เมื่อผมเป็นเจ้าของสวนสัตว์ ตอนที่ 1-5

Reader Settings

Size :
A-16A+

บทที่ 1 (5)

วันต่อมา แอพพลิเคชั่นของต้วนเจียเจ๋อได้ส่งข้อความมาอีกครั้ง ภารกิจที่สองถูกส่งมาแล้ว
คำอธิบายภารกิจ : โปรดเตรียมความพร้อมขั้นพื้นฐานเพื่อการเปิดให้บริการอย่างราบรื่นกันเถอะ! เพิ่มจำนวนสัตว์ สามสิบสายพันธุ์ภายในหนึ่งเดือน และรับสมัครพนักงานอย่างน้อยสามคน มิฉะนั้นจะตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวให้พึงพอใจได้อย่างไรกันล่ะ
รางวัลภารกิจ : หลังเสร็จสิ้นภารกิจ ทั้งสวนสัตว์จะได้รับอาหารสัตว์คุณภาพสูงสำหรับสามสิบวัน พร้อมอัพเกรดและปรับปรุงกรงฟรี
สำหรับการสนับสนุนของหลิงเซียวด้านล่างยังคงไม่มีความคืบหน้า ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีสัตว์ตัวใหม่ส่งมาที่นี่ชั่วคราว ทำให้ต้วนเจียเจ๋อโล่งใจไปได้ เพราะแค่ลู่ยาคนเดียวเขาก็ลำบากใจจะแย่อยู่แล้ว
แต่ภารกิจนี้ก็ทำให้ต้วนเจียเจ๋อลำบากใจอยู่เล็กน้อย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการรับสมัครพนักงานใหม่ เพราะเขาก็กำลังทำอยู่แล้ว แต่เดิมทีสวนสัตว์แห่งนี้ก็ไม่ได้ใหญ่ เงินก็มีไม่มากพอ แถมยังจะต้องเพิ่มสัตว์เข้ามาใหม่อีกสามสิบสายพันธุ์ ทำไมรู้สึกว่าความยากของภารกิจที่สองนี้เพิ่มขึ้นมาเฉยเลย
ต้วนเจียเจ๋อรีบวิ่งไปนับจำนวนกรงที่ยังว่างอยู่ซึ่งเหลือไม่มากแล้ว ในตอนที่เขากำลังกระวนกระวายอยู่นั้นเอง ทันใดนั้นเขาก็นึกบางอย่างขึ้นได้ จึงหยิบตารางการให้อาหารสัตว์ก่อนหน้านี้ขึ้นมา แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้!
ในการคำนวณพันธุ์สัตว์ชนิดต่างๆ ก่อนหน้านี้ ถึงจะเป็นพันธุ์นกเหมือนกัน แต่ว่านกยูงกับนกแก้วก็นับเป็นคนละชนิด หมายเลขทั้งหมดจึงเขียนไว้เป็น นกยูงหมายเลขหนึ่ง นกยูงหมายเลขสอง นกแก้วหมายเลขหนึ่ง นกแก้วหมายเลขสอง เป็นแบบนี้
สัตว์ชนิดอื่นไม่ง่ายต่อการที่จะนำเข้ามา แต่ถ้าพูดถึงพันธุ์ของนก ต้วนเจียเจ๋อสามารถไปตลาดดอกไม้และนกเพื่อซื้อพวกมันมาได้เลย ซื้อสายพันธุ์ละตัวและซื้อจนครบสามสิบตัว ก็จะสามารถทำภารกิจได้สำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้น นกก็ไม่ต้องใช้พื้นที่ในการเลี้ยงมาก ดังนั้นข้อจำกัดด้านพื้นที่ถือว่ามีน้อยมาก
ในตอนแรกที่เขาพูดว่าภารกิจเพิ่มความยากขึ้นอย่างกะทันหันนั้น ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะสามารถทำให้สำเร็จได้โดยง่าย
เมื่อคิดได้แล้วก็ลงมือทำทันที ต้วนเจียเจ๋อพกเงินที่มีไปตลาดดอกไม้และนกที่อยู่ในเมืองอย่างเบิกบานใจ

ตลาดดอกไม้และนกของเมืองตงไห่นั้นนับว่าเป็นตลาดที่ค่อนข้างใหญ่ หลังจากที่ต้วนเจียเจ๋อเข้าไปแล้วก็รู้สึกว่า การหานกสามสิบสายพันธุ์นั้นน่าจะไม่ใช่ปัญหา
นกฮวยบี้จีน นกซีซคิน นกปักกิ่งโรบิน นกคีรีบูน นกจาบฝน นกกระจิ๊ดหางขาว นกซีบราฟินช์…
ต้วนเจียเจ๋อไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไรในการเลือกซื้อ เขาจึงเลือกซื้อพันธุ์ที่ถูก ดูแล้วแข็งแรง (แต่ถึงแม้ว่ามันจะไม่แข็งแรง กลับไปป้อนอาหารไม่กี่วันก็จะฟื้นตัวดีขึ้นเอง) การเลือกซื้อผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นจึงถือโอกาสเช่ารถเข็นจากร้านค้า สั่งซื้อกรงมาเป็นพิเศษเจ็ดแปดกรง และวางนกลงไป
แม้ว่านกจะมีหลากหลายสายพันธุ์ แต่ที่สวนสัตว์ก็พอจะมีนกอยู่บ้างแล้ว แถมราคาก็ไม่ได้แพงมาก หลังจากที่ซื้อไปได้ยี่สิบตัวเขาก็นึกอะไรขึ้นได้…เพราะว่าตอนนี้เขามองเห็นร้านขายปลานั่นเอง
อันที่จริงซื้อปลามันสะดวกกว่าซื้อนกเสียอีก!
ต้วนเจียเจ๋อมีความสุขมากที่หาร้านเจอ เขาเลือกซื้อปลาสวยงามหลายสิบสายพันธุ์ในราคาที่ย่อมเยา เพียงเท่านี้ก็น่าจะพอแล้ว จนถึงตอนนี้เขาใช้เงินหมดไปสองสามพันหยวนเป็นค่าตู้ปลาไปจนถึงกรงนกเพื่อให้พวกมันอยู่ร่วมกัน
เดิมทีแล้วภายในสวนสัตว์ไหเจี่ยวก็เคยเลี้ยงปลาเอาไว้ แต่บ่อน้ำนั้นเหือดแห้งไปนานแล้ว บรรดาปลาจึงตายไปหมด อีกทั้งในบ่อน้ำนั้นล้วนแต่เป็นเพียงปลาทองธรรมดาๆ ซึ่งเมื่อก่อนก็ได้ให้นักท่องเที่ยวเช่าตาข่ายตักพวกมันกลับไป
ต้วนเจียเจ๋อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถ้าบ่อน้ำว่างเปล่าแบบนั้นก็คงจะน่าเกลียด ดังนั้นเขาเลยซื้อปลาทองเพิ่มอีกสามสิบตัว
มาถึงตอนนี้เขามีปลาทั้งหมดสามสิบตัวแล้ว ในตอนที่ต้วนเจียเจ๋อซื้อตู้ปลา เขาก็วางแผนที่จะใส่ปลาสวยงามลงไปรวมกันทั้งหมด ส่วนปลาทองก็ใส่ลงไปในบ่อน้ำ แต่ตอนนี้เขาเอาพวกมันทั้งหมดมารวมอยู่ในตู้เดียวกัน พอมองดูแล้วก็รู้สึกอึดอัดอยู่นิดหน่อย
ต้วนเจียเจ๋อตบตู้ปลา พูดเองเออเองว่า “พวกแกอยู่ในนั้นกันดีๆ นะ กลับไปแล้วค่อยแยกบ้านกัน”
พ่อค้าช่วยต้วนเจียเจ๋อย้ายตู้ปลาไปวางบนรถเข็น ต้วนเจียเจ๋อเป็นเพียงแค่คนธรรมดา ส่วนเขาที่เป็นพ่อค้าทำไมจะต้องเอ่ยปากเตือนลูกค้าที่เอาปลามารวมกันไว้แบบนี้ว่าไม่ดีด้วยล่ะ เขาแทบอยากจะให้ปลาพวกนั้นตายๆไปซะ ลูกค้าจะได้กลับมาซื้อปลาใหม่อีกรอบ
แต่ในตอนที่ต้วนเจียเจ๋อจะไสรถเข็นเดินออกไปนั้นเอง ก็ถูกคุณลุงคนหนึ่งรั้งตัวเอาไว้
“พ่อหนุ่ม ทำไมเธอถึงเอาปลามาใส่ไว้ในตู้เดียวกันหมดเลยล่ะ!” คุณลุงถือตัวกรองไว้ในมือ คาดว่าเขาน่าจะเป็นคนชอบเลี้ยงปลาสวยงาม จึงทนดูไม่ได้ที่เห็นปลาในตู้ปลาขนาดใหญ่ของต้วนเจียเจ๋อผสมปนเปกันแบบนั้น
ต้วนเจียเจ๋อถามอย่างงุนงง “ทำไมเหรอครับ”
คุณลุงบอก “ปลาในนี้ของพ่อหนุ่มมีทั้งใหญ่ทั้งเล็ก แถมยังมีปลากัด ปลาออสการ์…โอ๊ย เธอไม่ต้องการปลาพวกนี้แล้วเหรอ ยังไม่รีบตักมันออกมาอีก! กลับไปนี่เหลือถึงครึ่งหนึ่งก็ไม่เลวแล้ว”
“เหรอครับ ปลามันทะเลาะกันได้ด้วยเหรอ” ต้วนเจียเจ๋อสังเกตปลาที่อยู่ในตู้ของตัวเองอย่างละเอียด “คุณลุง แต่ทำไมผมรู้สึกว่าพวกมันดูจะเข้ากันได้ไม่เลวเลยล่ะครับ”
“เข้ากันได้ไม่เลวตรงไหนกัน” คุณลุงก้มตัวเพื่อต้องการจะชี้ให้เห็นถึงความเข้ากันไม่ได้ของพวกมัน แต่หลังจากที่มองดูอย่างละเอียดแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะสบถออกมา “…โอ้ มันเข้ากันได้ไม่เลวจริงๆ ด้วย”
ในตู้ปลานี้มีปลาหลายพันธุ์หลากสี มีทั้งใหญ่ทั้งเล็ก มีทั้งดุร้ายและเชื่อง แต่กลับไม่กัดกันเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่ง…แม้กระทั่งจะอยู่เบียดเสียดกันมาก ปลาที่สายพันธุ์เดียวกันก็จะว่ายเป็นแถวไปด้วยกัน แต่ถ้าไม่ใช่ พวกมันก็จะว่ายเรียงตามขนาดเล็กไปใหญ่ ต่างคนต่างว่าย อย่างกับมีคนจับพวกมันเข้าแถวอย่างนั้น
คุณลุงเลี้ยงปลามานานหลายปียังไม่เคยพบเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน เขามึนงงอยู่พักหนึ่ง แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “พ่อหนุ่ม เธอนี่มีความสามารถจริงๆ ทำแบบนี้ได้ยังไง”
ต้วนเจียเจ๋ออายจนเหงื่อตก “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมเลี้ยงปลาเก่งมากมาตั้งแต่เด็กแล้ว”
ตอนที่เขาเป็นเด็กก็เลี้ยงพวกปลาทองและเต่าตัวเล็กๆ ต่างจากเพื่อนร่วมชั้นของเขาที่เลี้ยงไปไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ก็หงายท้องตาย ปลาทองตัวน้อยที่เขาเลี้ยงไว้อยู่ได้เป็นสิบๆ ปีถึงจะตายลง เขาไม่เคยรู้สึกว่าการเลี้ยงปลานั้นเป็นเรื่องยุ่งยากมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
บางครั้งเขาก็จะซื้อพวกปลาที่เหี่ยวเฉากลับมา แต่ตอนนั้นเขาไม่สามารถหาตู้ปลามาใส่มันไว้ได้ เลยเอามันไปใส่รวมไว้ในตู้ปลาทองชั่วคราว ก็ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
คุณลุงตื่นเต้นขึ้นมาทันที “ยังมีพรสวรรค์แบบนี้อยู่ด้วยเหรอ เธอเคยเลี้ยงปลาหางนกยูงไหม ในบ้านฉันมีอยู่ตัวหนึ่ง ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร ช่วงนี้มันไม่ค่อยเคลื่อนไหว แถมยังไม่รวมกลุ่มกับตัวอื่นๆ อีก ฉันถามมาหลายคนแล้วก็ยังแก้ปัญหานี้ไม่ได้เลย”
ต้วนเจียเจ๋อจะไปรู้วิธีแก้ปัญหานี้ได้อย่างไรกัน ตัวเขาเองก็เลี้ยงปลามาด้วยความมึนงงอยู่เรื่อยๆ จึงรีบพูดว่าไม่รู้เรื่องทันที คุณลุงผิดหวังมากและเฝ้ามอง “ปาฏิหาริย์” ในตู้ปลาของเขาสักพักก่อนจะกล่าวลา
เมื่อต้วนเจียเจ๋อกลับไปถึงสวนสัตว์ก็เอากรงนกทั้งหมดไปแขวนไว้ที่โรงนก เขาถือโอกาสตอนที่พวกชาวบ้านมาให้อาหารสัตว์ให้พวกเขาช่วยกันทำความสะอาดบ่อน้ำและใส่น้ำสะอาดลงไปอีกครั้ง จากนั้นเอาปลาทองทั้งหมดใส่ลงไป
ส่วนปลาสวยงามที่เหลืออยู่ในตู้ปลาก็ถูกต้วนเจียเจ๋อวางไว้ตรงทางเดินชั้นแรกของอาคารขนาดเล็ก จากนั้นขยับโต๊ะมาแล้ววางไว้ด้านบนเหมือนเป็นตู้โชว์
ลู่ยารู้ว่าตอนนี้ถึงเวลาอาหารแล้ว เขาเดินออกมาเห็นต้วนเจียเจ๋อกำลังจัดตู้ปลาอยู่ก็ถามว่า “นี่อะไร”
ต้วนเจียเจ๋อ “อควาเรียม…”
ลู่ยา “…”
ลู่ยาเผยสีหน้า “นายบ้าไปแล้วเหรอ” ออกมา
แต่เรื่องนี้มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับเขา เขารีบเบี่ยงเบนความสนใจทันที “วันนี้เป็นเนื้ออะไร”
ความหมายของประโยคนี้ก็คือ เต้าจวินอยากกินข้าวแล้ว
ในตอนนี้สัตว์ในสวนสัตว์ทั้งหมด ผู้อำนวยการต้วนเป็นผู้ดูแลอาหารของสัตว์ทุกตัว รวมทั้งยังเป็นผู้ดูแลอีกาทองสามขาแต่เพียงผู้เดียว เขายอมรับชะตากรรมตัวเอง อุ้มถังเนื้อแกะสดใหม่เข้าไปในครัว ตัดสินใจว่าวันนี้จะทอดเนื้อแกะ
เนื้อแกะที่ไร้การปรุงรสถูกเทลงไปในน้ำมันร้อนๆ ชิ้นเนื้อค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนออกมา เขาพลิกเนื้อกลับอีกด้านเพื่อทอดส่วนที่ยังไม่สุกดี ทำให้เนื้อมีสีเข้มขึ้นกว่าเดิม
นายท่านลู่ยายืนดูอยู่ข้างๆ คอยจับตาควบคุมพนักงานทอดเนื้ออยู่ตลอดเวลา
ต้วนเจียเจ๋อทอดเนื้อไปได้ครึ่งทาง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อมองดูแล้วเป็นหมายเลขที่ไม่รู้จัก เขากดรับสายพูดว่า “สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ คุณต้วนเจียเจ๋อหรือเปล่าคะ พอดีฉันเห็นข้อความประกาศรับสมัครพนักงานใหม่ที่คุณโพสต์บนเว็บไซต์หางานตงไห่ค่ะ…”
“อ๊ะ ใช่ครับ ผมเอง” ต้วนเจียเจ๋อดีใจมาก มีคนมาสมัครงานแล้ว…”
เขาวางตะหลิวและรีบวิ่งออกไปด้านนอก
แต่ลู่ยายืนดักขวางหน้าต้วนเจียเจ๋อ เขาออกไปแล้วจะทำยังไงกับเนื้อแกะ เนื้อแกะจะทำยังไงถ้าเขาออกไป
“…” ต้วนเจียเจ๋อชนเข้ากับร่างของลู่ยาและไม่สามารถเดินต่อไปข้างหน้าได้ จึงได้แต่จำใจหันกลับไปทอดเนื้อแกะไปพลางคุยกับผู้สมัครงานไปด้วย
ตำแหน่งที่อีกฝ่ายยื่นสมัครก็คือแผนกบัญชี แน่นอนว่าเรียกแผนกบัญชีเหมือนจะไม่ใช่เรื่องที่ถูก เพราะเนื้อหาของงานยังครอบคลุมไปถึงเหตุการณ์หลังจากที่เปิดสวนสัตว์ซึ่งก็จะต้องขายตั๋วและตรวจตั๋วด้วย…
ฟังจากน้ำเสียงแล้วยังเป็นวัยรุ่นอยู่ ต้วนเจียเจ๋อจึงถามเพื่อความแน่ใจว่าเธอได้รับทราบเกี่ยวกับรายละเอียดของการทำงานแล้วหรือไม่
ในตอนนี้เนื้อแกะทอดเสร็จแล้ว ลู่ยายืนถลึงตาอยู่ข้างๆ ต้วนเจียเจ๋อใช้มือข้างหนึ่งตักเนื้อแกะออกมาวางไว้ในจาน จากนั้นก็ถูกลู่ยาใช้สองมือยกจานออกไปทันที
ต้วนเจียเจ๋อพูดคุยกับหญิงสาวอีกสองสามประโยค และนัดให้มาสัมภาษณ์ในวันพรุ่งนี้
ถ้าหากไม่มีเรื่องราวแปลกๆ เกิดขึ้น ต้วนเจียเจ๋อที่ตอนนี้กำลังขาดแคลนคนงานและต้องการทำภารกิจให้สำเร็จ ขอแค่เธอไม่บกพร่องอะไรก็สามารถรับเธอไว้ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเธอจะยอมอยู่ที่นี่หรือไม่

เช้าวันรุ่งขึ้นต้วนเจียเจ๋อตื่นแต่เช้า เตรียมตัวต้อนรับผู้ที่มาสัมภาษณ์งานคนแรก
น้ำเสียงและรูปลักษณ์ของหญิงสาวที่มาสัมภาษณ์คนนี้ก็เหมือนกับอายุของเธอ เธอหยิบประวัติส่วนตัวออกมาให้ต้วนเจียเจ๋อ พูดอย่างเขินอาย “ฉันชื่อซูซู หรือคุณจะเรียกฉันว่าเสี่ยวซูก็ได้ค่ะ”
ต้วนเจียเจ๋อมองดูอายุที่อยู่บนเรซูเม่ เธออายุน้อยกว่าเขาหนึ่งปี จบการศึกษาในปีนี้เหมือนกัน “เอ๊ะ คุณเรียนเอกภาษาจีนเหรอครับ”
เสี่ยวซูกระอักกระอ่วน “ใช่ค่ะ แต่ว่าฉันมีใบประกอบวิชาชีพบัญชีนะคะ” แต่ก็เป็นแค่ใบรับรองใบเดียวที่มี
บัณฑิตที่จบสาขาการบัญชีและภาษาจีนมีเยอะมาก สถานการณ์การหางานก็ลำบาก เธอก็เหมือนกับต้วนเจียเจ๋อเมื่อครึ่งเดือนก่อนที่หางานมาเป็นเวลานาน
ต้วนเจียเจ๋อพยักหน้าอย่างเข้าใจดี พูดด้วยความจริงใจ “ที่จริงแล้วผมคิดว่าคุณสมบัติของคุณดีมากเลย แต่ผมอยากให้คุณเข้าใจสถานการณ์ของเราว่า ที่นี่ในตอนนี้มีเพียงแค่ผมคนเดียวที่เป็นผู้รับผิดชอบ เจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ก็ยังหาไม่ได้ ได้แต่จ้างให้พวกชาวบ้านที่อยู่รอบๆ มาดูแลแทนชั่วคราว พอถึงตอนนั้นงานของคุณก็จะยุ่งวุ่นวายมาก นอกจากทำบัญชีกับขายตั๋วแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างอื่นให้คุณทำด้วย แน่นอนว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่นี่ไม่ได้เยอะมากนัก แต่รอให้ที่นี่เติบโตขึ้นเมื่อไหร่ เราก็จะจ้างพนักงานเพิ่มขึ้นอีก…”
สำหรับเงินเดือนนั้น เขาให้เดือนละสี่พันหยวนรวมอาหารหนึ่งมื้อ เนื่องจากลู่ยาและสัตว์อื่นๆ ที่จะถูกส่งมาในอนาคตไม่ใช่คน เขาจึงไม่สามารถรวมที่พักให้ได้ มิฉะนั้นความลับอาจจะถูกเปิดเผยได้ง่ายๆ แต่ก็มีค่าที่พักเสริมแทนให้
ต้วนเจียเจ๋อเล่าสถานการณ์จริงให้เสี่ยวซูได้รับรู้ และยังพาเธอชมด้านในสวนสัตว์
แม้ว่าจะยังไม่ค่อยสมบูรณ์ แต่เพราะอาหารคุณภาพสูงที่ได้รับเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา บรรดาสัตว์ทั้งหมดล้วนแต่มีขนเรียบลื่นมันวาวเปล่งประกาย เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ส่งเสียงร้องอย่างเต็มร้อย ทำให้รักษาหน้าของผู้อำนวยการไว้ได้
ในตอนนี้เองลู่ยาที่เดินล้วงกระเป๋ามาจากด้านหน้าก็ได้เดินเข้าไปในอาคารหลังเล็ก สีผมไฮไลท์…ไม่ใช่สิ ผมสีแดงทองเป็นธรรมชาติของเขาเปล่งประกายสะดุดตาภายใต้แสงอาทิตย์ แต่ที่สะดุดตามากไปกว่านั้น แน่นอนว่าจะต้องเป็นใบหน้าของเขา ที่มองดูแล้วทั้งตัวมีแต่ความหยิ่งยโส
การปรากฏตัวของลู่ยาตรงข้ามกับสภาพแวดล้อมที่ดูโทรมแบบนี้มาก เสี่ยวซูเห็นแล้วแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง “นั่นเป็นพนักงานในสวนสัตว์หรือเปล่าคะ” แต่เธอจำได้ว่าต้วนเจียเจ๋อบอกว่าตอนนี้มีเขาเป็นคนดูแลสวนสัตว์เพียงแค่คนเดียว จึงถามออกไปอย่างงุนงง “…เจ้าหน้าที่ให้อาหารสัตว์จากในหมู่บ้านเหรอคะ”
ต้วนเจียเจ๋อเหงื่อตก “ไม่ใช่ ๆ เขาก็เป็นแค่คนนอก”
ปัจจุบันนี้สวนสัตว์ยังไม่ได้เปิดให้บริการ ดังนั้นลู่ยาจึงสามารถเดินเตร็ดเตร่ไปมาได้ แต่หลังจากที่เปิดสวนสัตว์แล้ว เวลาที่เขาทำงานจะต้องกลายร่างเป็นสัตว์ ทุกวันอาจจะต้องเจอกับเสี่ยวซูบ่อยครั้ง ต้วนเจียเจ๋อจึงอธิบายอีกครั้ง “เขาไม่ได้เป็นพนักงานหรอกครับ รอให้สวนสัตว์เปิดเมื่อไหร่ เขาก็จะพักอยู่ที่นี่ในช่วงกลางคืนเท่านั้น”
เสี่ยวซูเกิดความรู้สึกนับถือขึ้นมา “แบบนี้เองเหรอคะ มาแค่ตอนกลางคืนเท่านั้น”
ต้วนเจียเจ๋อ “…”
…เขามักจะรู้สึกว่าน้ำเสียงของเสี่ยวซูออกจะแปลกๆ แต่ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าแปลกตรงไหน
เสี่ยวซูก็คงจะพบเจอความลำบากมามากเช่นเดียวกัน เธอจึงตอบตกลงเซ็นสัญญาอย่างไม่ลังเล ต้วนเจียเจ๋อได้กำหนดเวลาเปิดทำการที่นี่ ช้าสุดคือหลังจากนี้อีกหนึ่งเดือน แต่ยังไม่ระบุวันที่ที่แน่นอน
เป้าหมายของเขาคือการเปิดสวนสัตว์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ และเส้นตายของเวลาในการทำภารกิจก็คือต้องเปิดให้บริการสวนสัตว์ภายในหนึ่งเดือน สัตว์สายพันธุ์ใหม่ได้ซื้อเข้ามาหมดแล้ว ถ้าหลังจากนี้อีกหนึ่งเดือนเขายังไม่สามารถหาพนักงานใหม่เข้ามาเพิ่ม และโดนฟ้าผ่าลงมา เขาก็คงจะไม่ต้องเปิดสวนสัตว์กันพอดี
เดิมทีก่อนที่สวนสัตว์จะเปิดให้บริการ เสี่ยวซูไม่ต้องมาทำงานก็ได้ แต่เป็นเพราะหญิงสาวเสนอตัวขอใช้ช่วงเวลานี้มาฝึกอบรมหรือฝึกงาน โดยให้เงินเดือนเธอเพียงแค่ครึ่งเดียวก็พอ นี่คงเป็นเพราะว่ายากจนจนไม่มีทางเลือก
แต่ว่าตอนนี้ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องฝึกอบรมเลยนี่นา ต้วนเจียเจ๋อไม่มีทางเลือก เสี่ยวซูจึงทำได้แค่แสดงความผิดหวังออกมา การที่บอกให้เธอกลับไปทำงานพาร์ทไทม์เหมือนเดิมทำให้ต้วนเจียเจ๋ออึดอัดใจอยู่ไม่น้อย
เพราะว่าจะต้องเซ็นสัญญากับพนักงาน ต้วนเจียเจ๋อจึงติดต่อกับทนายหวังอีกครั้ง ทนายหวังสงสัยว่าทำไมต้วนเจียเจ๋อถึงไม่ขายสวนสัตว์แล้ว
ต้วนเจียเจ๋อกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และบอกไปว่าเขาตัดสินใจจะเปิดสวนสัตว์แล้ว และตอนนี้ก็กำลังหาพนักงานอยู่
ทนายหวังอวยพรต้วนเจียเจ๋ออย่างประหลาดใจเล็กน้อย แต่ต้วนเจียเจ๋อกลับรู้สึกว่า บางทีใจเขาไม่ได้คิดแบบนั้นเลย
ต่อมาต้วนเจียเจ๋อถึงได้พบว่าเขาได้เอาจิตใจคับแคบของตนไปตัดสินคนที่ใจคอกว้างขวางเสียแล้ว ทนายหวังตั้งใจโทร.มาหาเขา แล้วบอกกับเขาว่า น้องชายของพนักงานที่สำนักงานของพวกเขาช่วงนี้กำลังหางานอยู่ แต่กลับเจออุปสรรคทุกที่ ด้วยความที่โกรธมากเขาจึงตัดสินใจไปย้ายอิฐ
ทนายหวังพูดกับคนคนนั้นว่า หากนายไปย้ายอิฐ สู้ไปเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ไม่ดีกว่าเหรอ เขาคนนั้นก็สนใจขึ้นมาทันที สรุปก็คือ ทนายหวังได้แนะนำพนักงานคนใหม่มาให้กับต้วนเจียเจ๋อ นี่เป็นสิ่งที่ต้วนเจียเจ๋อต้องการมากที่สุด เขารีบกล่าวขอบคุณทันที
ไม่กี่วันต่อมา น้องชายเพื่อนร่วมงานของทนายหวังก็ได้มาสัมภาษณ์ ชายหนุ่มชื่อว่าหลิวปิน แม้ว่าจะมีหน้าตาที่อัปลักษณ์ แต่ก็เป็นคนที่สูงใหญ่แข็งแรง ร่างกายเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ คำพูดและการแสดงออกดูแล้วนับว่าเป็นคนตรงไปตรงมา เข้าโรงเรียนเร็วและจบการศึกษาปีเดียวกันกับต้วนเจียเจ๋อ แต่เขาอายุน้อยกว่าหนึ่งปี ต้วนเจียเจ๋อจึงให้เขาเรียกตัวเองเป็นพี่
หลิวปินคิดไม่ถึงว่าอายุของผู้อำนวยการกับตัวเองจะห่างกันแค่ปีเดียวก็รู้สึกตกใจมาก เขาพูดจากใจอย่างตรงไปตรงมาว่า “คนเราแต่ละคนมันช่างแตกต่างกันจริงๆ ผมลำบากเลือดตาแทบกระเด็นแต่ก็ยังหางานไม่ได้ พี่ต้วนกับผมก็อายุพอๆ กัน แต่กลับมาจ้างงานผม เฮ้อ! งานหายาก ยิ่งงานของวิชาชีพวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมก็ยิ่งยากไปอีก ผมเกือบจะต้องไปย้ายอิฐแล้ว”
เมื่อฟังคำตัดพ้อที่คุ้นหูเช่นนี้ ต้วนเจียเจ๋ออดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหล “น้องชาย นายก็จบวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมมาเหรอ จบจากมหาวิทยาลัยไหนมา”
ทั้งสองได้แต่มองหน้ากันไปมา คิดไม่ถึงว่าต่างฝ่ายต่างก็มีที่มาเช่นนี้ หลังจากที่ทั้งคู่พูดคุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับสาขาวิชาชีพก็ยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้น
เหตุการณ์หลังจากนี้เป็นไปอย่างราบรื่น เดิมทีหลิวปินคิดว่าจะไม่โอเคกับงานนี้ แต่เมื่อรู้ว่าผู้อำนวยการกับตัวเองนั้นเรียนสาขาเดียวกัน เขาจึงไม่ลังเลที่จะทำงาน เพราะที่ทำงานนี้มีรุ่นพี่อยู่ ดังนั้นเขาจึงตกลงเซ็นสัญญาจ้างงานกับต้วนเจียเจ๋อ
ต้วนเจียเจ๋อรับสมัครพนักงานได้สองคนในชั่วพริบตา เมื่อกลับมาก็โทร.หาเสี่ยวซู บอกเธอให้เข้ามาฝึกอบรม
เป้าหมายของต้วนเจียเจ๋อก็คือพนักงานสามคน ตอนนี้รับสมัครเข้ามาได้สองคนแล้ว เขาคิดว่าสามารถยืนหยัดด้วยตัวเองได้แล้ว จึงให้พวกชาวบ้านไม่ต้องกลับมาทำงานที่นี่อีก และรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย เพราะการที่จะต้องมาคอยจับตาดูพวกชาวบ้านทุกครั้งนั้นเหนื่อยยิ่งกว่าทำงานด้วยตัวเองเสียอีก
เสี่ยวซูดีใจมาก เมื่อไม่กี่วันก่อนเธอยังสู้รบปรบมือกับงานพาร์ทไทม์ซึ่งเหนื่อยกว่างานที่นี่มาก มาถึงที่นี่แล้ว ต้วนเจียเจ๋อก็ดูแลหญิงสาวตามปกติ ให้เธอไปให้อาหารสัตว์เล็กๆ เช่นพวกนกและปลา รอให้พวกพนักงานเลี้ยงสัตว์เข้ามาครบเมื่อไหร่ เธอก็ไม่จำเป็นต้องมาให้อาหารบรรดาสัตว์เล็กๆ เหล่านี้อีก
อย่างไรก็ตาม ต้วนเจียเจ๋อที่อยู่มาก่อนพวกเขาหลายวันรู้ดีว่าลู่ยาสามารถทำให้บรรดาสัตว์นั้นเชื่องได้ และก็ยังเคยเห็นความตะกละของสัตว์เหล่านี้ ดังนั้นในตอนที่เขาให้อาหารพวกมันจึงไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวอะไร
จะต้องกลัวอะไรกัน เจ้าสิงโตไม่มีทางคิดว่าตัวเขาอร่อยกว่าเนื้อที่เป็นรางวัลจากโครงการแห่งความหวังนั่นอย่างแน่นอน…
ท่าทางที่ดูชำนาญแบบนี้ทำให้เสี่ยวซูและหลิวปินนึกว่าต้วนเจียเจ๋อเป็นผู้เชี่ยวชาญเสียอีก
พวกเขาล้วนแต่เป็นคนหนุ่มสาว ผ่านไปแค่ไม่กี่วันทุกคนก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
ลู่ยาจะออกมาอยู่ต่อหน้าผู้คนเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถึงเวลาอาหาร
ช่วงนี้ต้วนเจียเจ๋อกับลุงยามตรงสวนสาธารณะเข้ากันได้ดีมาก พอได้ยินว่าพวกเขาจะไปซื้อผักสดจากชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียง ก็พาเขาไปหาพวกชาวบ้าน ในที่สุดก็ตกลงที่จะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งในทุกๆ เดือนเพื่อให้พวกชาวบ้านส่งผักสดจากในหมู่บ้านมาให้
เดิมทีถ้าเป็นผักเล็กๆน้อยๆพวกเขาอาจจะขี้เกียจเกินกว่าจะมาส่งได้ แต่เนื่องจากสวนสัตว์แห่งนี้อยู่ติดกับสวนสาธารณะ พนักงานที่นั่นก็สั่งอาหารเป็นจำนวนมาก ดังนั้นพวกเขาจึงถือโอกาสนี้มาส่งให้
ในเมื่อมีผักแล้ว ต้วนเจียเจ๋อก็ลงมือทำกับข้าวด้วยตัวเอง เสี่ยวซูและหลิวปินก็อยู่ที่นี่ด้วย พวกเขาสองคนไม่มีใครรู้วิธีทำอาหาร มื้อกลางวันนี้เขาจึงต้องทำอาหารสำหรับพนักงานเพิ่มอีกสองที่ แต่นอกเหนือจากนั้นแล้วเขายังจะต้องเปิดเตาทำอาหารให้ลู่ยาด้วย
ดังนั้นทุกวันตอนเที่ยงหลิวปินและเสี่ยวซูที่กำลังหิวจนท้องร้องก็มองดูต้วนเจียเจ๋อที่หิวจนท้องร้องเหมือนกันยืนทำอาหารให้ลู่ยา ส่วนลู่ยานั่งลงข้างๆ และกินอาหารของตัวเอง (ต้วนเจียเจ๋อยังแอบแบ่งไว้นิดหน่อย แต่สำหรับสองคนนั้นลืมไปได้เลย) หลังจากนั้นต้วนเจียเจ๋อถึงลงมือทำอาหารให้กับพวกเขา สามคนต่อหนึ่งเมนู เห็นได้ชัดเลยว่าอาหารของลู่ยานั้นแตกต่างเป็นอย่างมาก
พูดตามตรง หลิวปินรู้สึกอิจฉามาก
“ผมรู้สึกว่า…กับข้าวของพี่ลู่มักจะดีกว่าของพวกเราเสมอเลยนะครับ” หลิวปินพูดขึ้นเบาๆ อันที่จริงกับข้าวของพวกเขาก็ไม่ได้แตกต่างเท่าไรนัก ดูแล้วต้วนเจียเจ๋อก็ทำแบบเดียวกัน แต่ไม่รู้ว่าเป็นที่จิตใต้สำนึกของเขาหรือเปล่า ถึงได้รู้สึกว่าอาหารของลู่ยานั้นดูน่าอร่อยกว่า”
เสี่ยวซู “เพราะในนั้นมีเครื่องปรุงไม่เหมือนกัน”
หลิวปินอ้าปากกว้าง “อะไร ผงชูรส?”
เสี่ยวซูยื่นทั้งสองมือออกมาทำเป็นรูปหัวใจ “มันคืออันนี้!”
หลิวปิน “…”
หลิวปินสั่นสะท้านไปทั่วร่าง ไม่กล้าที่จะโต้แย้งออกมา
หลังจากที่รับหลิวปินและเสี่ยวซูเข้ามาทำงาน ต้วนเจียเจ๋อก็ไม่ได้จ้างพนักงานคนที่สามทันที มีหลายคนที่โทรศัพท์เข้ามาสอบถาม แต่คนที่เข้ามาสัมภาษณ์จริงๆ มีเพียงแค่ไม่กี่คน ยิ่งคนที่จะเซ็นสัญญาก็ยิ่งไม่มีเลย
เช้าวันนี้ต้วนเจียเจ๋อตื่นขึ้นมาและเดินไปที่หน้าประตูเพื่อรับผัก เขาเห็นคุณลุงคนหนึ่งที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนยืนอยู่ข้างคุณป้าที่มาส่งผัก คุณลุงคนนี้สวมแว่นตา มองดูแล้วน่านับถือมาก
คุณป้าแนะนำคุณลุงคนนี้ให้กับต้วนเจียเจ๋อ บอกว่าเขาคืออาจารย์จ้าวจากโรงเรียนประถมของหมู่บ้านถงซิน
อาจารย์จ้าวและต้วนเจียเจ๋อจับมือทักทายกัน สิ่งนี้ทำเอาต้วนเจียเจ๋อตกใจอยู่ไม่น้อย “สวัสดีครับ อาจารย์จ้าว”
“สวัสดี คุณคือเสี่ยวต้วนใช่ไหม ผมได้ยินมาว่าตอนนี้คุณเป็นผู้อำนวยการของสวนสัตว์หลิงโย่วแห่งนี้เหรอครับ” อาจารย์จ้าวยิ้มอย่างลำบากใจนิดหน่อย จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ที่ผมมาที่นี่ อันที่จริงแล้วผมมีเรื่องอยากจะขอร้องคุณ…”
ทันทีที่อาจารย์จ้าวเปิดปากพูดออกมาช้าๆ ต้วนเจียเจ๋อถึงได้รู้จุดประสงค์ในการมาที่นี่ของเขา
แต่ไหนแต่ไรมา ก่อนที่สวนสัตว์แห่งนี้จะตกเป็นของต้วนเจียเจ๋อ ในช่วงนี้ของทุกปี สวนสัตว์ไหเจี่ยวได้ให้นักเรียนโรงเรียนประถมของหมู่บ้านถงซินเข้ามาเยี่ยมชมสวนสัตว์ฟรี
ในปีนี้ เด็กนักเรียนที่สามารถเข้าเมืองได้ก็จะเข้าไปในเมืองกันหมด ส่วนนักเรียนประถมที่ยังคงอยู่ในหมู่บ้านก็คือเด็กที่ฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี ทางโรงเรียนที่ไม่สามารถจัดกิจกรรมนอกห้องเรียนให้ได้จึงได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนโครงการนี้ฟรี นับเป็นกิจกรรมใหญ่ที่พวกเด็กนักเรียนเฝ้ารอคอย
ต้วนเจียเจ๋อชะงักไปครู่หนึ่ง เขาไม่คิดเลยว่าสวนสัตว์เล็กๆ ที่ใครหลายคนมองข้าม แท้จริงแล้วกลับมีบางคนที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยมันอยู่ เขาคิดอยู่พักหนึ่งจึงพูดขึ้นว่า “อาจารย์วางใจได้เลยครับ ข้อตกลงนี้จะยังคงดำเนินต่อไปได้ครับ อาจารย์สามารถพาพวกเด็กๆ มาที่นี่ได้ตลอดเวลาเลยครับ”
“ขอบคุณมากนะครับ” อาจารย์จ้าวจับมือของต้วนเจียเจ๋อพลางกล่าวขอบคุณซ้ำไปซ้ำมา ในตอนแรกเขาได้ยินว่าสวนสัตว์ไหเจี่ยวจะปิดตัวลง แต่ต่อมาเขากลับได้ยินอีกครั้งว่าสวนสัตว์ได้มีการเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนเจ้าของ อันที่จริงเรื่องนี้ก็ทำให้เขาหมดหวังอยู่เหมือนกัน แต่ใครจะไปรู้ว่าผู้อำนวยการของที่นี่ยังดูวัยรุ่นเหมือนกับเด็กนักเรียนอยู่เลย แถมยังใจดีมากอีกต่างหาก
ก่อนที่จะลาจากกันไป อาจารย์จ้าวได้พูดคุยปรึกษากับต้วนเจียเจ๋อ และหวังว่าจะได้เจอกันใหม่ในอีกสองวันข้างหน้า
ถึงแม้ว่าสวนสัตว์จะยังไม่ได้เปิดทำการ แต่ต้วนเจียเจ๋อก็ตกปากรับคำไปเป็นที่เรียบร้อย เขารีบกลับไปบอกทุกคนว่า “ทุกคน พวกเราต้องทดสอบระบบภายในกันแล้วละ”
หลิวปินไม่มีการตอบสนองใดๆ “ทดสอบระบบภายใน?”
เสี่ยวซู “จะมีนักท่องเที่ยวมาเหรอคะ”
ต้วนเจียเจ๋อบอกเรื่องที่ตนจะต้อนรับเด็กนักเรียนประถมให้เข้ามาชมสวนสัตว์ฟรีให้พวกเขาฟัง หญิงสาวอารมณ์ดี รีบพูดขึ้นว่า “พระเจ้า เป็นแฟนคลับดั้งเดิมของสวนสัตว์ไหเจี่ยวนี่เอง ผู้อำนวยการคะ คุณคิดว่าพวกเขาจะถามพวกเราไหมคะว่าทำไมถึงต้องเปลี่ยนชื่อเป็นหลิงโย่วด้วย”
ต้วนเจียเจ๋อพูดอย่างใจเย็น “พวกเขาอาจจะถามก่อนก็ได้ว่า คำว่า ‘โย่ว’ อ่านออกเสียงยังไง”
เสี่ยวซู “…”
ต้วนเจียเจ๋อแอบไปหาลู่ยาอย่างลับๆ “เอ่อ เต้าจวิน พรุ่งนี้อยากกินอาหารแบบตุ๋นหรือแบบนึ่งดีครับ”
ลู่ยาที่กำลังนอนกระดิกเท้าดูทีวีอยู่ เห็นคนเลี้ยงสัตว์ที่มักจะโต้เถียงกับตัวเองอยู่ตลอดเวลามีท่าทีเชื่อฟัง ถามความคิดเห็นของตน เขาก็ทะนงตนขึ้นมาด้วยความพอใจ พูดอย่างสงวนท่าทีว่า “ถ้างั้นก็เอาครึ่งหนึ่งตุ๋นครึ่งหนึ่งนึ่งละกัน”
“ได้เลยครับไท่จวิน[1]” ต้วนเจียเจ๋อแสร้งประจบเป็นลูกน้องที่ดี
ลู่ยารู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้ยินอะไรผิดไป “นายพูดอะไรนะ”
ต้วนเจียเจ๋อทำหน้าไร้เดียงสา พูดว่า “ผมก็พูดว่า ‘ได้เลยครับเต้าจวิน’ ทำไมเหรอครับเต้าจวิน”
ลู่ยามองเขาด้วยความสงสัย จากนั้นก็ส่งเสียง “หึ” ออกมาและไม่ได้พูดอะไรต่อ
ต้วนเจียเจ๋อพูดขึ้นอีกว่า “คือแบบนี้ครับ ช่วงนี้ผมได้เรียนรู้ประสบการณ์การดำเนินกิจการของสวนสัตว์อื่นๆ จากอินเทอร์เน็ต ผมรู้สึกว่ามันไม่เลวเลยทีเดียว แต่ระดับความเชี่ยวชาญในการทำสวนสัตว์ของพวกเราตอนนี้คงทำแบบนั้นไม่ได้ แล้วอีกสองวันข้างหน้าจะมีนักท่องเที่ยวมาทดสอบระบบภายในใช่ไหมครับ นี่เป็นก้าวแรกสู่ความสำเร็จในอนาคตของพวกเรา ผมเลยคิดว่า ควรจะทำให้พวกเขารู้ถึงความแตกต่างของสวนสัตว์ไหเจี่ยวกับหลิงโย่วในตอนนี้…”
ลู่ยามองต้วนเจียเจ๋อตาขวางทันที “นายอยากจะทำอะไรกันแน่”
ต้วนเจียเจ๋อ “แหะๆ…”
ลู่ยา “…”

________________________________________
[1] 太君 หมายถึงท่านผู้ยิ่งใหญ่ ในที่นี้คือต้วนเจียเจ๋อแอบประชดลู่ยาอยู่

คอมเมนต์

Chapter List