เมื่อผมเป็นเจ้าของสวนสัตว์ ตอนที่ 1-4
บทที่ 1 (4)
ผ่านไปไม่ทันไรต้วนเจียเจ๋อก็พบเจอกับเรื่องยุ่งยากอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าจะจัดการย้ายสิงโตไปอีกกรงหนึ่งได้อย่างไร ในกรงนั้นเดิมทีก็มีประตูเหล็กที่สามารถกั้นพื้นที่ไว้ครึ่งหนึ่งได้เพื่อที่จะทำความสะอาดกรงให้เสร็จไปทีละส่วน
แต่ว่าเขาเป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่เคยเรียนรู้มาก่อนว่าควรจะย้ายสิงโตไปยังกรงเปล่าอีกกรงหนึ่งได้อย่างไรนี่นา
ไม่กี่วันที่ผ่านมาสิงโตตัวนี้กินอิ่มและดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก แต่นั่นก็ไม่นับว่าอิ่มท้องเท่าไหร่ ดังนั้นเรื่องที่จะขย้ำต้วนเจียเจ๋อจึงไม่ต้องพูดถึง
เขายืนกระวนกระวายอยู่นอกกรง ได้ยินเสียงลู่ยาที่อยู่ข้างๆ หัวเราะเยาะ “พวกมนุษย์เดี๋ยวนี้เป็นแบบนี้กันไปหมดแล้วเหรอ แม้กระทั่งสิงโตก็ยังกลัว”
ต้วนเจียเจ๋อเมินเสียงของลู่ยา ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าลู่ยาไม่ได้เย็นชาเหมือนอย่างที่เห็นภายนอก แต่เย็นชาเกินกว่าที่เห็นอยู่มาก จึงทำให้ดูน่าหมั่นไส้นิดหน่อย เหมือนกับในตอนนี้…
เมื่อเห็นว่าลู่ยาในตอนนี้เป็นสัตว์ของสวนสัตว์ ผู้อำนวยการต้วนจึงตัดสินใจที่จะมองข้ามไป
ในตอนนี้เอง สิงโตก็อ้าปากแล้วร้องคำรามออกมา
สิงโตคำรามสะเทือนทั่วฟ้า เปี่ยมไปด้วยพลังอันแข็งกล้า เสียงที่คำรามออกมาอย่างฉับพลันนั้นเกือบทำให้ต้วนเจียเจ๋อลงไปนั่งกองกับพื้น
ลู่ยาเปล่งเสียงหัวเราะเยาะขึ้นอีกครั้งทันที
ท่าทีอันสง่างามของต้วนเจียเจ๋อที่รักษาไว้ในตอนแรกนั้นก็ค่อยๆ หายไปหมด เพราะเหตุการณ์ที่น่าอัปยศในครั้งนี้ เขาอับอายเสียหน้าจึงโมโหและตะโกนขึ้นว่า “คุณทำได้ คุณก็มาทำเองสิ!”
ลู่ยาจ้องไปที่ต้วนเจียเจ๋อ ถ้าเทียบกันแล้วสายตาของเขายังน่ากลัวยิ่งกว่าเสียงคำรามของสิงโตเสียอีก
แต่ต้วนเจียเจ๋อไม่ได้กลัวอะไรมาก ก่อนหน้านี้เขาก็แค่เกรงใจลู่ยา แต่พอเขาได้รู้แล้วว่าลู่ยาก็โดนระบบควบคุมเหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะมาทำร้ายตัวเองได้
ดังนั้นต้วนเจียเจ๋อจึงนั่งลงไปที่ด้านข้างแล้วซ่อนแข้งขาที่อ่อนระทวยของตัวเองเอาไว้ “ผมไม่ทำแล้ว คุณเก่งมากคุณก็ทำเอง! ยังไงซะนี่มันก็เป็นที่ทำงานของคุณตั้งแต่แรก!”
ลู่ยาส่งเสียงหึและตะโกนออกมาอย่างหน้าไม่อาย “ฉันเป็นสัตว์หายาก นายเป็นผู้อำนวยการ เดิมทีมันก็เป็นหน้าที่นายที่ต้องปรนนิบัติฉัน เร็วเข้า รีบจัดการเรื่องกรงให้เรียบร้อย”
“…” ต้วนเจียเจ๋อถึงกับพูดไม่ออก
เมื่อลู่ยาเห็นว่าความโอหังของต้วนเจียเจ๋อหมดลง ก็ทำตัวประหนึ่งว่าตัวเองเป็นผู้ชนะ เขาเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจราวกับได้รับรางวัล จากนั้นพูดขึ้นว่า “ไปเร็ว มีเปิ่นจุนอยู่ มันจะทำอะไรได้”
ทีตอนนี้เปลี่ยนจากสัตว์หายากเป็นเทพเซียนไปแล้ว
นกตัวนี้… มันวอนหาเรื่องจริงๆ ต้วนเจียเจ๋อกัดฟันก่นด่าในใจ
ไม่รู้ว่าลู่ยาทำอะไร สิงโตนั่นก็ไม่กล้าที่จะส่งเสียงคำรามออกมาอีก แต่กลับหนีบหางของตัวเองเล่นแทน ต้วนเจียเจ๋อจึงใช้โอกาสนี้เปิดกรง รวบรวมความกล้าใช้ไม้ตะบองไล่สิงโตออกมา
ภายใต้แรงกดดันที่ลู่ยาแผ่ออกมาอย่างเต็มที่ทำให้เจ้าสิงโตเชื่อฟังและถูกพาไปยังอีกกรงหนึ่ง ทันทีที่มันเข้าไปข้างใน มันก็ยกขาข้างหนึ่งและฉี่ออกมา มันตกใจกลัวเป็นอย่างมาก
ลู่ยายืนกอดอกอยู่ข้างๆ ได้ทีขี่แพะไล่ เขาชี้นิ้วสั่งต้วนเจียเจ๋อให้ล้างกรงสิงโตอีกรอบหนึ่งจนแน่ใจว่าสะอาดเรียบร้อยและมีความสะดวกสบายถึงจะใช้ได้
ลู่ยาล้างสมองต้วนเจียเจ๋อ “นี่เป็นสิ่งที่นาย ในฐานะผู้อำนวยการสวนสัตว์จะต้องทำ และนายก็จะต้องคอยปรนนิบัติรับใช้เปิ่นจุนต่อไปในอนาคต”
ต้วนเจียเจ๋อยิ้มและพูดว่า “ปรนนิบัติ? ปกติแล้วสวนสัตว์ของพวกเราจะไม่ใช้คำนี้นะครับ พวกเราจะเรียกมันว่า ‘การเลี้ยงดูสัตว์’ ต่างหาก”
ลู่ยา “…”
แผ่นป้ายขนาดเล็กที่ส่งมาจากโรงงานยังไม่ได้ถูกติดตั้งให้เรียบร้อย ในตอนนั้นเป็นเพราะต้วนเจียเจ๋อต้องการที่จะประหยัดค่าใช้จ่ายจึงเลือกจ่ายแค่ค่าติดตั้งป้ายสวนสัตว์ขนาดใหญ่เท่านั้น ทางโรงงานได้แถมตะปูมาให้ เขาจึงหยิบแผ่นป้ายเล็กๆ พวกนั้นมาตอกตะปูติดไปรอบๆ
แผ่นป้ายอันเดิมที่เคยมีคำว่า “สวนสัตว์ไหเจี่ยว” ถูกแทนที่ด้วยป้ายอันใหม่ทั้งหมด
ตำแหน่งของป้ายบางอันติดอยู่ในที่ที่ค่อนข้างสูง ต้วนเจียเจ๋อจึงต้องใช้บันไดปีนขึ้นปีนลง ถือเป็นงานที่ใช้แรงมาก กว่าจะทำเสร็จก็ทำเขาหอบเหนื่อยไปไม่ใช่น้อย
ต้วนเจียเจ๋อไม่รอช้า เขารีบเปิดแอพโครงการแห่งความหวังหลิงเซียวขึ้นมาทันที เมื่อมองไปเขาก็เห็นว่าในที่สุดภารกิจแรกของเขาได้เปลี่ยนเป็นคำว่า “ภารกิจเสร็จสิ้น” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นเครื่องหมายกระเป๋าใบเล็กก็กะพริบขึ้น
เขากดเปิดไปที่กระเป๋าเล็กๆ มันแสดงข้อความขึ้นมาว่า :
ขอแสดงความยินดี คุณทำภารกิจเสร็จสิ้น ตอนนี้คุณสามารถรับรางวัลได้แล้ว! ต้องการรับรางวัลทันทีหรือไม่
ภายใต้ตัวเลือกระหว่างใช่กับไม่ใช่ ก็ยังมีตัวเลือกให้กดดูรายละเอียดของรางวัล หลังจากที่กดเปิดเข้าไปแล้วก็จะมีคำอธิบายรายละเอียดบอกไว้
นอกจากนี้ที่ด้านบนยังแสดงตารางแผนการให้อาหารสัตว์ บอกถึงสัตว์แต่ละชนิดที่อยู่ในสวนสัตว์ ในแต่ละวัน ทุกตัวจะต้องกินเท่าไหร่ กินอะไร และยังบอกถึงอาการเจ็บป่วย สภาพการตั้งท้องของพวกสัตว์ต่างๆ ที่ต้องเจอ เช่น สิงโตจะได้กินเนื้อที่แตกต่างกันไปในแต่ละวัน ส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อวัวกับเนื้อหมู เสริมด้วยพวกเนื้อไก่และเนื้อเป็ด
อาหารพวกนี้จะถูกส่งไปในคลังเก็บอาหารโดยอัตโนมัติในทุกๆ เช้า ซึ่งสามารถระบุสถานที่ที่จะกำหนดให้เป็นคลังรับอาหารได้
อันที่จริงนี่ก็ถือว่าเป็นการสอนในรูปแบบหนึ่ง เพราะว่ารายการอาหารเลี้ยงสัตว์ที่ดีที่สุดถูกคำนวณออกมาโดยระบบนี้ ถึงแม้ว่าในอนาคตจะไม่มีรางวัลแล้ว แต่ถ้ารู้เรื่องส่วนผสมและปริมาณ ต้วนเจียเจ๋อก็สามารถที่จะวาดรูปเสือตามรูปแมว[1]ได้
หลังจากที่ต้วนเจียเจ๋อเลือกคลังเก็บอาหารเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็กดปุ่มเพื่อรับรางวัล ด้านล่างปรากฏตารางรายการ ซึ่งจะมีหมายเลขที่สอดคล้องกับจำนวนของสัตว์
ต้วนเจียเจ๋อวิ่งไปดูที่คลังเก็บอาหาร ด้านในมีถังหลายใบวางไว้อยู่แล้ว แต่ละถังมีหมายเลขติดเอาไว้ว่า สิงโตหมายเลขหนึ่ง นกยูงหมายเลขหนึ่ง นกยูงหมายเลขสอง ฯลฯ แต่ละถังมีอาหารบรรจุอยู่ด้านในเต็มถัง เมื่อเทียบกันอีกครั้ง ตัวเลขเหล่านี้ก็คือหมายเลขที่อยู่ในตารางรายการอาหาร ซึ่งสามารถทำตามที่กำหนดไว้แล้วนำไปให้สัตว์แต่ละตัวได้
ที่สำคัญก็คือ ต้วนเจียเจ๋อคิดไม่ถึงว่าจะมีถังอาหารของลู่ยาที่เหมือนกับถังอื่นๆ ด้วย มันเขียนไว้ว่า อีกาทองสามขาหมายเลขหนึ่ง ต้วนเจียเจ๋ออยากจะบอกว่า เขาคงจะไม่เจอหมายเลขสองหรอกนะ
อีกาทองสามขากินอะไร
ตามรายการอาหารที่คำนวณโดยระบบของแอพนั้น วันนี้ลู่ยาจะได้กินเนื้อวัวและผักกาดขาวที่อยู่ในถัง!
พวกคนงานชั่วคราวที่รับผิดชอบในการให้อาหารสัตว์ยังไม่มา ต้วนเจียเจ๋อจึงรีบออกมาพร้อมกับถังอาหารของลู่ยา
ลู่ยาในตอนนี้ยืนอยู่ด้านนอก ทันทีที่มองเห็นถังที่อยู่ในมือของต้วนเจียเจ๋อกับตัวหนังสือบนถังที่เขียนว่า “อีกาทองสามขาหมายเลขหนึ่ง” ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนกับแมวที่ถูกเหยียบหางก็ไม่ปาน จากนั้นจึงระเบิดออกมา “มีอย่างที่ไหน อย่าคิดว่าคนอย่างเปิ่นจุนจะกินของบ้าๆ นี่”
“คุณไม่กินงั้นเหรอ” ต้วนเจียเจ๋อแอบดีใจอยู่เล็กน้อย มองดูแล้วคุณภาพของเนื้อพวกนี้ดูเหมือนจะไม่เลวเลยทีเดียว ช่วงไม่กี่วันมานี้เขาได้แต่ซื้อข้าวกล่องที่ร้านอาหารในสวนสาธารณะ รสชาติแย่แถมยังแพงอีกต่างหาก
ในเมื่อลู่ยาไม่กิน ต้วนเจียเจ๋อจึงตัดสินใจที่จะเอาของพวกนี้มาทำกินเอง ทั้งอุปกรณ์เครื่องครัวและเครื่องปรุงที่นี่มีพร้อมหมดแล้ว เมื่อตอนที่ต้วนเจียเจ๋อยังเรียนอยู่ เขาและรูมเมทก็ทำอาหารกินกันในหอพักเป็นประจำ ถือว่าเขาเป็นเชฟพ่อบ้านได้เลย
ลู่ยาโกรธจนถึงขีดสุด ราวกับได้รับความอัปยศอดสูที่ไม่มีอะไรจะเกินกว่านี้อีกแล้ว “ไม่กิน!”
ต้วนเจียเจ๋อ “คุณไม่กินอะไรเลยจะไม่หิวแย่เหรอ”
ลู่ยาตอบอย่างเย็นชา “ฉันไม่กินธัญพืชทั้งห้า[2] มานานแล้ว”
คิดไม่ถึงว่าเขาจะได้รับอาหารดีๆ ในราคาถูกแบบนี้ ทันทีที่ได้ยินว่าลู่ยาไม่ต้องการกินอาหารพวกนี้ ต้วนเจียเจ๋อจึงรีบยกถังไปที่ห้องครัวอย่างดีอกดีใจ เขาหั่นเนื้อวัวเป็นชิ้นๆ หั่นผักกาดขาวเป็นเส้นๆ แล้วทำเป็นอาหารที่กินง่ายๆ ในครัวเรือน
เนื้อวัวและผักกาดพวกนี้ไม่รู้ว่าผลิตจากที่ไหน ต้วนเจียเจ๋อแค่ผัดไปแบบลวกๆ เท่านั้นก็ส่งกลิ่นที่หอมมากเป็นพิเศษ แต่ว่าในครัวไม่มีข้าวสวยอยู่เลย เขาจึงคิดจะไปซื้อข้าวที่ร้านอาหารตรงสวนสาธารณะไหเจี่ยว จากนั้นหยิบชามใบหนึ่งและวิ่งน้ำลายสอออกไป
หลังจากผ่านไปห้านาที ต้วนเจียเจ๋อกลับมาพร้อมกับชามข้าวสวย ถึงแม้จะอยู่ข้างนอกก็ยังได้กลิ่นของอาหารที่โชยออกมาจากห้องครัว ต้วนเจียเจ๋ออยากกินจนแทบจะอดใจไม่ไหว
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องครัว ต้วนเจียเจ๋อก็เห็นลู่ยากำลังคีบเนื้อวัวเข้าไปในปากอยู่หน้าเตา
ลู่ยา “…”
ต้วนเจียเจ๋อ “…”
ลู่ยา “…”
ใบหน้าถมึงทึงของต้วนเจียเจ๋อจับจ้องไปที่ลู่ยา ก็พูดเองไม่ใช่เหรอว่าอย่าคิดว่าฉันจะกินอาหารพวกนี้ และที่บอกว่ามันเป็นความอัปยศอดสูอันใหญ่หลวงนั่นล่ะ แล้วไอ้ที่บอกว่าไม่กินพวกธัญพืชทั้งห้านั่นหายไปไหนหมดแล้ว
เขาเหลือบตามองไปที่อาหารในจาน อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “…ทำไมมันถึงเหลือแค่ครึ่งเดียว”
เขาเพิ่งออกไปแค่ห้านาทีเองนะ!
ใบหน้าของลู่ยาขึ้นสีแดงทันที และวางท่าพาลโกรธเอาดื้อๆ “อันที่จริงนี่มันเป็นอาหารที่เอาไว้เลี้ยงฉัน! นายก็อยากจะกินอาหารสัตว์งั้นเหรอ”
ต้วนเจียเจ๋อ “ไม่ใช่อย่างนั้น ผมก็แค่อยากถามคุณว่า …ต้องการข้าวสวยด้วยไหม…”
สายตาคมประดุจดาบของลู่ยาจับจ้องไปที่เขา “…เอามา”
…
ลู่ยาเต้าจวิน[3]ผู้สง่างามสูงส่งไม่มีใครเปรียบยืนอยู่ในครัวพร้อมถือชามผักกาดขาวผัดเนื้อวัว ภาพที่เขากินอย่างเอร็ดอร่อยจริงจังทำให้ต้วนเจียเจ๋องุนงงเล็กน้อย
ประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือ ดูเหมือนว่าลู่ยาไม่ได้คิดที่จะเหลือไว้ให้เขาเลยสักนิดเดียว…
ท้องของต้วนเจียเจ๋อร้องโครกคราก แต่ลู่ยาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเลยแม้แต่น้อย
ต้วนเจียเจ๋อหน้าหนาเรียกลู่ยา ปากเต็มไปด้วยถ้อยคำหวานหู “เต้าจวิน ผมขอชิมเนื้อวัวหน่อยได้ไหมครับ”
“ไม่ได้” ลู่ยาเงยหน้า พูดอย่างเย็นชา “นี่เป็นอาหารหนึ่งมื้อของฉัน ถ้าแบ่งให้นายกิน เกรงว่าฉันจะกินไม่อิ่มกันพอดี”
ด้วยความมุ่งมั่นฝึกฝนบำเพ็ญเพียรของเขา เขาจึงงดธัญพืชทั้งห้ามาเป็นเวลานาน แต่วันนี้ตอนที่เห็นอาหารของมนุษย์ที่ไม่ได้เห็นมานาน กลับมีพลังดึงดูดที่แตกต่างไปจากเดิม
คำพูดพวกนี้ทำให้ต้วนเจียเจ๋อโมโหขึ้นมา ทำไมคุณถึงไม่งกจนตายไปเลยล่ะ การฝึกบำเพ็ญเพียรของอีกาทองสามขามันแปรผกผันกับสภาพจิตใจหรือยังไง ยิ่งฝึกฝนมากเท่าไหร่ใจก็ยิ่งแคบมากขึ้นเท่านั้น
ต้วนเจียเจ๋อพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “ได้ ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้คุณก็ทำกินเองแล้วกัน!” มองดูอีกาทองสามขาตัวนี้แล้ว อย่าว่าแต่ทำอาหารเลย แค่รู้วิธีปรุงอาหารก็ดีแค่ไหนแล้ว
ลู่ยาเกรี้ยวกราด “นายกล้าขู่เปิ่นจุน?”
ช่างเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจจริงๆ ในระหว่างที่ลู่ยาพูด รอบกายของเขาก็ปรากฏกลุ่มเปลวเพลิงลุกอยู่รอบตัว อุณหภูมิในห้องครัวเพิ่มสูงขึ้น แม้กระทั่งอากาศเองก็บิดเบี้ยวจนดูน่ากลัวไปหมด
นี่ตกลงแล้วใครขู่ใครกันแน่
ต้วนเจียเจ๋อได้แต่สบถอยู่ในใจ เขารู้ตัวว่าตัวเองมีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสวนสัตว์ จึงไม่ได้กลัวแรงกดดันของลู่ยาเลยแม้แต่น้อย “ผมไม่กล้าครับ ก็แค่ถ้าผมกินไม่อิ่ม ผมก็ไม่มีแรงไปดูแลพวกสัตว์ได้”
ลู่ยาถลึงตามองต้วนเจียเจ๋อ ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แต่เปลวไฟพวกนั้นก็ค่อยๆ มอดลงทีละนิด
ต้วนเจียเจ๋อเห็นว่าเขามีท่าทีอ่อนลง จึงรีบวิ่งไปล้างช้อนแล้วตักเนื้อในจานของลู่ยา
ถึงแม้ว่าสายตาของลู่ยาจะมองไปยังมือของต้วนเจียเจ๋อด้วยแรงกดดันมหาศาล แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร
ต้วนเจียเจ๋อตกใจกับรสชาติของเนื้อวัวนี้มากจริงๆ เขาไม่ได้คิดว่าฝีมือการทำอาหารของตัวเองจะสะท้านฟ้าสะเทือนดินขนาดนั้น วิธีการปรุงก็ทำแบบง่ายๆ ทั่วไป แต่รสชาติกลับหอมอร่อยถูกปาก เนื้อสัมผัสอ่อนนุ่ม แม้กระทั่งผักกาดขาวเองก็หวานกรอบเป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับข้าวกล่องที่กินไปเมื่อสองสามวันที่แล้ว ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ต้วนเจียเจ๋อกินไปก็แทบจะหลั่งน้ำตาออกมา
ต้วนเจียเจ๋อ “ทำไมมันถึงอร่อยขนาดนี้…เนื้อวัวกับผักกาดขาวพวกนี้มาจากไหนกันครับ สามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้ไหม”
ถ้าหากว่าราคาไม่แพงมาก เขาก็อยากจะซื้อมันมาเลี้ยงฉลองให้ตัวเองบ้าง
ลู่ยายืนดูอย่างพอใจพลางพูดขึ้นว่า “นายซื้อมันไม่ได้หรอก นี่ไม่ใช่ของบนโลกมนุษย์”
โลกมนุษย์นั้นถูกแยกตัวออกมาเป็นเวลานานหลายสิบปี พลังวิญญาณในแต่ละวันก็เบาบางลงเรื่อยๆ มาจนถึงทุกวันนี้ มันช่างน่าสมเพชจริงๆ
และส่วนผสมพวกนี้ล้วนแต่สร้างขึ้นมาจากสวรรค์ที่เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณ แม้จะไม่ได้เป็นอาหารชนิดที่วิเศษมาก แต่การเจริญเติบโตในสภาพแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์เป็นธรรมชาตินั้นย่อมดีกว่าในโลกมนุษย์หลายเท่า
เมื่อต้วนเจียเจ๋อได้ยินเช่นนั้นก็เสียใจอย่างสุดแสน จุดประสงค์ของการเกิดเป็นมนุษย์นั้นคืออะไร ไม่ได้ดีเท่าสัตว์ แถมตัวเองก็ยังเป็นผู้อำนวยการสวนสัตว์อีก
ลู่ยามองต้วนเจียเจ๋ออย่างใจจดใจจ่อ พูดเตือนขึ้นว่า “นายพอได้แล้ว”
ต้วนเจียเจ๋อรีบกินเข้าไปอีกคำ แล้ววางช้อนลงอย่างอาลัยอาวรณ์
…
หลังจากที่ต้วนเจียเจ๋อรู้ว่าส่วนผสมของอาหารแต่ละอย่างมีค่ามากขนาดนี้ เขาก็ปวดใจอย่างมาก เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่มีโอกาสที่จะได้กินมันอีก แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องให้ความสำคัญกับมันเพิ่มขึ้น ในตอนที่พวกชาวบ้านที่จ้างมาทำงานชั่วคราวนำอาหารออกมาข้างนอกทีละถัง เขาก็ต้องจับตามองไว้ไม่ให้คลาดสายตา
พนักงานชั่วคราวพวกนี้รู้สึกประหลาดใจอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ถึงแม้มองด้วยตาเปล่าจะไม่สามารถบอกได้ว่าอาหารพวกนี้ดีแค่ไหน ไม่แน่พวกเขาอาจจะคิดว่าอาหารเหล่านี้ไม่น่าจะดีเท่ากับผักที่ปลูกในหมู่บ้านของพวกเขาเอง
แต่ผลตอบรับบนร่างกายของสัตว์นั้นแสดงออกมาอย่างชัดเจนมาก
เจ้าสิงโตที่กินอิ่มหนำสำราญขึ้นในไม่กี่วันที่ผ่านมา เมื่อมันได้เห็นอาหารล็อตใหม่ที่โยนไปให้ตรงหน้า มันก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันที หรือพูดให้ถูกก็คือสัตว์ทุกตัวต่างกระตือรือร้นกันหมด แต่รูปร่างของเจ้าแมวใหญ่ตัวนี้กลับแสดงออกมาให้เห็นได้ชัดเจนที่สุด
ต้วนเจียเจ๋อจับตาดูชาวบ้านที่กำลังแบกถังอาหารซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณห้าสิบกว่าเมตร สิงโตลุกขึ้นเดินวนไปวนมารอบๆ กรง จ้องอีกฝั่งอย่างไม่ละสายตา สามารถพูดได้เลยว่ามันอยากกินจนน้ำลายไหล
เมื่อพวกชาวบ้านเดินเข้ามาใกล้กรง เจ้าสิงโตก็ยิ่งเอาหัวถูไปกับซี่ลูกกรง พอชาวบ้านขยับตัวเล็กน้อย มันก็ขยับร่างกายตามไปด้วย
การให้อาหารของพวกชาวบ้านไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันมากนัก พวกเขาใช้ที่หนีบด้ามยาวคีบเนื้อโยนเข้าไปในกรง จากนั้นก็ไม่ทำความสะอาด ทำให้ภายในกรงสกปรกมาก แต่พอต้วนเจียเจ๋อขอให้พวกเขารีบทำความสะอาดกรง สภาพมันก็ดูดีขึ้นมาก แต่วิธีการให้อาหารของพวกเขาก็ยังไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม
เมื่อชาวบ้านโยนเนื้อวัวเข้าไปในกรง เจ้าสิงโตก็พุ่งเข้าหาอาหารทันทีและฝังหัวลงไป วิธีการกินของมันดูน่าเวทนายิ่งกว่าตอนที่มันหิวโซอดอยากและได้กินอิ่มครั้งแรกเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้นมันยังส่งเสียง “แค็กๆ” ออกมาจากลำคอ ทำให้ต้วนเจียเจ๋อแอบกลัวว่ามันจะสำลักตาย
ชาวบ้านก็ส่งเสียง “เฮ้ย” ออกมา “ทำไมวันนี้ถึงหิวขนาดนี้นะ”
พวกสัตว์ตัวอื่นๆ ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ทำให้พวกชาวบ้านที่เห็นแล้วต่างรู้สึกว่า ผู้อำนวยการคนใหม่จะต้องยกระดับคุณภาพของอาหารอย่างแน่นอน ไม่แปลกใจเลยที่เห็นเขาปกป้องอาหารจากพวกตนเสียขนาดนั้น เพราะเมื่อก่อนพวกตนร่วมมือกันแอบโกงค่าอาหารและขโมยเนื้อสัตว์ไป
ต้วนเจียเจ๋อจ้องมองพวกชาวบ้านอยู่พักหนึ่ง ในขณะที่พวกเขาเริ่มทำความสะอาดอยู่นั้น ต้วนเจียเจ๋อได้เดินกลับไปที่กรงสิงโต เมื่อมาถึงก็มองเห็นเจ้าสิงโตที่เพิ่งจะกินอาหารเสร็จกำลังค่อยๆ ถูปากเลียอุ้งเท้าของมัน และไม่ปล่อยให้เศษอาหารเหลือแม้แต่ซาก
ต้วนเจียเจ๋อเข้าใจการกระทำของมันอย่างถ่องแท้ เพราะเนื้อสัตว์ชิ้นนั้นมันอร่อยมากจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้นเขามักจะรู้สึกว่า หลังจากที่เจ้าสิงโตกินเนื้อพวกนั้นเข้าไป มันดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก ถึงขนาดเรียกว่าเปล่งประกายได้เสียด้วยซ้ำไป เขาไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพราะเขารู้ที่มาของอาหารเหล่านั้น จึงทำให้เกิดผลทางจิตวิทยาขึ้น
________________________________________
[1]照猫画虎 อุปมาหมายถึงการลอกเลียนแบบ
[2] ไม่กินธัญพืชทั้งห้า เรียกว่า ปี้กู่ (辟谷) คือวิธีการฝึกอย่างหนึ่งของนักพรตเต๋า โดยหลีกเลี่ยงการกินธัญพืชทั้งห้าชนิด ได้แก่ ข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี และถั่ว
[3] 道君หมายถึงผู้สูงส่งหรือผู้ยิ่งใหญ่ ในเรื่องจะเป็นคำเรียกที่ผู้อื่นใช้เรียกแทนตัวลู่ยา
คอมเมนต์