เบบี้ซิตเตอร์…หลอกนายมาเป็นพี่เลี้ยง ตอนที่ 2-1

Reader Settings

Size :
A-16A+

ตอนที่ 2-1 แครอทและแส้ม้า คือกฎที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

แจฮยอกลงจากรถแล้วเดินตามโซโฮไป ทว่าระหว่างเดินอยู่นั้น จิตใจของเขากลับไปอยู่ที่อื่น
เงินที่จะได้รับจากการทำงาน เงินของเดือนหน้าที่ไม่พอใช้ แม้ว่าจะหางานพาร์ทไทม์ทำก็ยังคงไม่เพียงพอต่อการใช้จ่าย เขามัวแต่คิดถึงอะไรพวกนี้จนหัวสมองไม่เหลือพื้นที่ว่างให้คิดเรื่องอื่น
‘ทั้งเงินเดือนสูง งานก็ไม่ยาก น่าทำจะตาย มีอาหารฟรีให้อยู่แล้ว แล้วถ้าอยากได้ที่พัก ก็มีให้ด้วยนะ’
คำพูดของโซโฮเมื่อสักครู่ลอยขึ้นมาอีกครั้ง แจฮยอกหน้านิ่วคิ้วขมวดจ้องแผ่นหลังคนตรงหน้าเขม็ง ตัวการที่ทำให้เขาต้องมาเครียดแล้วก็กังวลแบบนี้
ทว่าในสมองอันแสนวุ่นวายก็มีความคิดอื่นแอบซ่อนอยู่ ก็คือ ‘งานพี่เลี้ยงเด็ก’ ที่อีกฝ่ายเป็นคนแนะนำให้มันน่าจะพอทดแทนกับ ‘งานพาร์ทไทม์ที่เขาเพิ่งโดนไล่ออก’ ได้
เมื่อเทียบกับงานอื่นๆ ที่ต้องใช้แรงแล้ว งานเขียนเอกสารราชการและกรอกเอกสารของบริษัทที่ไล่เขาออกมานั้น ให้ค่าตอบแทนสูงกว่ามาก แต่แจฮยอกไม่รู้เลยว่างานพี่เลี้ยงเด็กนี้ จะต้องใช้แรงใช้พลังในระดับไหน เมื่อเทียบกับค่าแรงแล้วมันมากพอหรือไม่ ต่างจากงานพาร์ทไทม์ที่เขาโดนไล่ออกมากน้อยแค่ไหน เขาคิดถึงแต่เรื่องพวกนี้จนไม่รู้ตัวเลยว่าโซโฮหยุดเดินแล้วหันมามองตัวเขา
“โอ๊ย!”
ดังนั้นแจฮยอกจึงชนเข้ากับโซโฮอย่างจัง คนตัวบางถึงกับเสียศูนย์พร้อมส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
เขาเองก็ตกใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะตั้งสติคว้าแขนโซโฮเอาไว้แล้วดึงเข้ามาหาตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นตัวซวย หรือคนเลวที่ทำให้เขาถูกไล่ออก แต่ความคิดว่าจะปล่อยให้อีกคนล้มก้นจ้ำเบ้า มันไม่อยู่ในหัวของแจฮยอกเลย เพราะสำหรับเขา การช่วยเหลือคนอื่นมันเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างแน่นอนอยู่แล้ว
และเพื่อให้โซโฮสามารถกลับมาทรงตัวได้ด้วยตัวเอง แจฮยอกเลยโอบแขนเข้าที่เอวอีกคนแล้วช่วยประคอง
“จะหยุดเดินแบบนี้ทำไมกันเล่า!”
คำว่ากล่าวของแจฮยอกหลั่งไหลเข้าหู ทว่าโซโฮกลับไม่พูดอะไรออกมาทั้งนั้น พลางแนบหน้าตัวเองลงไปบนหน้าอกแจฮยอก ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงตอนโดนโกรธก่อนหน้านี้
โซโฮร้องครางเหมือนตกอกตกใจ แล้วถูหน้าตัวเองลงบนหน้าอกแจฮยอกเบาๆ เขาต้องหักห้ามใจไม่ให้ทิ้งรอยคิสมาร์กเอาไว้ ถ้าแจฮยอกได้ยินความคิดร่างบางตอนนี้ สาบานได้เลยว่าต้องตกใจกลัวแน่ๆ
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ”
“…อืม แต่ว่าฉันมึนๆ น่ะ โดแจฮยอก”
“คุณว่ายังไงนะครับ”
โซโฮรีบหันตัวกลับแล้วเดินเข้าประตูของคอนโดเพื่อซ่อนใบหน้าเห่อร้อน แจฮยอกจึงได้เดินตามเข้ามา หลังจากกดปุ่มลิฟต์แล้ว ร่างบางวางสายตาไปที่อื่นอย่างเป็นธรรมชาติแล้วเอ่ยว่า
“จะพูดแบบเป็นทางการ หรือจะพูดแบบเป็นกันเอง ก็เลือกสักอย่างสิ”
“ผมก็พูดแบบเป็นทางการอยู่นะครับ”
“อ๋อเหรอ แล้ว ‘จะหยุดเดินแบบนี้ทำไมกันเล่า’ ใครเป็นคนพูดอะ มนุษย์ล่องหนเหรอ”
“….นั่นมันพูดเพราะตกใจต่างหาก”
“งั้นตอนนี้ก็ตกใจด้วยสินะ”
แจฮยอกเกือบจะตอบกลับอีกคนด้วยคำด่าแล้ว สมกับเป็นคนไร้มารยาทแสนเฮงซวยจริงๆ
แต่เพราะรู้ดีว่าไม่ว่าตนจะตอบโต้ไปอย่างไรก็ไม่มีทางชนะ เขาจึงกลืนคำด่าทั้งหลายแล้วหันไปจ้องลิฟต์ภายในตัวอาคารที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหราวาววับแทนการตอบคำถาม และเป็นจังหวะเดียวกับประตูลิฟต์เปิดออกพอดี
“เพราะงั้นก็เลือกแค่แบบเดียว โดแจฮยอก ฉันชอบแบบเป็นกันเองมากกว่านะ เอาไว้ให้นายประกอบการตัดสินใจ เพราะฉันเองก็สบายใจกับอะไรแบบนั้น”
“…เข้าใจแล้ว”
คำตอบสั้นๆ จากแจฮยอกทำให้โซโฮยิ้มหวานพร้อมกับสายตาเหมือนลูกแมวเห็นกระป๋องอาหารว่าง เขารู้สึกอึดอัดกับสายตาแบบนี้เป็นอย่างมาก เลยแหงนหน้ามองเพดานอย่างสุดชีวิตเพื่อหลบจากสายตาอีกคน
ทว่าโซโฮกลับชอบอะไรแบบนี้มาก ช่วงลำคอสมชายชาตรี ลูกกระเดือกโป่งนูนออกมาอย่างพอเหมาะ มันช่างเซ็กซี่จนทำให้ใจสั่น แถมเจ้าตัวก็ยังไม่รู้ตัวอีก โอกาสได้ชื่นชมให้เต็มที่แบบนี้ก็ไม่ได้มีมาบ่อยๆ นี่นา
เมื่อถึงชั้นที่เป็นจุดหมาย เสียงแจ้งเตือนจากลิฟต์ก็ดังขึ้น
โซโฮแกล้งทำสีหน้าเฉยชาไม่รู้ไม่ชี้พร้อมต่อยแขนอีกฝ่ายดังตุ้บ แล้วหมุนตัวเดินออกจากลิฟต์ไปก่อน
แจฮยอกเดินตามหลังเหมือนเดิม โซโฮกดรหัสเปิดประตูโดยไม่สนใจว่าอีกคนจะมองมันหรือไม่ แล้วเดินเข้าไปข้างในเมื่อประตูเปิดออก หลังจากนั้นเก็พูดออกมาเองโดยที่ยังไม่มีใครถาม
“รหัสประตูคือวันเกิดของฉัน”
แล้วบอกทำไม…
ทว่าแจฮยอกก็ไม่ได้ตอบโต้และทำเพียงแค่เดินตามหลังเข้าไปเท่านั้น ทันทีที่แจฮยอกก้าวเท้าเข้ามาในบ้านโซโฮก็ถึงกับหลุดอุทานเสียงต่ำออกมาอัตโนมัติ
แต่ทั้งหมดนี้มันไม่ใช่เพราะห้องนั่งเล่นที่กว้างพอๆ กับเสียงอุทานของเขา บันไดที่แบ่งส่วนระหว่างห้องนั่งเล่นและห้องครัว โทรทัศน์แสนใหญ่โตมโหฬาร หรือโซฟาไม้ที่ควรจะพบในบ้านของท่านประธานบริษัทอาวุโส แต่กลับเป็นกลิ่นแสนยั่วน้ำลายที่ลอยฟุ้งอยู่เต็มบ้านไปหมด
ทันทีที่โซโฮเดินเข้ามาในบ้าน ชายหนุ่มสองคนในชุดพ่อครัว มีแม้กระทั่งหมวกก็ออกมาโค้งต้อนรับเบาๆ พร้อมพูดว่า
“กลับมาแล้วเหรอครับ คุณชาย”
“อื้ม เรียบแล้วหมดแล้วใช่ไหม”
“ครับ เรียบร้อยหมดแล้วครับ”
“เหรอ งั้นก็ไปได้แล้ว”
“ครับ ขอให้มีช่วงเวลาที่ดีนะครับ”
“อืม”
เหล่าพ่อครัวก็โค้งและกล่าวคำอำลา ก่อนจะแยกย้ายไปเก็บสัมภาระของตนเพื่อออกจากบ้านโซโฮไป
และเมื่อเห็นอีกฝ่ายพูดแบบเป็นกันเองกับเหล่าพ่อครัวที่ดูยังไงก็น่าจะอายุเยอะกว่าค่อนข้างมาก ยิ่งทำให้แจฮยอกมองโซโฮแย่ขึ้นไปอีก
“ถึงมันจะเย็นชืดไปหน่อยก็เถอะ แต่ฉันก็สั่งให้เตรียมอะไรที่พอกินได้เอาไว้”
โซโฮพูดขณะก้าวไปทางโต๊ะอาหารแบบโบราณที่ตั้งอยู่ข้างๆ หน้าต่างบริเวณหน้าห้องครัว แจฮยอกเดินตามอีกคนไปทั้งที่ยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
เขานั่งลงตรงข้ามกันกับหนุ่มเศรษฐีผู้ทำลายความโชคดีของเขาไป แต่พอนึกถึงของกินแล้วจิตใจของเขามันก็ปั่นป่วนไปเสียหมด เพราะกระเพาะมันมีปฏิกิริยากับกลิ่นแสนหอมอร่อยตามสันชาตญาณ
บนโต๊ะอาหารขนาดหกคนมีอาหารมากมายหลากหลายชนิดวางอยู่ รวมถึงมีจานวางอยู่ฝั่งละสองใบทั้งสองด้าน จานใบหนึ่งว่างเปล่า ส่วนจานอีกใบก็มีเนื้อซี่โครงเคล้าซอสเครื่องเทศ ซึ่งดูต่างจากเนื้อซี่โครงทั่วๆ ไปอยู่
เขาไม่คุ้นชินกับอาหารทั้งหมดนั่นเลย
“กินเลยไม่ต้องเกรงใจ ฉันสั่งให้เขาทำมาสำหรับสองที่อยู่แล้ว”
“อย่างนั้นสินะ”
“อันนั้นสเต็กเนื้อ ส่วนอีกอันคือซี่โครงแกะ แล้วก็…”
โซโฮใช้ส้อมชี้อาหารต่างๆ บนโต๊ะทีละจานพร้อมอธิบายชื่ออาหารออกมา คล้ายจะโอ้อวดว่าพ่อครัวของตัวเองทำอาหารเก่งมาก บอกว่าอาหารนี้รสชาติแบบนี้ ใส่อะไรไปบ้าง อธิบายไปเรื่อยๆ
ทว่าแจฮยอกกลับรู้สึกประหลาดเหมือนอีกคนกำลังดูแลเขาอยู่ยังไงยังงั้น ท่ามกลางการอธิบายที่ไม่รู้ว่าทำทำไม แต่เหมือนได้ยินว่า ‘อาหารพวกนี้กินได้ทุกอย่างนั่นแหละ ส่วนผสมก็เหมือนกัน ต่างแค่หน้าตาเท่านั้น อย่ากลัวไปเลย กินเยอะๆ นะ’ อีกด้วย
‘เจ้าคนไร้มารยาทคนนี้นี่มัน…’
แจฮยอกส่ายหัวน้อยๆ ก่อนจะสลัดการประเมินเกี่ยวกับตัวตนอีกฝ่ายที่ผุดขึ้นมาให้ออกไป ถ้าคนคนนี้มีความเป็นห่วงเป็นใยสักหนึ่งในร้อย ก็คงไม่ทำให้เขาโดนไล่ออกจากบริษัทหรอก
ระหว่างที่แจฮยอกคิดอะไรแบบนั้น โซโฮก็ยิ้มกว้างหลังจากแนะนำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“กินเยอะๆ นะ กินให้หมดเลย”
เจ้าของบ้านมองแจฮยอกใช้ตะเกียบตัวเองคีบอาหาร แทนการใช้ตะเกียบแยกของแต่ละจานพร้อมกลั้นยิ้มไปด้วย ผู้มาเยือนคีบอาหารขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วส่งตรงเข้าปาก จากนั้นก็คีบชิ้นอื่นๆ กินต่อไป
หากเป็นพ่อแม่เขาทำแบบนี้ โซโฮก็คงจะวางตะเกียบลงแล้วหยุดกิน หรือถ้าหากเป็นญาติ เขาก็คงหยิบอาหารทั้งจานยัดลงไปในถังขยะมันตรงนั้นเลย
แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะทุกอย่างบนโลกนี้มันช่างสกปรกไปหมด ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ หรือญาติเขาก็ตาม
ทว่ามันก็น่าประหลาดใจ พอแจฮยอกเป็นคนทำแล้ว เขากลับไม่รู้สึกอะไรเลย แถมยังรู้สึกว่าอาหารมันดูน่าอร่อยมากขึ้นซะอีก
จากนั้นโซโฮก็ลงมือกินมันบดและพาสต้า เขากินในส่วนที่ตะเกียบของแจฮยอกคีบไปแล้วก่อนหน้า และค่อยๆ กินทีละนิดอย่างช้าๆ
จริงอยู่ที่ว่าเขาก็หิว แต่อาหารมันไม่ถูกปากเอาเสียเลย เดิมทีโซโฮเป็นคนใช้ชีวิตตอนกลางคืน แต่เป็นเพราะแจฮยอกทำให้เขาต้องตื่นตั้งแต่เช้ามาสองวันแล้ว เมื่อร่างกายเหนื่อยอ่อน ปากก็เลยพาลกินอะไรไม่อร่อย
“อย่าเขี่ยอาหาร”
“หา?”
“คุณปู่บอกว่าถ้าเขี่ยอาหาร ก็จะเขี่ยโชคลาภออกไปด้วย…”
แจฮยอกพูดตามคำกว่าวของปู่ตัวเองอย่างไม่รู้ตัวพร้อมกับแสดงสีหน้าประหม่าเล็กน้อย โซโฮจึงหัวเราะคิกคักก่อนจะค่อยๆ เลียอาหารที่เปื้อนบนส้อม
จังหวะที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายแตะลงบนส้อม มันก็ดึงดูดสายตาของแจฮยอกได้เป็นอย่างดี
ทั้งเป็นชายหนุ่มแสนเฮงซวย ทั้งเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง แถมยังเป็นคนที่ทำให้เขาถูกไล่ออกจากงานอีก แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้ดูงดงามแบบนี้
มีคนเคยบอกไว้ว่าหากชีวิตไม่มีเวลาว่างแล้วล่ะก็ จะไม่มีทางมองใครว่าสวยเลย
สมัยเป็นนักศึกษาใหม่ๆ เขาก็เคยมีผู้หญิงมาขอคบอยู่หลายคน แต่พอมีคนมาสารภาพรักแล้ว แจฮยอกกลับไม่ได้คิดเลยว่าผู้หญิงคนนั้นถูกใจตัวเองหรือไม่ แต่เขากลับคิดถึงเรื่องค่าใช้จ่ายเวลามาเจอกับพวกผู้หญิงต่างหาก ไม่เคยแม้แต่จะมองความสวย มันก็เลยจบลงตั้งแต่ตรงนั้น
นั่นเป็นเรื่องที่คุณปู่พูดกับเขาหลังจากเขาเล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟัง และคำพูดนั้นก็ยังคงตราตรึงอยู่จนถึงทุกวันนี้
แต่ทำไมกับชายหนุ่มแสนเฮงซวยและไร้มารยาทอย่างคนตรงหน้า ถึงได้ดูน่ารักไปด้วยในเวลาเดียวกันนะ ความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จู่ๆ เมื่อวานมันก็เพิ่งเกิดขึ้นมา
“ทำอะไรอยู่ล่ะ กินสิ”
“หา? อืม”
สายตาที่ถูกริมฝีปากโซโฮขโมยไป เบนกลับมาอยู่ที่เดิมของมันอีกครั้ง หลังจากนั้นการทานอาหารก็เริ่มต้นขึ้น อาหารทุกจานล้วนอร่อยทุกอย่าง ไม่มีจานไหนไม่อร่อยเลย ปากและกระเพาะของแจฮยอกที่เคยกินแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและข้าวปั้นสามเหลี่ยม มันเอาแต่เรียกร้องว่า ‘อีกนิดนึง’ ไม่หยุดไม่หย่อน

คอมเมนต์

Chapter List