เบบี้ซิตเตอร์…หลอกนายมาเป็นพี่เลี้ยง ตอนที่ 2-3
ตอนที่ 2-3 แครอทและแส้ม้า คือกฎที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
เช้าเวลาสิบนาฬิกา ยี่สิบสี่นาที แจฮยอกก็มายืนอยู่หน้าบ้านของโซโฮ
แต่ถึงเขาจะส่งสัญญาณเรียกโซโฮจากหน้าประตูทางเข้าคอนโดมากแค่ไหน แต่อีกคนก็ไม่เปิดประตูให้เลย แจฮยอกจึงทำได้เพียงแค่รอคนเดินเข้าออก และเดินตามจนได้เข้ามาข้างในคอนโด หลังจากนั้นถึงได้ขึ้นลิฟต์ส่วนตัวของชั้นรอยัล
และตอนนี้ ขณะที่เขากำลังจะกดกริ่งเป็นครั้งที่สาม ในที่สุดก็มีสัญญาณบ่งบอกให้รู้ว่ามีคนอยู่ข้างในดังขึ้น อีกฝ่ายกดอินเตอร์โฟนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงงัวเงียผสมความหงุดหงิด
-แม่งเอ๊ย ใครมันมาดึกดื่นป่านนี้!
“มันเช้าแล้วนะ”
-…แจฮยอกเหรอ
“เปิดประตู”
หลังจากแจฮยอกพูดจบ สักพักประตูห้องก็เปิดออก
แล้วก็ต้องหลุดหัวเราะเสียงประหลาดออกมา ส่วนโซโฮก็หันตัวกลับแล้วเดินโซเซไปยังโซฟาไม้โบราณก่อนจะล้มตัวลงนอน ดึงผ้าห่มขึ้นมาจนถึงคอแล้วหลับตาลง
แจฮยอกเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย แล้วนั่งลงบนโซฟาปกติข้างๆ โซฟาไม้โบราณตัวนั้น อากาศภายในบ้านของโซโฮค่อนข้างเย็น ดูเหมือนจะเปิดแอร์เอาไว้อย่างแรงเลยทีเดียว
เขาจึงเอ่ยถาม
“เปิดแอร์ไว้เหรอ”
“อือ”
“เปิดกี่องศาเนี่ย ทำไมมันหนาวแบบนี้”
“ชีพัล[1]องศา”
ถึงคำตอบจากปากโซโฮจะฟังเหมือนคำด่ามาก แต่มันก็ไม่ใช้คำด่า เป็นเพียงอุณหภูมิของแอร์ที่เปิดไว้ในห้องเท่านั้น ร่างบางพลิกตัวคล้ายรำคาญก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวแล้วหันหลังให้
แม้ว่ามันจะไม่ใช่เงินของเขาก็ตาม แต่แจฮยอกก็ไม่พอใจที่โซโฮทำแบบนี้ นี่มันยังเช้าอยู่เลย อากาศแบบไม่เปิดแอร์ก็อยู่ได้
แต่เจ้านี่ดันเปิดแอร์ถึงสิบแปดองศา มุดตัวเองอยู่ในผ้าห่ม แถมยังใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวอีก
“พรืด”
หากโซโฮตื่นอยู่คงบอกว่ามันเป็นเสียงหัวเราะที่ไม่เข้ากับหน้าตาเลย แจฮยอกเป็นคนหัวเราะด้วยเสียงที่ไม่เหมาะกับตัวเองออกมา
เมื่อวานเป็นเสื้อเชิ้ตลายวัว ส่วนวันนี้เป็นเสื้อยืดแขนยาวสีแดงที่มีภาพคนๆ โดนระเบิดหัว ถึงเสื้อมันจะตัวไม่ใหญ่มาก แต่มือของอีกคนก็ยังไม่โผล่พ้นแขนเสื้อเลย
เขาหัวเราะคนใบหน้ายับยู่ยี่เพราะหงุดหงิดเต็มที่ ผมเผ้ายุ่งเหยิง รวมถึงดวงตาที่ลืมขึ้นมาดีๆ ไม่ได้ด้วยความงัวเงีย พร้อมกับคิดว่ามันดูเหมาะกันเป็นอย่างมาก
แจฮยอกหัวเราะออกมาหลังจากนั้นอีกหลายครั้ง คำพูดของยอมินเมื่อวานทำให้เขาสบายใจขึ้นเล็กน้อย และยิ่งนึกถึงเงินเดือนสี่ล้านวอน ก็ยิ่งสบายใจขึ้นไปอีก
‘ผู้ชายจะสวยไม่ได้เหรอ ถึงจะเป็นผู้ชาย แต่ถ้าเขาสวยจริง เราก็มองเขาสวยได้อยู่แล้ว ถ้านายหมายถึงคนที่พามาเมื่อวานล่ะก็ น่ารักมากจริงๆ นั่นแหละ’
นี่คือคำตอบที่ยอมินตอบกลับมาทันทีเมื่อเขาเล่าให้ฟังเรื่องงานเงินเดือนสี่ล้าน และเรื่องที่เขาคิดว่าผู้ชายน่ารักอยู่บ่อยๆ ให้ฟัง แถมอีกฝ่ายยังบอกว่าถ้าหากงานนั้นมันเหนื่อยฉิบหาย เขาก็สามารถกลับมาทำงานที่นี่ได้เสมอ
แจฮยอกมองคนที่ผล็อยหลับไปอีกครั้งพร้อมผ้าห่มคลุมหัว จากนั้นก็นั่งปล่อยเวลาผ่านไปนิ่งๆ บนโซฟาอีกสักพัก
นานแค่ไหนแล้วนะ กับความเงียบสงบไม่มีเรื่องอะไรสักอย่างเข้ามาเลยแบบนี้ หลังจากพ่อเสียชีวิตแล้ว เขาก็ไม่เคยมีสักวันเลยที่ได้หยุดพักหายใจ ไม่สิ ต้องพูดว่าไม่มีโอกาสให้หายใจเลยถึงจะถูก ก็มันจะไปมีเวลาพักได้ยังไง ในเมื่อพื้นข้างหลังเขามันกำลังพังทะลายลงไปเรื่อยๆ
ผ่านไปไม่นาน โซโฮก็ลุกขึ้นมานั่งด้วยสภาพกระเซอะกระเซิง เขาหาวจนปากแทบฉีกพลางเอามือที่โดนแขนเสื้อคลุมมิดขยี้ตาไปด้วย หลังจากนั้นก็ค่อยๆ หันมามองแจฮยอกด้วยดวงตาจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่
“หลับสบายไหม”
“…อืม”
“ฉันไม่รู้ว่านายจะตื่นเที่ยงเลยมาแต่เช้า ว่าแต่เด็กที่จะให้ดูแลน่ะ อยู่ที่ไหนล่ะ”
“อยู่นี่”
“อะไรนะ… อย่าบอกนะว่า…”
โซโฮพูดคำว่าอยู่นี่พร้อมกับเอามือตีอกตัวเองดังปักๆ
แจฮยอกรู้สึกถึงลางไม่ดี ในหัวเขามีแต่คำว่าไม่ใช่ ต้องไม่ใช่สิ วนเวียนอยู่หลายต่อหลายครั้ง เรื่องที่อีกฝ่ายพูดออกมามันต้องไม่ใช่เรื่องจริงสิ
“อยู่นี่ไงครับ เบบี้น่ะ”
โซโฮยิ้มร่าทั้งๆ ที่ใบหน้ายังงัวเงีย แถมยังใช้นิ้วดึงแขนเสื้อยาวๆ เอาไว้แล้วทำมือเป็นท่าทางงุ้งงิ้ง
ในตอนนี้สีหน้าของแจฮยอกบูดบึ้งได้หล่อเหลาที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลย
คนตัวเล็กแสร้งทำท่าน่ารักราวกับคาดการณ์ปฏิกิริยาตอบรับของแจฮยอกเอาไว้แล้ว จากนั้นจึงค่อยๆ เอามือทั้งสองข้างลงช้าๆ และยิ้มยกด้วยมุมปากข้างเดียว โซโฮดูเหมือนจะขับไล่ความง่วงออกไปได้ในระยะเวลาสั้นๆ ก่อนจะใช้ดวงตาเฉี่ยวราวกับแมว ซึ่งฉายแววไม่พอใจบนความอวดดีอีกทีมองแจฮยอก
“ขนาดฉันแกล้งทำท่าน่ารัก ก็ยังไม่พอใจอีกเหรอ”
“ฉันดูไม่พอใจเหรอ”
“ก็สีหน้าสีนายตอนนี้มันว่างั้นอะ แจฮยอก”
“เมื่อวานนายบอกว่าจะไม่หลอกกันนี่”
“งั้นอย่างแรกผ่อนคลายสีหน้าก่อนเลย มันดูไม่พอใจมากๆ”
“สำหรับนายที่มีชีวิตแบบนี้มาตลอด ฉันไม่รู้ว่าเรื่องเงินมันเป็นเรื่องเล่นๆ หรือเปล่า แต่สำหรับฉันมันไม่ใช่ จะมีใครที่ไหนอยากโดนหลอกกันวะ! นี่หลอกกันชัดๆ เนี่ย!”
แจฮยอกคิดว่าโซโฮคงจะต้องตกใจอย่างแน่นอน ทว่ามันกลับไม่เป็นอย่างนั้น ผู้ชายวันรุ่นที่ต้องการพี่เลี้ยงน่ะเหรอ มันไม่มีทางมีอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว
อยู่ๆ แจฮยอกก็หวนคิดว่าตัวเองได้เจอกับโซโฮที่ไหน ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าเจ้านี่ดูเหมือนไม่เคยต่อสู้กับใครเลยสักนิด
ถึงแม้เขาจะหยิ่งในศักดิ์ศรีและใช้ชีวิตแบบไม่ให้โดนใครว่าได้มาตลอดยี่สิบแปดปี แต่บางทีก็อาจจะเคยสร้างบาดแผลให้กับใครสักคนโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้
ในความคิดของแจฮยอก ผู้ชายที่ชื่อจีโซโฮใจร้ายมาก แต่ก็ทำอะไรกับคำโกหกแสนเลวร้ายที่ทำให้ตัวเขาต้องออกจากงานไม่ได้แล้ว
ก็เลยคิดว่าหากโซโฮมาขอโทษดีๆ ก็คงจะยอมปล่อยผ่าน แล้วคิดเสียว่าเขาเองก็อาจจะไปทำความผิดอะไรสักอย่างกับใครบางคนมาเหมือนกัน
“เฮ้อ…”
แจฮยอกเอาแต่จ้องมองพื้นหินอ่อนแวววับพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ โดยไม่สังเกตเลยว่าโซโฮกำลังเอาแขนตัวเองออกจากเสื้อยืดแขนยาว
เมื่อไม่มีคำตอบกลับมาว่าหลอกกันจริงๆ หรือไม่ เลยทำให้แจฮยอกมั่นใจว่ามันคือการหลอกแน่นอน แล้วถ้ามันเป็นอย่างนั้น ก็ไม่มีเหตุผลอะไรเขาต้องนั่งอยู่ตรงนี้จนกว่าจะนึกออกว่าเคยทำอะไรผิดกับอีกฝ่ายกันแน่ ไว้ค่อยนึกที่บ้าน ไม่สิ นึกไปหางานใหม่ไป แล้วถ้านึกออกก็ค่อยกลับมาขอโทษที่นี่แล้วกัน
หลังได้ข้อสรุปกับตัวเองแล้ว เขาก็ลุกขึ้นหันไปหาโซโฮ
“ไปแล้วนะ”
ก่อนจะพูดออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
การถอดเสื้อยืดแขนยาวสีแดงออกทางหัวแล้วโยนมันทิ้ง ดึงดูดสายตาของเขาได้เป็นอย่างดี โซโฮใช้มือจัดทรงผมยุ่งเหยิงของตัวเองลวกๆ พร้อมเงยหน้ามองแจฮยอกแล้วเอ่ยถาม
“จะไปไหน”
“ที่ไหนก็ได้ ไปหางานทำ”
“ก็นายตกลงจะเป็นเบบี้ซิตเตอร์แล้วนี่นา”
“เวรเอ๊ย นายนี่มันจริงๆ เลย! เลิกเล่นอะไรแบบนี้ได้แล้ว! ฉันไม่รู้หรอกนะว่าตัวเองเคยไปทำอะไรให้นาย แต่พอกันที! ถ้าฉันไปทำอะไรให้ก็ขอโทษ หรือจะต่อย จะตีกันก็ได้ แต่อย่าทำแบบนี้ ถ้าตอนนี้ฉันหาเงินไม่ได้ ตั้งแต่เดือนหน้าก็จะไม่มีจ่ายเงินกู้ยืมค่าเทอม เงินซื้อข้าวก็คงไม่มี แม้แต่กิมจิก็ยังกินไม่ได้เพราะมันแพง เข้าใจหรือเปล่า นายหยุดตีหน้าตายได้แล้ว”
แจฮยอกบันดาลโทสะขึ้นมาอัตโนมัติจนพรั่งพรูทุกอย่างในใจออกไป ยิ่งสบสายตากับโซโฮที่มองกันด้วยแววตาคล้ายไม่เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ ก็ยิ่งทำให้เขาโกรธมากขึ้นไปอีก
พอได้พูด ก็นึกถึงตัวเองสมัยเด็กๆ ขึ้นมา
ตอนเขายังตัวเล็ก ด้วยความที่มีสีผมสีคิ้วแตกต่างจากคนอื่น จึงเลือกที่จะหลีกเลี่ยงและแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับสิ่งที่ตัวเองโดนกลั่นแกล้งลับหลัง การเมินเฉยมันเป็นวิธีที่ทำให้เจ็บปวดน้อยที่สุดแล้ว
กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังคงคิดเช่นนั้น ทว่าเมื่อหันหลังกลับ เสียงของโซโฮก็ดังขึ้นมาจากข้างหลัง
“ทำไมถึงตัดสินใจอะไรตามใจตัวเองแบบนี้”
“…อะไรนะ”
“ฉันถามว่าทำไมนายถึงได้ตัดสินว่าฉันหลอก ฉันยังไม่ทันพูดว่าหลอกเลยสักครั้ง”
คำพูดของโซโฮทำให้ความโกรธของแจฮยอกมันระเบิดออกมาอีกระลอก เขาหมุนตัวกลับแล้วเดินเข้าไปใกล้อีกคนทันที ยิ่งแจฮยอกเข้ามาใกล้เท่าไหร่ โซโฮก็ยิ่งเชิดหน้าสูงขึ้นเท่านั้น
แต่ตอนนี้แจฮยอกลืมสิ่งที่ตัวเองจะพูดไปชั่วขณะ
ทั้งใบหน้ามีเลือดฝาดที่พยายามเชิดขึ้น ริมฝีปากเผยอออก หว่างคิ้วขมวดเล็กๆ รวมถึงร่างกายส่วนบนเปลือยเปล่า
มันทำให้แจฮยอกหน้าเห่อร้อน เนื่องจากภาพของโซโฮมันช่างเร้าอารมณ์เขาเหลือเกิน
หลังจากหันหลังกลับแล้วเดินเพียงไม่กี่ก้าว แจฮยอกก็ก่นด่าตัวเองในใจว่าบ้าไปแล้วหรือไง ก่อนจะพูดกับอีกฝ่าย
“นี่… นายอายุเท่าไหร่กัน”
“ยี่สิบสี่”
“ยี่สิบสี่นี่เรียกว่าเบบี้เหรอ ทำไมถึงต้องมีพี่เลี้ยง มันสมเหตุสมผลหรือไง อายุยี่สิบสี่เนี่ยนะ เหอะ”
แจฮยอกหงุดหงิดมากกับการโดนคนที่เด็กกว่าตัวเองตั้งสี่ปีอย่างโซโฮเอาแต่ใจใส่ถึงสองวัน ไม่สิ สามวันแล้ว ชายหนุ่มวัยยี่สิบสี่ปีตามหาพี่เลี้ยงเด็กงั้นเหรอ มันฟังดูไร้สาระสิ้นดี จนสมองกับมือไม้ของเขาวุ่นวายไปหมด
สมองกำลังวุ่นกับการคิดว่า ‘จะต้องโกรธไหม’ หรือ ‘จะต้องรับมืออย่างมีสติ’ ส่วนมือก็วุ่นกับการแสดงอารมณ์นั้นออกมา
แจฮยอกยกขึ้นมาลูบผมก่อนจะเลื่อนลงไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกสองเม็ดเพราะอึดอัด จากนั้นก็จ้องมองโซโฮด้วยสายตาร้องขอคำตอบ
จนถึงตอนนี้ความรู้สึกเร้าอารมณ์ของร่างบางตรงหน้าก็ยังคงรุนแรง ทว่าแจฮยอกก็จดจ่ออยู่กับสายตาของอีกคนแทน พยายามไม่สนใจร่างกายเปลือย
ทว่าอีกด้านหนึ่งในความคิด กลับมีความคิดที่ว่า ‘นี่เรามีตรงไหนผิดปกติไปหรือเปล่า’ ค่อยๆ ผุดขึ้นมา
[1] ชีพัล เป็นคำด่าภาษาเกาหลี แต่คำว่า ‘สิบแปด’ ภาษาเกาหลีออกเสียงว่า ‘ชิบพัล’ ซึ่งค่อนข้างคล้ายคลึงกัน จึงมักจะนำมาเล่นคำ
คอมเมนต์