เบบี้ซิตเตอร์…หลอกนายมาเป็นพี่เลี้ยง ตอนที่ 1-4
ตอนที่ 1-4 หากเราบังเอิญได้พบกันถึงสามครั้งภายในวันเดียว
“โดแจฮยอก รู้จักคำนี้ไหม ถ้าเจอกันถึงสามครั้งในวันเดียว ทั้งๆ ที่ไม่ได้นัดกันไว้แล้วล่ะก็…”
“จงฝากชีวิตไว้กับเขา เพราะหากเป็นฝ่ายเดียวกันแล้ว ในเวลาคับขันไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องตามหาและช่วยเหลือเรา แต่ถ้าหากเป็นศัตรูแล้ว ไม่ว่าเราจะไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน เขาก็ต้องตามหาจนเจอ”
“โอ้โห โดแจฮยอกก็อ่านดรากอน ราจา[1] ด้วยสินะ”
ชายหนุ่มตัวบางเรียกชื่อของแจฮยอกราวกับเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานานหลายปี และด้วยเหตุนี้จึงทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนจาก ‘ประหลาดใจ’ กลายเป็น ‘โกรธนิดๆ’ แล้ว
แจฮยอกจ้องมองคนที่ดูนิ่งเฉยเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับการเกือบจะถูกข่มขืนเมื่อสักครู่เขม็ง จากนั้นก็หลุดปากถามสิ่งที่สงสัยอยู่ในใจมาสักพัก
“ไม่ทราบว่าคุณเป็นบ้าหรือเปล่าครับ หรือเป็นผู้ป่วยทางจิต”
“ดูเป็นแบบนั้นเหรอ”
“ก็นิดนึงครับ ไม่สิ มากเลยล่ะ คุณบอกมาตรงๆ เถอะครับ เป็นบ้าใช่ไหม”
“ไม่นิ”
“จริงเหรอครับ”
“เคยเห็นคนบ้าบอกว่าตัวเองเป็นบ้าหรือไงกัน แล้วเคยเห็นคนไม่ได้บ้าบอกว่าตัวเองเป็นบ้าเหรอ”
อีกฝ่ายพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มร่าคล้ายหยอกเล่น แต่แจฮยอกก็คิดว่าอีกฝ่ายคงขำเพราะการแต่งตัวของเขาด้วย ก็เลยทิ้งร่างบางเอาไว้แล้วเดินไปร้านสะดวกซื้อตามความตั้งใจเดิมว่าจะไปซื้อไอศกรีมมากินสักอัน ให้คุณป้าแม่ครัวสองคน แล้วซื้อให้รุ่นพี่ยอมินด้วย
แจฮยอกหันหลังให้ชายหนุ่ม แต่พอเดินไปได้เพียงสองก้าวก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“โดแจฮยอกเป็นคนเลวสินะ”
“อะไรนะครับ”
แจฮยอกจึงหันหน้ากลับมามองอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็ยังคงแย้มยิ้มอย่างไม่เข้ากับสถานการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่อยู่เหมือนเดิม
และสิ่งนั้นมันทำให้ความประหลาดใจที่มีพังสูญไปจนหมด เขาหันหลังกลับ เดินย้อนไปหาคนๆ นั้นแล้วกระชากคอเสื้อขึ้นมาทันที
“มาเจอคุณถึงสามครั้งในวันเดียว แถมสองในสาม ผมยังเป็นคนช่วยเหลือคุณ แล้วก็อดทนไม่โมโหด้วย แต่คุณกลับบอกว่าผมเป็นคนเลวงั้นเหรอ”
“ไม่ใช่ตอนนั้น หมายถึงตอนนี้น่ะ เป็นคนเลว”
“ตอนนี้อะไรอีก!”
“ทิ้งคนที่เกือบโดนข่มขืนเอาไว้ แล้วเดินออกไปคนเดียวอย่างเย็นชา ทั้งๆ ที่ตรงนี้ก็มีคนแบบพวกนั้นเต็มไปหมดอะนะ ระหว่างทางกลับบ้านฉันอาจจะโดนไล่ตามมาแก้แค้นก็ได้ นั่นมันก็เป็นเรื่องที่โดแจฮยอกต้องรับผิดชอบไม่ใช่หรือไง”
“หื้อ…”
คำพูดของอีกฝ่ายเหมือนคนตกน้ำที่ขอร้องให้ช่วยห่มผ้าให้ตัวเองอีกสักสองผืน หลังจากเขาช่วยขึ้นมาจากน้ำแล้วยังไงยั้งงั้น และมันก็ทำให้แจฮยอกถึงกับพูดไม่ออก เพราะสิ่งที่ได้ยินก็ไม่มีตรงไหนผิดเลยสักนิดเดียว
ถึงจะดูเฉยชาไม่เป็นอะไร แต่ชายหนุ่มก็คือคนที่เกือบถูกข่มขืนมาเมื่อกี้ เป็นคนคนเดียวกัน
ยิ่งกว่านั้น เขาเองก็ยังไปต่อยหนึ่งในอันธพาลพวกนั้นมาอีกด้วย แม้พวกมันจะหนีไปแล้วก็จริง แต่อาจจะไปแอบรอดักอยู่ตามมุมถนนก็เป็นได้ พวกนั้นก็คงจะหาตนอย่างเต็มที่ การกลับบ้านโดยที่ยังมีความเสี่ยงว่าอาจจะโดนทำชั่วๆ แบบนั้นอีกรอบ มันก็ไม่ใช่เรื่องดีแน่
อีกฝ่ายขยับปากราวกับอ่านความคิดของแจฮยอกอยู่
“ที่ยังดูตัวสั่นดิ๊กๆ แบบนี้ก็เพราะว่าอายน่ะ”
“….ผมกำลังทำงานอยู่ พาไปตอนนี้เลยไม่ได้หรอกนะครับ แต่ถ้าคุณรอได้ เดี๋ยวผมไปส่ง”
ในที่สุดแจฮยอกก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ มันผิดที่สายตาของแจฮยอกสั้นสองร้อยทั้งสองข้าง เลยมองเห็นดวงตาที่หรี่ลงสั่นน้อยๆ รวมถึงการกัดริมฝีปากเบาๆ ของอีกคนพร่ามัวเล็กน้อย
จากปฏิกิริยาทั้งสองอย่างนี้ มันทำให้เขาคิดว่าความจริงแล้วคนตรงหน้าคงอยากจะร้องไห้มาตั้งแต่เมื่อสักครู่แล้ว
“ขอบใจนะ”
“…ช่างมันเถอะครับ”
คำขอบคุณที่ควรจะพูดตั้งแต่ตอนเช้า กลับได้ยินในเวลานี้
แจฮยอกจับมือคนวางท่าแล้วจูงเดินออกไป
“ไปร้านสะดวกซื้อนะครับ เดี๋ยวเสร็จแล้วก็กลับไปที่ทำงานของผมก่อน”
“โอเค”
ร่างบางตอบสั้นๆ พร้อมจับมือแจฮยอกเอาไว้แน่น เขาจึงคิดว่าอีกฝ่าย ‘ก็คงจะกลัวอยู่ไม่น้อย’ ทว่าสีหน้าของคนที่จับมือเขาไว้ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยสักนิดเดียว
ทันทีที่เข้ามาในร้านสะดวกซื้อ แจฮยอกก็ปล่อยอีกคนไว้ข้างๆ แล้วหันมาจ้องตู้ไอศกรีมด้วยความกังวล
เงินหมื่นวอนในมือกับการซื้อไอศกรีมทั้งหมดห้าอัน เนื่องจากเขาไม่สามารถซื้อให้ตัวเองคนเดียวได้ แถมยังต้องรวมของคนข้างตัวอีก แจฮยอกจึงพยายามเลือกไอศกรีมที่ตัวเองอยากกินและอยู่ในงบที่มีจำกัด
ทว่าชายหนุ่มกลับเดินไปยังโซนไอศกรีมราคาแพงแล้วหยิบมันขึ้นมาอันนึงโดยไม่ลังเล มันคือไอศกรีมที่มีราคาถึงแท่งละสี่พันวอน
และแน่นอนว่าแจฮยอกพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงงุนงงตามที่ตัวเองคิด
“เอ่อ ไม่ใช่อันนั้น กินอันอื่นนะครับ”
“ทำไมอะ”
“ก็เงินมันไม่พอ”
“เดี๋ยวฉันจ่ายเอง อย่ามัวจ้องตากับไอศกรีมเลย เลือกอันที่อยากกินเถอะ”
“ผมมีเงินที่ได้มาอยู่ครับ”
“ไม่อยากก็ไม่เป็นไร นายเคยลองกินอันนี้ไหม มันคือรสดาร์กช็อกโกแลต ปกติฉันก็ไม่กินหรอกนะ แต่ถ้าต้องกินอะไรสำเร็จรูปแบบนี้แล้วล่ะก็ มีแค่อันนี้แหละที่พอกินได้”
ชายหนุ่มส่งยิ้มทางสายตาเล็กน้อยก่อนจะเดินไปยังเคาน์เตอร์จ่ายเงิน แม้แจฮยอกจะรู้ว่าสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยของอีกฝ่ายคือความน่าหมั่นไส้ ทว่าเขาก็อยากรู้รสชาติของไอศกรีมอันนั้นเหมือนกัน
ต้องแบ่งเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวันไปจ่ายค่าเล่าเรียน รวมถึงเรื่องที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมาโน้มน้าวบีบบังคับให้ย้ายออกไปนั้น เขาเองก็ต้องเตรียมเงินเอาไว้เผื่อด้วย จนต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัดอดออมเหมือนคนขาดแคลน จึงติดการทำตัวแบบนั้นเป็นนิสัยไปแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่ปฏิเสธแล้วกันนะครับ”
“อืม อย่าปฏิเสธเลย อยากกินอะไรก็ซื้อไปให้หมด”
แจฮยอกย้อนถามว่ามันคือความบริสุทธิ์ใจจริงๆ ใช่ไหมถึงสองครั้ง เพราะตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้เขายังไม่เคยเห็นใครใจดีโดยไม่มีเหตุผลเลย เขาจึงปฏิเสธไม่รับไมตรีจิตที่อีกคนหยิบยื่นให้แบบไร้เหตุผลในตอนแรก ทว่าตอนนี้แจฮยอกก็ลดความระมัดระวังตัวลงเล็กน้อย
ถึงเขาจะไม่ใช่คนชอบลำเลิกบุญคุณเพราะช่วยใครสักคนเอาไว้ แต่ก็คิดว่า ‘เพราะเราช่วยเขาไว้ มันก็ไม่ใช่ไมตรีจิตที่ไร้เหตุผลสักหน่อย’ ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ระหว่างกำลังเลือกของกินเล่นให้ยอมินแล้วก็คุณป้าแม่ครัวอยู่ ชายหนุ่มร่างบางก็จ้องมองแจฮยอกและจุดรอยยิ้มยากจะเดาความหมายขึ้นมาบนริมฝีปาก
แจฮยอกถือตะกร้าใส่ของที่เต็มไปด้วยของกินเล่นมา จนพนักงานต้องเอาของทั้งหมดใส่ถุงพลาสติกที่ไซซ์ใหญ่สุดถึงสองถุงหลังจากคิดเงินเสร็จ
“ทั้งหมดสี่หมื่นหกพันเจ็ดร้อยแปดสิบวอนค่ะ”
คนรับอาสาจ่ายเงินหยิบธนบัตรห้าหมื่นวอนที่พับอยู่ในกระเป๋าออกมายื่นให้กับพนักงาน จากนั้นก็หันตัวกลับโดยไม่รอรับเงินทอนเลย พนักงานจึงเอ่ยเรียกพร้อมกับยื่นเงินจำนวนสามพันสองร้อยยี่สิบวอนให้
“คุณลูกค้าคะ คุณลืมเงินทอนนะคะ”
“เก็บไปเถอะ เศษๆ มันน่ารำคาญ”
“คะ?”
แล้วก็เดินออกจากร้านสะดวกซื้อไปเหมือนกำลังรำคาญจริงๆ ส่วนแจฮยอกยังคงยืนทำสีหน้าเหลือเชื่ออยู่ข้างในร้านกับพนักงานสาว ก่อนเขาจะยื่นมือที่ถือถุงสองใบไปรับเงินทอนจากเธอ แล้วเดินตามออกไป
เมื่อเห็นว่าแจฮยอกออกมาแล้ว อีกฝ่ายที่ยืนอยู่หน้าร้านก็เริ่มก้าวออกไปทันที
“บอกทางสิ”
“คุณไม่คิดเสียดายเงินหรือไงครับ”
“ต้องเสียดายด้วยเหรอ”
“ต้องสิครับ”
“ถ้างั้นไว้จะลองเสียดายดูนะ รีบนำทางไปได้แล้ว ฉันเหนื่อย”
ถึงแม้ว่าแจฮยอกจะรู้สึกได้ว่าตัวเองทำตามใจอีกคนอยู่ตลอด แต่มันก็น่าแปลกที่เขาหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย พอพูดคุยกัน เขาก็เผลอตามไปซะแล้ว
แต่อยู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งที่อยากซักถามขึ้นมาได้
มันคือเรื่องการพูดแบบเป็นกันเองแสนอวดดีที่อีกฝ่ายทำมาตลอดโดยไม่สนใจอายุของเขาด้วยซ้ำ
แจฮยอกจึงเอ่ยถามอีกฝ่ายเมื่อกำลังใกล้จะถึงหน้าร้าน
“นี่ ทำไมคุณถึงพูดแบบเป็นกันเองกับผมตลอดเลยล่ะครับ คุณดูเด็กกว่ามากเลยนะ”
“ขอบใจที่ชม”
“ไม่ใช่สิ ผมถามว่าทำไมถึงพูดแบบเป็นกันเอง”
“ถ้าไม่สบายใจ นายก็พูดด้วยสิ”
“เดี๋ยว ทำไมคุณออกนอกเรื่องอีกแล้วครับ”
“ไม่ได้ถามเพราะไม่พอใจหรอกเหรอ”
“ไอ้ไม่พอใจมันก็ใช่”
“นั่นแหละ เพราะงั้นมันก็จะช่วยคลายความไม่สบายใจได้ไง พูดแบบเป็นกันเองสิ ตามสบายเลย”
แจฮยอกหมดคำจะพูดอีกครั้ง เขากัดปากแน่นก่อนจะเดินนำเข้าร้านไป
เคยได้ยินคำชมมาตลอดว่าตัวเองมีความเป็นผู้ใหญ่อยู่เสมอ แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ข้างในของเขามันถึงได้ดื้อรั้นขนาดนี้ แจฮยอกถอนหายใจอีกครั้ง แล้วหันไปพูดกับยอมินที่กำลังเก็บร้านอยู่
“รุ่นพี่ ผมกลับมาแล้วครับ”
“ทำไมมาช้าจังล่ะ เอ๊ะ แล้วนั่นใคร ถ้าเป็นลูกค้า ตอนนี้ร้านเราปิดแล้วนะครับ”
“ไม่ใช่ลูกค้าหรอกครับ ผมเองก็อยากเล่าให้ฟังเหมือนกัน เอาเป็นว่าถ้าปิดร้านแล้วผมจะต้องไปส่งเขาที่บ้านน่ะครับ”
“งั้นเหรอ งั้นนายไปถูกพื้น แล้วก็กลับก่อนได้เลย”
“ขอบคุณนะครับ”
แจฮยอกวางเหล่าขนมของว่างเต็มไม้เต็มมือไว้บนบาร์ จากนั้นก็หยิบไอศกรีมออกมาแล้วอ้าปากงับมันไว้
ชายหนุ่มก็นั่งลงบนเก้าอี้หน้าบาร์ เอามือเท้าคางกินไอศกรีมไป มองแจฮยอกไปด้วย
โดแจฮยอกนี่มองด้านนี้ก็หล่อ มองด้านนั้นก็หล่อ
ริมฝีปากของแจฮยอกที่กัดไอศกรีมเหมือนเป็นแม่เหล็ก โดยมีสายตาของคนตัวบางเป็นแท่งเหล็กคอยขยับตามริมฝีปากไปตลอด ทั้งลิ้นที่เลียริมฝีปาก ทั้งปากที่กำลังค่อยๆ เคี้ยว ไม่สามารถละสายตาได้เลย ราวกับกำลังดูผลงานชิ้นเอก ซึ่งคงเสียใจหากพลาดไปสักช็อตนึง สายตาของชายหนุ่มยุ่งวุ่นวายอยู่แต่กับปากและนิ้วมือของแจฮยอก
กระทั่งไอศกรีมในมือตัวเองก็ไม่ได้อยู่ในสายตาเลยสักนิด ไอศกรีมที่กินไปเกือบครึ่งกำลังหลั่งน้ำตารสช็อกโกแลตลงบนมือ
“อา…”
เมื่อเห็นว่าแจฮยอกกำลังใช้ริมฝีปากรูดแท่งไอศกรีมอยู่ ก็ถอนใจออกมาสั้นๆ ยิ่งตอนอีกฝ่ายมัวแต่จัดการไอศกรีมที่ติดอยู่กับแท่งไม้ให้เกลี้ยงด้วยการเลียถึงสองครั้ง มันทำให้ชายหนุ่มถึงกับขมวดคิ้ววุ่นเหมือนภาพนั้นมันช่างไม่ถูกใจเอาเสียเลย
จากนั้นในเวลาต่อมา พวกเขาก็ประสานสายตากัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแจฮยอกรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้อง หรือแค่หันมามองเฉยๆ ทว่าแจฮยอกก็มองตรงมายังเจ้าตัวซวยตัวป่วนเลย
“อะ อะไร มองอะไร”
ราวกับภาพของซินเดอเรลล่าที่เผยให้เห็นหลังจากเลยเที่ยงคืนไปแล้วเท่านั้น คนน่าหมั่นไส้แสดงสีเขินอายพลางบ่นพึมพำ แถมยังหลบสายตาเขาอีก ไม่รู้ว่าอีกคนกำลังคิดอะไรอยู่ แก้มสองข้างถึงได้กลายเป็นสีชมพูแบบนั้น
ทว่าแจฮยอกกลับมองเห็นเพียงแค่ใบหน้าขวยเขิน ยังไม่ทันได้พิจารณาอะไร เนื่องจากมันมีบางอย่างดึงดูดสายตาเขาได้มากกว่าใบหน้าของอีกฝ่าย
ก็คือไอศกรีมที่ชายหนุ่มถือในมือ ตอนนี้มันเหมือนช่วงเส้นแบ่งของฤดูร้อนและฤดูใบไม้ผลิที่ก้าวเข้าไปใกล้ทางด้านฤดูร้อนมากกว่า และถึงแม้ว่าจะเป็นตอนกลางคืนที่อากาศค่อนข้างเย็นจนไอศกรีมสามารถอยู่ทนได้ แต่มันก็เริ่มทนไม่ไหวแล้วละลายลง ช็อกโกแลตที่ละลายหยดลงบนกางเกงของเจ้าตัว รวมถึงบนเคาน์เตอร์บาร์ด้วย
หยดแล้ว หยดเล่า จนท้ายที่สุดมันก็หยดลงพื้น
[1] Dragon Raja (드래곤 라자) หนึ่งในนิยายแฟนตาซีที่โด่งดังของเกาหลีใต้
คอมเมนต์