เบบี้ซิตเตอร์…หลอกนายมาเป็นพี่เลี้ยง ตอนที่ 1-2
ตอนที่ 1-2 หากเราบังเอิญได้พบกันถึงสามครั้งภายในวันเดียว
พ่อของเขาเคยเปิดกิจการซ่อมบำรุงสิ่งของอยู่ช่วงหนึ่ง ก็คงจะได้เจอกับแม่แล้วตกหลุมรักกันในช่วงเวลานั้น
แต่ปัญหาก็คือระยะเวลาความรักของพวกท่านไม่ได้ยาวนานขนาดนั้น
หลังจากพ่อกับแม่หย่าร้างกันก็เอาแจฮยอกมาฝากไว้กับปู่ที่สลัมแห่งนี้ และผู้เป็นพ่อของแจฮยอก เมื่อไม่สามารถจัดการกับเรื่องต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิตของตัวเองได้ สุดท้ายจึงเลือกตัดสินใจจากโลกใบนี้ไป
สิ่งที่หลงเหลือไว้ให้แจฮยอก เด็กที่เกิดมาไม่เหมือนกับคนเกาหลีทั่วๆ ไปก็คือคุณปู่ผู้น่าสงสาร และผมสีบลอนด์เหมือนกับแม่ รวมถึงสีตาแตกต่างจากนัยน์ตาสีดำของคนอื่น ๆ ที่มองเข้ามา
การใช้ชีวิตอยู่ในประเทศเกาหลีใต้ที่เป็นประเทศชาตินิยม ทว่าในปัจจุบันมีคนหลากหลายเชื้อชาติเข้ามาอาศัยอยู่ มันไม่ได้ลำบากอะไร
แต่ความรู้สึกเหมือนถูกแบ่งแยกที่สัมผัสจากบรรดาเด็ก ๆ ในช่วงเวลานั้น มันสร้างปมในใจให้เขา
ยิ่งไปกว่านั้น การถูกล่อลวงสัมผัสตัวจากที่เพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรก ทั้งที่ตัวเองอุตส่าห์ให้ความช่วยเหลือแบบนี้ มันยิ่งทำให้เขาอึดอัดใจและไม่ชอบยิ่งกว่าตอนปกติมาก
“งานพาร์ทไทม์เหรอ ทำที่ไหนครับ ผมจะจ่ายค่าชดเชยให้กับคุณ แล้วก็นายจ้างของคุณเท่ากับค่าแรงเลย แค่บอกผมมาว่าทำงานอยู่ที่ไหน”
คำพูดเฉยชากับสำเนียงราบเรียบ รวมถึงท่าทางของอีกฝ่ายที่ทำเหมือนเรื่องของเขามันไม่ได้สำคัญอะไรเลย ก็ทำให้แจฮยอกระเบิดอารมณ์จนต้องสบถออกมาในที่สุด
“แม่ง ดันมาเจอตัวซวยเวร ๆ จนได้ ให้ตายเถอะ”
“ใครเหรอ”
“นายไง ไอ้เวร”
แจฮยอกหันหลังให้ชายหนุ่มแล้วกดปุ่มเรียกลิฟต์ที่ยังคงค้างอยู่ชั้นเดิม เขากระโจนเข้าไปด้านในเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ก่อนจะยกนิ้วกลางขึ้นมาให้อีกคนขณะกดปุ่มปิดประตูไปด้วย
และประตูลิฟต์ก็ปิดลงพร้อมกับสีหน้าดูเหมือนจะไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นจากเจ้าของห้อง
ทันทีที่แจฮยอกลงมาถึงชั้นหนึ่ง ก็รีบวิ่งออกไปอย่างกับคนบ้าเพราะจะถึงเวลารถเมล์ออกแล้ว หากเป็นในเวลาปกติเขาก็จะประหยัดแม้กระทั่งค่ารถ ถือว่าการเดินก็เป็นการออกกำลังกายไปในตัว ทว่าตอนนี้มันก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
สุดท้ายแจฮยอกก็วิ่งขึ้นรถเมล์มาได้อย่างหวุดหวิด และไปถึงบริษัทที่ตัวเองทำงานพาร์ทไทม์เกี่ยวกับเอกสารในเวลาที่ช้ากว่าปกติไปเล็กน้อย
แจฮยอกจัดผมเผ้าที่อาบท่วมด้วยเหงื่อให้เรียบร้อยขณะรีบเข้าไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง
“ขอโทษที่มาช้านะครับ พอดีผมเจอคนป่วยระหว่างทาง”
“ไม่เป็นไรๆ มาช้าไปแค่ยี่สิบนาทีเองนี่”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ ผมขอโทษนะครับ”
“ซื่อสัตย์จริงๆ ว่าแต่เจอคนป่วยระหว่างทางงั้นเหรอ”
แจฮยอกกดเปิดคอมพิวเตอร์แล้วเสยผมไปด้านหลังเพราะมันติดตามใบหน้าชื้นเหงื่อ จากนั้นก็หันไปมองหัวหน้าทีมที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โต๊ะแล้วตอบคำถาม
“ครับ น่าจะเป็นโรคหัวใจหรืออะไรสักอย่าง เขากุมหน้าอกไว้ตลอดเลยครับ แล้วก็ขอร้องให้พาไปส่งบ้าน ผมก็เลยพาเขาไปส่งมาน่ะครับ”
“จริงเหรอ แล้วเขาโอเคหรือเปล่า นายไม่ได้โทรเรียกหนึ่งหนึ่งเก้า[1]ให้เขาหรือไง”
“อืม ไม่ได้โทรครับ พอถึงบ้านแล้วเขาก็อาการดีขึ้นน่ะครับ”
เขาอยากพูดเสริมอีกด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ไร้มารยาทแสนอวดดี ทว่าเมื่อคิดถึงคำกล่าวในอินเตอร์เน็ตว่าการใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นไม่ต่างอะไรกับการถมน้ำลายใส่หน้า จึงตัดสินใจไม่พูดส่วนนั้นออกไป
หลังจากหัวหน้าทีมเอาแบบฟอร์มที่จะต้องทำของวันนี้ รวมถึงงานที่ต้องป้อนข้อมูลทิ้งไว้ให้เขาแล้ว ก็เดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของตนเอง
แจฮยอกมองตามหัวหน้าทีมเดินหายไปทางฝั่งตรงข้ามชั่วครู่ ก่อนจะหันกับมามองหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วเริ่มต้นทำงาน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นงานป้อนข้อมูลและเรียบเรียงแบบไม่ซับซ้อนมากนัก ทว่าก็มีเอกสารราชการอยู่หลายใบ ดังนั้นแจฮยอกจึงตั้งใจใส่ใจกับการทำงานมากเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด
นี่เขาทำงานจนเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ
พอเหลือบมองนาฬิกาบนหน้าจอก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาสิบสองนาฬิกา ห้านาทีเข้าไปแล้ว และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าพนักงานทุกคนล้วนลุกออกไปทานข้าวกันหมดแล้ว
“ออกไปกันหมด… ไม่ยอมบอกกันเลยสินะ”
แต่หลังจากคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ประมาณสิบนาที ก็ต้องเปลี่ยนคำพูด
จากบรรดาพนักงานทั้งหมด ก็มีบางคนเดินเข้ามาหาเขาแล้วชวนไปทานข้าวแล้ว แต่เหมือนเขาจะตอบกลับไปว่า ‘เดี๋ยวไปครับ’ และเขาก็มักจะแยกตัวออกไปทานคนเดียวอยู่เสมอ แต่ทุกคนก็ยังแสดงมารยาทที่ดีด้วยการเข้ามาชวนไปทานข้าวด้วยกันตลอด
แจฮยอกลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายท่ามกลางออฟฟิศที่ไม่มีใครเลยสักคน
ที่เขาทำแบบนั้นไม่ใช่เพราะไม่อยากทานข้าวร่วมกับคนอื่น แต่แจฮยอกมักจะทานข้าวเที่ยงแบบง่ายๆ เป็นข้าวปั้นสามเหลี่ยม หรือคิมบับจากร้านสะดวกซื้อมากกว่า เหตุผลมันก็เหมือนเหตุผลที่เขาเดินมาทำงานแทนการขึ้นรถเมล์มานั่นแหละ
ข้าวปั้นสามเหลี่ยมราคาเจ็ดร้อยวอน ส่วนคิมบับราคาหนึ่งพันห้าร้อยวอน แต่ก็ได้คิมบับถึงสองแถวด้วยกัน ทว่าหากไปกินข้าวกับคนอื่นแล้วล่ะก็ อย่างน้อยเขาต้องจ่ายถึงหกพันวอนเลยทีเดียว ชีวิตเขาไม่สามารถสิ้นเปลืองกับข้าวกลางวันในราคาที่เอาไปซื้อข้าวปั้นสามเหลี่ยมได้ถึงแปดอันหรอก
“เออ วันนี้ก็ต้องออกไปด้วยนี่นา”
แล้วแจฮยอกก็นึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้ตัวเองมาสาย ก็เลยไม่มีเวลามาแวะร้านสะดวกซื้อ เขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาใส่มันลงไปในกระเป๋ากางเกงแล้วเดินออกมาจากออฟฟิศ
เมื่อลงลิฟต์มายังชั้นหนึ่ง ก็รีบเดินระหว่างวุ่นวายกับการดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือ จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรต้องรีบร้อนหรอก แต่เขาเองนี่แหละที่ทำให้ชีวิตตัวเองดูไม่มีเวลาว่างเลย
ทว่าในขณะนั้นร่างกายของเขาก็ชนเข้ากับอะไรสักอย่าง
“อ๊ะ!”
“โอ๊ะ! ขอโทษครับ”
ใครบางคนที่เดินชนกับแจฮยอกหงายหลังอย่างแรง เขาจึงรีบโค้งพร้อมกับกล่าวขอโทษด้วยความตื่นตกใจ
“เวลาเดินก็มองทางดี ๆ สิ เอาตาไปไว้ที่ไหนกัน… แม่งเอ๊ย”
“หื้อ เอ๊ะ? อ้าว!”
แจฮยอกหลุดอุทานออกมาถึงสามครั้ง
เสียงอุทานครั้งแรกเพราะรู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นฝ่ายชน เสียงอุทานครั้งที่สองเพราะตกใจคำพูดหยาบคาบที่อีกคนสบถออกมา ส่วนเสียงอุทานครั้งที่สามเป็นเพราะมันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเจอกับผู้ชายคนนี้
ชายหนุ่มตัวเบาเมื่อตอนเช้ากำลังขมวดคิ้วมุ่นพลางลูบก้นตัวเองปอย ๆ คล้ายเจ็บปวดจริงๆ
ในตอนนั้นเองแจฮยอกจึงได้เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างดี มันคือโทรศัพท์ที่กลิ้งไปอยู่ที่พื้นนั่นเอง ตัวเขาเองก็มัวเอาแต่แสร้งทำเป็นเดินพลางมองนาฬิกาในโทรศัพท์ ชายคนนี้เองก็ดูเหมือนจะเดินไปดูโทรศัพท์ไปด้วยเช่นกัน
“เจอกันอีกแล้วน้า ไอ้เวร”
“พูดว่าอะไรนะครับ ด่ากันตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ หมายความว่ายังไงครับ”
“ไม่ใช่”
“ถ้างั้นมันคืออะไรล่ะครับ”
แจฮยอกกลายเป็นผู้โชคร้ายก็จริง แต่เขาเป็นยื่นมือออกไปช่วย ยังไงมันก็เป็นเพราะอีกฝ่ายชนกับเขาถึงได้ล้มลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้ากับพื้นแบบนี้
คนตัวบางเผยรอยยิ้มออกมาพร้อมใช้มือทั้งสองของตัวเองจับมือแจฮยอกไว้แน่น
“ขอบใจนะ”
แม่ง พอเห็นชายหนุ่มหัวเราะคิกคัก แจฮยอกก็สบถออกมาอีกครั้ง
ถึงแม้เขาจะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นตัวซวย แต่อีกด้านกลับมองว่าน่ารักขึ้นมาโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว ดวงตาทรงอัลมอนด์ ช่วงหางตายกขึ้นเล็กน้อยเหมือนแมวไม่ผิดเพี้ยน ยิ่งกว่านั้น ยังรวมถึงริมฝีปากสีพีชมันวาวราวกับทาลิปกลอส บนผิวขาวแสนเรียบเนียนจนมองไม่เห็นรูขุมขนสักนิด
ทว่า ถึงจะคิดแบบนั้น แต่ยังไงฝ่ายตรงข้ามก็เป็นผู้ชาย แถมยังพ่นคำหยาบคายใส่กันตั้งหลายครั้งอีก เขาต้องเริ่มจัดการตัวเองก่อนไม่ให้ถล้ำลึกไป
“คุณจะด่าไปเรื่อยๆ เลยเหรอครับ อย่าทำแบบนั้นพร้อมรอยยิ้มโง่ ๆ เลย”
“ไม่ได้ด่าซะหน่อย”
“แล้วมันอะไรล่ะครับ”
“ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรนี่นา”
“อะไรนะครับ”
“ตอนนั้นคุยเรื่องเป็นลูกครึ่ง นายก็โกรธ งั้นเรียกนายลูกครึ่ง หรือนายหัวทองก็ไม่ได้ แล้วจะเรียกว่าคุณคนที่ช่วยเอาไว้เมื่อกี้ก็ยาวเกิน ไอ้เวร มันก็ดูชัดเจนดีออกไม่ใช่เหรอ”
“อะไรนะ นั่น…”
แจฮยอกถึงกับพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้ฟังเหตุผลแสนเหลวไหลไร้สาระ จนต้องพ่นลมหายใจยาว ส่วนอีกฝ่ายก็หัวเราะคิกคักแล้วเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
“แค่บอกชื่อมา ก็จะไม่เรียกว่าไอ้เวรแล้ว”
“ทำไมผมต้อง!”
“ถ้าไม่อยากบอกก็ได้ ไอ้เวร”
“…เฮ้อ โดแจฮยอกครับ”
แจฮยอกสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนจะยอมจำนน ถึงใบหน้าจะบิดเบี้ยวแสดงออกถึงความไม่พอใจก็เถอะ จากนั้นเขาก็หันไปมองนาฬิกาที่ลอบบี้ของอาคาร เผลอแป๊บเดียวก็เที่ยง สามสิบแปดนาทีแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเวลาแค่นี้มันไม่เพียงพอสำหรับการไปร้านสะดวกซื้อที่อยู่ถัดไปอีกสองตึก ทานข้าว กลับมาแปรงฟัน แล้วชงกาแฟมาดื่มสักแก้วเลย
แจฮยอกจ้องมองชายหนุ่มร่างบางไร้สาระตรงหน้าชั่วครู่ ก่อนจะหันไปมองทางเข้าตึก
“ชื่อของผม…”
“ช่างเถอะครับ คุณจะไปไหนก็ไปเถอะ”
แม้จะเป็นการพบกันโดยบังเอิญครั้งที่สองแล้ว แต่สำหรับแจฮยอก ข้าวปั้นสามเหลี่ยมสำคัญกว่าชื่อของอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงเมินคำแนะนำตัวแล้ววิ่งออกไปนอกตึก ถึงจะมีคำว่า ‘ไอ้เวร’ ลอยมากระทบจากด้านหลัง แต่แจฮยอกก็ไม่ได้หันกลับไปมองอีก
คราวนี้ชายหนุ่มตะโกนเน้นคำว่า ‘ไอ้’ หนักขึ้น และถึงจะขอให้แจฮยอกบอกชื่อให้รู้ ซึ่งเขาก็บอกไปแล้ว แต่ดูท่าก็ยังคงคิดจะเรียกเขาว่าไอ้เวรอยู่ดี ไม่แน่ว่ามันอาจจะทำให้เขาเตะความตั้งใจว่าจะไม่อดอาหารทิ้งไปก็ได้
แจฮยอกมาถึงร้านสะดวกซื้ออย่างรวดเร็ว เขาซื้อข้าวปั้นสามเหลี่ยมแบบราคาหนึ่งพันสองร้อยวอนมากินแทนอันราคาเจ็ดร้อยวอน เพื่อเป็นการทดแทนพลังงานที่เสียไปมากกว่าปกติของตัวเอง
หลังรีบยัดข้าวใส่ปากแล้วกลับไปที่ตึกอีกครั้ง แจฮยอกก็แวะล้างปากและแปรงฟันที่ห้องน้ำก่อน จากนั้นก็ไปชงกาแฟมาดื่ม
สิ่งนี้เป็นอะไรที่เขาพึงพอใจมากที่สุดในวันนี้แล้ว มันทั้งอบอุ่น หอมหวาน ที่สำคัญคือฟรีด้วย
แจฮยอกแอบเหลือบมองสายตาพนักงานคนอื่น ๆ เล็กน้อยก่อนจะหยิบกาแฟสองซองเก็บใส่กระเป๋าตัวเองเงียบ ๆ ถึงมันจะเป็นอะไรที่เขาทำอยู่ทุกวัน แต่ก็รู้สึกว่ามันทิ่มแทงจิตสำนึกตัวเขาเองอยู่ทุกครั้งเหมือนกัน หลังจากนั้นแจฮยอกก็เดินกลับไปที่โต๊ะแล้วเริ่มต้นทำงานอีกครั้ง
* * *
คอมเมนต์