเฉื่อยชาของโซโฮลุกขึ้นนั่ง เสื้อที่สวมอยู่ก็ทิ้งตัวลงด้านล่างทันที เสื้อแขนยาวกินมือกับความยาวของเสื้อที่ยาวถึงช่วงขาอ่อน การออกแบบของเสื้อตัวนี้ไม่ว่าจะดูยังไง ก็ดูเป็นเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิง ทว่าขนาดความยาวของมันดูยังไงก็ไม่มีทางเป็นเสื้อสำหรับผู้หญิงเหมือนกัน
แจฮยอกลุกขึ้นแล้วรีบไปปิดแอร์ในห้องนอนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะแล้วหันไปไล่คนงัวเงียให้ออกจากห้องนอนไป
ทุกครั้งที่โซโฮขยับขา ปลายเสื้อของอีกฝ่ายก็จะขยับคล้ายกระโปรงผู้หญิง
หลังจากผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ เขาก็เพิ่งจะมาสังเกตเห็นวันนี้ แจฮยอกจึงหัวเราะแล้วพูด
“นี่มันเหมือนกระโปรงเลยนะ”
“ก็ใส่เพราะอย่างนั้นแหละ แต่ก่อนผู้ชายใส่กระโปรงมันก็ถูกต้องแล้ว ด้วยเหตุผลทางสรีระ”
“หมายความว่ายังไงอีกล่ะ”
“ไม่รู้เหรอ ผู้หญิงน่ะช่วงล่างต้องอบอุ่น ส่วนผู้ชายช่วงล่างต้องเย็นสบาย มันถึงจะดีต่อร่างกาย เพราะอย่างนั้นเขาเลยบอกว่าผู้ชายต้องใส่กระโปรงสั้น”
“…เสียสายตาจะตาย”
“ขาฉันสวยออก นายก็มองได้นะ ฉันอนุญาต”
คนตัวบางเหมือนใกล้จะตื่นเต็มที่แล้วหันกลับมาขยิบตาให้ราวกับจะยั่วยวน จังหวะนั้นในใจเขามีเสียงอะไรบางอย่างดังตึกขึ้นมา ทว่าแจฮยอกกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วชักสีหน้าใส่อีกคนแทน
โซโฮขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้น นั่นหมายความว่ากำลังไม่พอใจอยู่ แต่แจฮยอกก็ไม่ได้สนใจ เขาจูงเจ้าของบ้านไปที่โต๊ะอาหารพร้อมพูดว่า
“ขอปฏิเสธการชื่นชมขาผู้ชายแล้วกัน”
“มีคนบอกว่าขาฉันสวยเหมือนผู้หญิงเลยนะ”
แจฮยอกเกือบจะถามออกไปแล้วว่าใครเป็นคนบอกแบบนั้น อยากรู้ว่าเจ้านี่ไปสั่งให้ผู้ชายคนไหนมาชื่นชมขาตัวเอง แต่สติสัมปชัญญะของเขามันบอกว่าการตอบสนองแบบนั้นมันประหลาด ก็เลยข่มใจเอาไว้แล้วพูดเรื่องอื่นแทน
“แต่ยังไงก็เป็นขาผู้ชายอยู่ดี แล้วเสื้อผ้าแบบนี้น่ะ ไปซื้อมาจากไหน”
“เห็นพวกผู้หญิงใส่ในทีวีแล้วมันดูน่าจะสบาย ก็เลยสั่งมา”
“มาใส่เป็นชุดนอนเนี่ยนะ”
“ชุดนอนก็คือเสื้อผ้าเหมือนกันนี่นา ฉันไม่ซื้อพวกเสื้อผ้าผลิตสำเร็จหรอกนะ”
“มันก็เห็นชัดอยู่แล้ว”
แจฮยอกบ่นพึมพำขณะจับโซโฮนั่งลงบนเก้าอี้ตรงโต๊ะกินข้าว จากนั้นก็โค้งศีรษะแล้วเอ่ยทักทายหัวหน้าพ่อครัวที่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วตัวเองยังจำหน้าไม่ได้
“สวัสดีครับคุณชาย สวัสดีครับคุณแจฮยอก”
“สวัสดีครับ คุณไม่ต้องพูดกับผมแบบนั้นก็ได้นะครับ”
คำพูดของหัวหน้าพ่อครัวทำให้แจฮยอกยิ้มและเอ่ยออกมาอย่างประหม่า แต่ในวันนี้หัวหน้าพ่อครัวปฏิเสธจะทำตามคำขอ
สำหรับหัวหน้าพ่อครัวแล้ว แจฮยอกแทบจะกลายเป็นผู้มีพระคุณ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ที่ทำให้ท่านประธานห่วงลูกชายคนเล็กแสนเกเรยิ่งกว่าอะไรดี จนเขาไม่สามารถลาออกและทำได้เพียงอดทนทำงานอยู่ที่นี่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ระหว่างได้รับความเครียดขึ้นทุกวันๆ จนหัวปั่นไปหมด อยู่ดีๆ ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฎตัวขึ้นแล้วนำพาความสงบสุขมาให้ ถ้าไม่เรียกว่ามีพระคุณ ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกอะไรได้อีกแล้ว
“ถ้าอย่างนั้น ทานให้อร่อยนะครับ”
“กลับดีๆ นะครับ”
“ลาก่อนครับ”
หัวหน้าพ่อครัวกล่าวลาแล้วเดินออกจากบ้านด้วยสีหน้าประหลาดใจ เพราะคุณชายโซโฮเอ่ยลาเขาด้วยคำพูดสุภาพเป็นทางการ
ทันทีที่ประตูหน้าบ้านปิดลง โซโฮก็อมยิ้มพร้อมยื่นแขนตัวเองไปทางแจฮยอก รูปตาที่โค้งลงนิดๆ ของอีกฝ่ายดูเร้าอารมณ์พอสมควรเลย เพียงแค่แจฮยอกมอง โซโฮก็เอาเล็บเคาะโต๊ะอาหารจนดังป๊อกๆ เป็นการเร่งรัดอีกทาง
“เร็วๆ สิ กิฟแอนด์เทคไง”
“ก็ทำแบบทักทายปกติไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้ ไม่ได้เลย ฉันอยู่ในฐานะที่ควรทักทายคนอื่นด้วยภาษาเป็นทางการเหรอ ฉันเนี่ยนะ”
“โอเค ช่างเถอะ”
แจฮยอกตัดสินใจหยุดพูด เขาสั่งให้เจ้าคนไร้มายาทสิ้นดีนี่ทำตัวให้ดีๆ และกล่าวทักทายอำลาคนอื่นด้วยถ้อยคำสุภาพ
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นมาจับมือเรียวที่ยังคงเอาเล็บเคาะโต๊ะอยู่ ก่อนจะกดริมฝีปากตัวเองลงไปบนฝ่ามือของอีกฝ่าย
จูบลงบนหลังมือหรือฝ่ามือหนึ่งครั้ง ต่อการทักทายด้วยถ้อยคำสุภาพหนึ่งครั้ง นี่คือเงื่อนไขที่โซโฮเอามาต่อรองกับคำขอของแจฮยอก
‘ทำไมถึงอยากได้จูบจากผู้ชายกัน อย่าบอกนะว่านาย…’
‘เขาเรียกกันว่าขาดแคลนความรักไง’
โซโฮเอ่ยตอบพร้อมใบหน้าขึ้นสีโดยไม่รู้สาเหตุ
แจฮยอกทอดสายตามองคนหลบตาแล้วเริ่มลงมือทานข้าวทั้งๆ ที่ใบหน้ายังแดงก่ำ วันนั้นเขาก็มองคนตั้งเงื่อนไขขอให้จูบ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถามคำถามที่ตัวเองอยากถามออกไป
เพราะหากมันหลุดจากปากเขาไปเข้าหูโซโฮล่ะก็ เขากลัวว่ามันจะกลายเป็นความจริงขึ้นมา
‘หรือว่านายชอบฉัน นายเป็นเกย์เหรอ’
* * *
เวลาใกล้เที่ยงคืน แจฮยอกมาที่บาร์ของยอมิน
วันนี้เป็นครั้งที่สามในรอบหนึ่งอาทิตย์แล้วที่เขามาร้านยอมิน เพราะหัวใจช่างสับสนกับเรื่องเหล่านั้น
เมื่อลูกค้าคนสุดท้ายออกจากร้านไป ยอมินก็ปิดประตูแล้วเริ่มเก็บร้านทันที ซึ่งแจฮยอกก็ช่วยอีกฝ่ายเก็บร้านด้วย จากนั้นทั้งคู่ก็นั่งหันหน้าเข้าหากันที่โต๊ะตัวหนึ่ง เจ้าของร้านวางเบียร์หนึ่งขวดลงตรงหน้าแจฮยอก
“ถ้าเป็นแบบนี้ ก็กลับมาทำงานที่นี่เลยดีไหม วันนี้มีอะไรอีกล่ะ”
“นั่นแหละครับ เรื่องเดิมเลย ผมสับสนน่ะครับ”
แจฮยอกดื่มเบียร์เข้าไปหลายอึกก่อนจะค่อยๆ เล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมา มันล้วนเต็มด้วยเรื่องราวที่เขาไม่มีทางเข้าใจ คำที่ไม่กล้าถาม มันสะกิดความสับสนในใจจนเขาแทบจะเป็นบ้า
ยอมินยิ้มอ่อนโยนแล้วมองแจฮยอกเงียบๆ ก่อนจะเปิดปากพูดบ้าง
“ตอนแรกนายไม่เคยคิดว่าจะคิดแบบนั้นกับเขาเลยใช่ไหม”
“ผมเหรอครับ ก็คงอย่างนั้นล่ะมั้งครับ”
“ทำไมถึงเป็นคงอย่างนั้นล่ะ ก็นายเคยบอกว่าตัวเองไม่เคยใจเต้นกับพวกผู้หญิงเลยนี่นา”
“กับผู้ชายก็ไม่เคยใจเต้นครับ”
“แต่ตอนนี้เคยแล้วไง”
“…ก็คงจะอย่างนั้นแหละครับ”
ยอมินกังวลอยู่ครู่นึงว่าควรจัดการกับรุ่นน้องคนนี้ยังไงดี ถึงเขาจะมีคนรักจริงๆ แล้ว แต่ก็เข้าใจความเยือกเย็นของโลกแห่งความเป็นจริงเป็นอย่างดี
ส่วนมากคนที่ชอบเพศตรงข้าม ไม่ว่าจะเจอกับเพศเดียวกันที่หน้าตาน่ารักมากแค่ไหน ก็จะไม่รู้สึกใจเต้น เหมือนปฏิกิริยาของคนชอบเพศเดียวกันแบบนั้น สำหรับคนชอบเพศตรงข้าม ส่วนใหญ่ก็จะด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคายรุนแรงมากกว่าจะยิ้มอย่างประหลาดใจ เพราะฉะนั้นมันก็มีเพียงแค่เหตุผลเดียวก็คือแจฮยอกไม่ได้ชอบเพศตรงข้ามมาตั้งแต่แรก ยอมินกำลังกังวลว่าควรจะบอกเรื่องนี้ให้เจ้ารุ่นน้องสุดทึ่มรู้ตัวดีหรือเปล่า
หลังดื่มเบียร์ที่ยอมินเอามาให้จนเกินครึ่ง แจฮยอกก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกเหมือนเห็นริมฝีปากสีพีชค่อยๆ เผยอออกตรงหน้า
เขาส่ายหัวไปมาพร้อมกับบ่นด้วยน้ำเสียงเจือความหงุดหงิด
“แม่ง ไอ้เวรนี่ ไอ้บ้าเอ๊ย”
“ใจเย็นๆ แจฮยอก ถ้างั้นก็ลองปล่อยมันไปดีไหม ไม่ใช่ว่านายจะต้องรู้ทุกอย่างในใจตัวเอง แล้วถึงจะทำอะไรได้หรอกนะ”
“จะให้ปล่อยอะไรเหรอครับ”
“นี่มันประหลาด นั่นมันผิดปกติ อย่ามัวคิดอะไรแบบนี้เลย ก็แค่ปล่อยไปตามหัวใจ”
ยอมินให้คำแนะนำพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่
เมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังผลักดันให้รุ่นน้องผู้เปราะบางและใสซื่อในเรื่องความรักเข้าสู่โลกความเป็นจริงแสนเยือกเย็น ยอมินจึงซ่อนรอยยิ้มขมขื่นเอาไว้
คอมเมนต์