เบบี้ซิตเตอร์…หลอกนายมาเป็นพี่เลี้ยง ตอนที่ 1-6

Reader Settings

Size :
A-16A+

ตอนที่ 1-6 หากเราบังเอิญได้พบกันถึงสามครั้งภายในวันเดียว

อาจเป็นเพราะว่าเมื่อวานนอนดึก จึงส่งผลให้เขารู้สึกเหนื่อยอ่อนเป็นอย่างมากในวันนี้ ถึงแม้จะไม่ได้มาสาย แต่หนังตามันหนักแล้วก็มึนหัวไปหมด
“สวัสดีครับ”
แจฮยอกเอ่ยทักทายขณะเดินเข้ามาในออฟฟิศด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงกว่าปกติ แต่กลับไม่มีใครตอบเขาเลย ซึ่งมันต่างจากปกติมาก หรือเป็นเพราะว่าวันนี้เขาดูต่างจากที่เคยเป็นกันนะ
ระหว่างกำลังครุ่นคิด ก็มีพนักงานหญิงคนนึงวิ่งมาจากอีกฝั่งแล้วคว้าแขนเขาเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยทักทายกันเสียอีก
“รีบเข้าไปดูข้างในเถอะค่ะ”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือครับ”
“มีคนชื่อจีโซโฮมาหาค่ะ เขาบอกว่ามาหาคุณแจฮยอก คุณรู้จักไหมคะ”
“เฮอะ”
แจฮยอกแค่นเสียงหัวเราะออกมาอัตโนมัติ แน่นอนว่าเขาไม่ได้หัวเราะเพราะมันตลก แต่หัวเราะเพราะทำอะไรไม่ได้นอกจากหัวเราะต่างหาก ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน แต่ความไม่สบายใจมันค่อยๆ ตีตื้นขึ้นมา
หลังจากฟังสิ่งที่หญิงสาวพูด เขาจึงเคาะประตูห้องประชุมที่จีโซโฮหายตัวเข้าไป
“ครับ กำลังใช้ห้องอยู่ครับ”
“ผมโดแจฮยอกครับ มาทำงานแล้วครับ”
“อ๋อ เข้ามาสิ”
แจฮยอกเปิดประตูห้องประชุมอย่างระมัดระวังแล้วเดินเข้าไปข้างใน และทันทีที่ก้าวเข้าไปก็ต้องหยุดหายใจ
จีโซโฮในเสื้อเชิ้ตลายขาวดำน่าเวียนหัวนั่งอยู่บนเก้าอี้ ชายหนุ่มตัวซวยของเมื่อวานกำลังนั่งอยู่ตรงนั้นจริงๆ
และไม่ใช่เพียงเท่านั้น อีกคนยังนั่งพิงพนักสบายๆ พร้อมวางแขนข้างหนึ่งบนที่วางแขน ราวกับนี่คือบริษัทของตัวเองอีกต่างหาก
หัวหน้าทีมขมวดคิ้ววุ่นเมื่อเห็นหน้าแจฮยอก
“หัวหน้าทีม เดี๋ยวผมพาเขาออกไปเองครับ”
“ไม่ๆ แจฮยอก มานั่งนี่เร็ว”
“ครับ”
แจฮยอกจึงเดินไปนั่งตรงข้ามกับโซโฮที่อยู่ทางด้านขวามือของหัวหน้าทีมอย่างลังเลใจ เมื่อโซโฮเห็นแจฮยอกก็ยกมุมปากขึ้นทันทีพร้อมส่งยิ้มทางสายตาออกมาในเวลาเดียวกัน ทว่าเขากลับแสดงท่าทางจงเกลียดจงชังออกมาอย่างชัดเจน ก่อนจะมองไปทางหัวหน้าทีมแทน
หัวหน้าทีมหันมองโซโฮที แจฮยอกที พร้อมกับกำลังคิดว่า ‘เรื่องนี้จะต้องจัดการกันอย่างไรดี’ อยู่สักพัก
วันนี้ตอนเวลาเก้านาฬิกา สิบนาที
หลังจากหัวหน้าทีมเข้างานได้ประมาณสิบห้านาทีก็มีพนักงานคนหนึ่งเข้ามาแจ้งว่ามีคนมาติดต่อขอพบ
โดยที่คนๆ นั้นคือ ‘จีโซโฮ’ แต่นั่นเป็นชื่อที่หัวหน้าทีมก็เพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
ชายหนุ่มหน้าสวยรูปร่างผอมบางนั่งรออยู่ในห้องประชุม อีกฝ่ายแนะนำตัวว่าชื่อจีโซโฮ พลางยื่นมือออกมารอทำความรู้จัก
เมื่อจับมือกันเรียบร้อยแล้ว จีโซโฮก็นั่งลงบนเก้าอี้แล้วพูดให้ปลดแจฮยอกออกจากงานอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หัวหน้าทีมประหลาดใจเป็นอย่างมาก และเอ่ยกับอีกคนว่าให้หยุดทำแบบนี้ ทว่าโซโฮกลับมีการ์ดหนึ่งใบที่ทำให้ใครๆ ก็ไม่สามารถไล่ตัวเองออกไปได้
สุดท้ายหัวหน้าทีมก็ทำได้แค่นั่งฟังชายหนุ่มขอร้องให้ไล่แจฮยอกออกด้วยความงุนงง มันเหมือนเป็นการทดสอบความอดทนของเขาไปด้วยในเวลาเดียวกัน
‘ถ้าจะให้ปลดพนักงานออกกะทันหัน ก็ต้องแบ่งงานไปให้พนักงานคนอื่นจนกว่าจะหาพนักงานใหม่ได้ แล้วกว่าจะสอนงานเสร็จ คุณไม่รู้ส่วนนี้เหรอ’
‘นั่นไม่ใช่เรื่องของผม’
ทั้งๆ ที่ไม่สามารถไล่โซโฮออกไปได้ แต่หัวหน้าทีมก็เกือบจะตะโกนให้ออกไปเดี๋ยวนี้เสียแล้ว และจังหวะนั้นแจฮยอกก็เคาะประตูขึ้นพอดี
“หัวหน้าทีมครับ”
ถึงคนอาวุโสที่สุกในนี้จะมองแจฮยอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่…
“แจฮยอก ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ไม่ต้องมาทำงานแล้วนะ”
“….อะไรนะครับ”
แจฮยอกถามอีกครั้งอย่างสับสน มันยังไม่ถึงหกเดือนเลย เพิ่งจะผ่านมาแค่สองเดือนเท่านั้น จึงเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายของเขามาก
“พอใจแล้วหรือยัง ผมจะได้ไปส่งคุณกลับ”
แต่หัวหน้าทีมไม่ได้ตอบคำถามของแจฮยอก อีกฝ่ายหันไปพูดกับโซโฮที่เอาแต่ยิ้มอยู่เงียบๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้
โซโฮยิ้มพร้อมกับลุกตาม ก่อนจะผงกหน้าให้กับหัวหน้าทีมแค่นิดเดียวและกล่าวอำลาอย่างอวดดี
หัวหน้าทีมเองก็โค้งให้เล็กน้อย แล้วพูดขณะจับประตูห้องประชุม
“เดี๋ยวจะคิดเงินเดือนให้จนถึงวันนี้ เพราะงั้นนายไปกับคุณจีโซโฮเถอะ”
“หัวหน้าทีมครับ!”
แจฮยอกเอ่ยเรียกเพราะยังคงงุนงง ทว่าหัวหน้าทีมก็ถูกจีโซโฮก่อกวนมาเป็นเวลาเกือบๆ ชั่วโมงแล้ว จึงทำได้เพียงปล่อยแจฮยอกไปอย่างน่าสงสารเท่านั้น และทำท่าเดินออกไปจากห้องประชุมโดยไม่หันมาสบตาแจฮยอกเลย
โซโฮหัวเราะคิกคักแล้วเอ่ยขึ้น
“เดี๋ยวผมจะเขียนเบอร์ทิ้งไว้ให้นะครับ หัวหน้าทีมช่วยส่งข้อความมาให้ผมด้วย”
“คุณมาที่นี่ทำไม”
แจฮยอกพูดเสียงแข็งออกมาทันทีหลังสิ้นเสียงโซโฮ แต่คนตัวบางก็ยังคงยิ้มให้กับน้ำเสียงแบบนั้น
ด้วยเหตุนี้ เขาเลยยิ่งอารมณ์เสียไปอีกเท่าตัว
ถึงจะพูดแบบไหน แต่โซโฮก็ยังพูดด้วยเสียงแสนอารมณ์ดีเพราะทำตามความตั้งใจของตัวเองได้สำเร็จ
“ไปกันเถอะ”
“…ว่าไงนะ!”
“ชู่! รักษามารยาทหน่อยสิ ตะโกนออกมาแบบนี้มันรบกวนคนอื่นนะ”
โซโฮพูดเบาๆ และประโยคก็ทำให้แจฮยอกดูกลายเป็นคนไร้มารยาทขึ้นมาทันที วันนี้มันคงจะเป็นวันที่มีโชคชะตาแสนเลวร้ายต่อเนื่องจากเมื่อวาน
แจฮยอกมองคนที่เข้ามาใกล้กันตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้จนคว้าแขนเขาลากไปด้วยสายตาประหลาดใจ ก่อนจะสะบัดมืออีกฝ่ายออก
“คุณคุยอะไรกับหัวหน้าทีมครับ”
“ออกไปก่อน ฉันบอกให้ออกไปไง”
“ผมจะไม่ไปไหนจนกว่าคุณจะบอกครับ ไม่งั้นก็เชิญคุณออกไปคนเดียว”
แจฮยอกคิดว่าโซโฮคงอยากจะผูกตัวเองติดกับเขา แต่สำหรับเขาแล้ว เขาไม่รู้เลยว่ามันสถานการณ์นี้มันเกิดขึ้นเพราะอะไร และเขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองได้กลับไปทำงาน
แต่เจ้าเฮงซวยคนนี้ก็แสนจะฉลาด โซโฮยิ้มขึ้นมาพร้อมหันหลังให้แจฮยอก
“ได้ งั้นโดแจฮยอกก็ยืนอยู่ตรงนี้แล้วกัน เดี๋ยวฉันจะไปคุยกับหัวหน้าทีมอีกสักรอบ…”
“จะออกก็ออกสิครับ ออกไป”
“มันต้องแบบนี้สิ”
ในวันนี้แจฮยอกก็เป็นผู้พ่ายแพ้อีกครั้งต่อเนื่องจากเมื่อวาน
เขารู้สึกหดหู่เสียจนอยากจะขุดหลุมแล้วลงไปนอน เมื่อเทียบความยากง่ายของงานบริษัทนี้กับเงินที่ได้แล้วมันก็โอเคดี แถมไม่ต้องพบเจอกับผู้คน และกาแฟฟรีของที่นี่ก็อร่อยด้วย
ทว่าอยู่ดีๆ ก็โดนไล่ออกทั้งๆ ที่ไม่มีเหตุผล มันจะมีเรื่องไหนน่าหดหู่ใจมากกว่านี้อีกไหม
แจฮยอกถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วก้าวเท้าหนักๆ ตามหลังอีกฝ่ายไป เขาเดินตามเข้าไปในลิฟต์ แต่ก็ไม่ได้สังเกตว่าโซโฮกดชั้นอะไร
ผ่านไปสักพักประตูลิตฟ์ก็เปิดออกพร้อมเสียงติ๊ง แจฮยอกยังคงเอาแต่มองพื้นแล้วเดินตามหลัง แต่ขณะนั้นคนตรงหน้ากลับหยุดฝีเท้า จนเขาเองก็ต้องหยุดเดินเช่นกัน
“จะยืนอยู่แบบนั้นจนถึงเมื่อไหร่ ขึ้นมาสิ”
“อะไรนะ อ๋อ…”
แจฮยอกเกือบจะพยักหน้ารับ เขาเห็นรถยนต์คันหนึ่งตรงหน้า ซึ่งดูเหมือนอีกไม่นานมันจะกลายร่างเป็นบัมเบิลบี[1] รวมถึงได้ยินเจ้ารถยนต์คันนั้นส่งเสียงปิ๊กป่อก โดยมีโซโฮนั่งประจำอยู่ในตำแหน่งคนขับ
ร่างบางสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมลดกระจกลงมา
“ไม่ขึ้นเหรอ”
“ไม่ครับ”
“ถ้าขึ้น ก็ว่าจะบอกเหตุผลสักหน่อย แถมเลี้ยงข้าวด้วย”
“…แค่เหตุผลก็พอ ฟังเสร็จแล้วผมจะลงครับ”
“เอางั้นก็ได้”
ยิ่งกว่าการบอกเหตุผล คำว่า ‘เลี้ยงข้าว’ ก็ทำให้แจฮยอกพยายามต่อต้านนิสัยเดิมของตนเองแล้วก้าวขึ้นรถไป
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่เขาก็รู้สึกว่าตัวเองช่างยากจนเหลือเกิน อุตส่าห์คุ้นเคยกับข้าวกลางวันง่ายๆ อย่างข้าวปั้นสามเหลี่ยมกับบะหมี่ถ้วยมาสักพักแล้วแท้ๆ
แจฮยอกเข้าใจความรู้สึกของนายพลที่ต้องไปคุกเข่าต่อหน้าศัตรูเลย คำว่าเสียศักดิ์ศรียังไม่สามารถแสดงความรู้สึกนี้ออกมาได้หมดด้วยซ้ำ ยิ่งกว่านั้นหัวหน้าศัตรูคนนั้นก็กำลังอมยิ้มเหมือนมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นยิ่งกว่าเมื่อวานเสียอีก
‘ตอนยิ้มยิ่งน่ารักขึ้นไปอีก’
เขายกกำปั้นชกหัวตัวเองทันที เมื่อเผลอหลุดคำชื่นชมออกมา
พอเห็นท่าทางแบบนั้นของแจฮยอก โซโฮก็เลยพูดทันที
“นี่ ต่อยตัวเองแบบนั้นเขาเรียกว่าคนบ้านะ ถึงจะชีวิตนายจะฝากไว้กับฉันแล้ว แต่ฉันก็ไม่รับผิดชอบร่างกายนายหรอกนะ”
“…มันไม่ใช่แบบนั้นครับ”
“ไม่ก็ไม่ ฉันจะออกรถแล้วนะ”
“จะไปที่ไหนครับ ผมแค่จะฟังคุณบอกเหตุผล แล้วก็จะลงนี่”
“ไปเลี้ยงข้าวกลางวันไง”
คำตอบของโซโฮทำให้เขาปิดปากเงียบ อีกฝ่ายจึงหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะออกรถ
แจฮยอกรู้สึกถึงความพ่ายแพ้มากขึ้นต่อเนื่องจากเมื่อวานอีกครั้งเพราะการโต้แย้ง
ต้องปิดปากเงียบอยู่เฉยๆ สินะ
แต่ทันทีที่รถยนต์พุ่งทะยานออกไปจากลานจอดรถ แจฮยอกก็ลืมทุกอย่างที่คิดเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น
“เฮ้ย! ไอ้บ้านี่!”
เขาตะคอกเสียงดังพร้อมกับรีบคาดเข็มขัดนิรภัย จากนั้นก็คว้าที่จับด้านบนของประตูเอาไว้
แม้บนถนนนี้จะยังมีรถยนต์คันอื่นอยู่ แต่จีโซโฮก็ยังคงเร่งความเร็วขึ้นอย่างไม่ลดละ เขาเปลี่ยนเลนอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการลดความเร็วเลยแม้แต่น้อย
หากมีรถขวางอยู่ด้านหน้าก็ขับแซง และหากไม่มีรถก็ยิ่งเร่งเครื่องขึ้นไปอีก
ไม่มีการขับรถไหน ดุเดือดเท่านี้อีกแล้ว
ในที่สุดแจฮยอกก็พูดคำอื่นนอกจากคำด่าออกมาในระหว่างช่วงแปดนาทีนรกนี้
“จอดรถ! แม่งเอ๊ย! บอกให้จอดไง!”
“ทำไมล่ะ”
“รีบจอดซะ! ยังไงก็เถอะ จอดได้แล้ว!”
“มันทำไมกันเล่า”
โซโฮเลยค่อยๆ ลดความเร็วลงแล้วจอดตรงริมทางเท้าอย่างแรง พร้อมกับกดเปิดไฟฉุกเฉิน ทันทีที่รถยนต์หยุดนิ่ง แจฮยอกก็หันไปจ้องอีกฝ่ายเขม็งแล้วสั่ง
“ลงไปซะ”
“หื้อ?”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ลงไปซะ!”
โซโฮรู้สึกว่าแจฮยอกในตอนนี้แตกต่างกับก่อนหน้านี้อยู่เล็กน้อย ดูเหมือนคงจะโกรธเข้าจริงๆ แล้ว
แต่ก็ไม่เข้าใจว่าอีกคนโกรธเพราะอะไร เนื่องจากเมื่อวานมันไม่เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ วันนี้โซโฮเลยตั้งใจมาแสดงให้แจฮยอกเห็นถึงเสน่ห์ที่ว่า ‘ฉันเป็นผู้ชายที่มีรถของตัวเอง แถมยังขับรถเป็นอีกด้วย’ เท่านั้น แต่ว่าแจฮยอกกลับโกรธ ‘อย่างจริงจัง’ ขึ้นมาเสียได้
โซโฮเบ้ปากแล้วก้าวลงจากรถไป แจฮยอกเองก็ลงจากรถด้วยเหมือนกัน จากนั้นก็เดินเข้ามาหาโซโฮทันที
“ไปนั่งข้างคนขับ”
“มีใบขับขี่หรือไง”
แจฮยอกขึ้นไปนั่งเบาะคนขับแทนคำตอบ ส่วนเจ้าของรถตัวจริงก็ขึ้นไปนั่งเบาะข้างคนขับอย่างสงบเสงี่ยม เขาหันไปเช็กว่าคนตัวบางคาดเข็มขัดนิรภัยแล้วหรือยัง ก่อนจะขับรถออกไป
“ขับไปตามจีพีเอสนะ”
“อืม”
จีพีเอสในรถยนต์ของโซโฮนำทางกลับไปบ้านเขานั่นเอง แจฮยอกขับรถพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“ถ้าจะตาย นายก็ไปตายคนเดียว”
“หา?”
“ขับรถแบบนั้น ถ้าไปชนใครคนอื่นเข้าจะทำยังไง คนขับรถดีๆ คนอื่นเขาควรต้องเจอเรื่องแบบนี้เหรอ”
แจฮยอกโกรธมากจนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพูดไม่มีหางเสียงกับอีกฝ่ายอยู่ แน่นอนว่าคนฟังอย่างโซโฮรู้ตัวเป็นอย่างดี แถมยังหน้าแดงแล้วก็ยิ้มหวานออกมากับการโดนต่อว่าอย่างรุนแรงอีก
ช่างโชคดีเหลือเกินที่แจฮยอกเอาแต่สนใจเส้นทางด้านหน้าจนไม่ได้หันมามองข้างๆ หากเขาเห็นโซโฮยิ้มเพราะคิดว่าการขับรถเร็วๆ แบบนี้มันก็มีข้อดีอยู่ล่ะก็ คงจะอกแตกตายแน่ๆ
ระหว่างที่โซโฮกำลังชื่นชมอีกคนอยู่นั้น แจฮยอกก็จอดรถภายในลานจอดรถของคอนโดที่โซโฮอาศัยอยู่อย่างนิ่มนวล
เขาจอดรถไว้ในที่จอดรถพิเศษสำหรับผู้พักอาศัยในชั้นรอยัลแล้วดับเครื่องลง จากนั้นถึงหันมามองโซโฮ
“คุณไปพูดอะไรกับหัวหน้าทีมครับ”
อาจเป็นเพราะความโกรธลดลงแล้ว คำพูดสุภาพเป็นทางการจึงออกมาจากปากแจฮยอกอีกครั้ง โซโฮเลยเดาะลิ้นคล้ายเสียดายพร้อมจ้องแจฮยอกแล้วตอบว่า
“ก็บอกเขาไปว่า ฉันจะจ่ายค่าเสียหายให้กับการที่บริษัทสูญเสียโดแจฮยอกไป”
“หมายความว่ายังไงกัน”
“ก็การขาดทุนที่เกิดขึ้นในช่วงที่ไม่มีโดแจฮยอก ฉันจะเป็นจ่ายให้เอง เลยขอให้เขาไล่นายออก”
“เฮ้ออ… ทำไมคุณถึงได้มาตัดสินใจเกี่ยวกับงานของผมตามใจชอบแบบนี้ครับ”
“…ก็มันมีงานที่ดีกว่านี้อยู่ไง ฉันจะแนะนำให้นายเอง ทั้งเงินเดือนสูง งานก็ไม่ยาก น่าทำจะตาย มีอาหารฟรีให้อยู่แล้ว แล้วถ้าอยากได้ที่พัก ก็มีให้ด้วยนะ”
“ในโลกนี้จะมีงานแบบนี้ที่ไหนกันครับ คิดว่าจะมีใครยอมให้นอนกินเงินง่ายๆ เหรอ”
“มีสิ”
“มันเป็นงานอะไรกันแน่ครับ”
“เบบี้ซิตเตอร์”
“ล้อกันเล่นเหรอ”
โซโฮยิ้มพร้อมกับเอ่ยขึ้นมา ส่วนแจฮยอกก็มองอีกคนด้วยใบหน้าตกตะลึง และเผลอพูดย้อนด้วยน้ำเสียงอันหงุดหงิดโดยไม่รู้ตัว
งานพี่เลี้ยงเด็ก มันเป็นอะไรที่เขารู้สึกว่าน่ารำคาญมาก ถึงแม้จะต้องดูแลตัวเองมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่สิ พี่เลี้ยงเด็กมันไม่ใช่งานง่ายๆ อยู่แล้ว ต้องใช้พวกผู้หญิงสูงวัยที่มีความอดทนสูงสิ จะมาฝากเด็กเล็กๆ ไว้กับผู้ชายตัวใหญ่อย่างเขาน่ะเหรอ
ทว่าโซโฮกลับเปิดประตูรถออกไปแล้วพูดว่า
“ฉันยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย ส่วนที่เหลือ เราค่อยเข้าไปคุยกันข้างในดีไหม”

[1] บัมเบิลบี หุ่นยนต์จากภาพยนตร์เรื่องทรานส์ฟอร์มเมอร์ส

คอมเมนต์

Chapter List