เมื่อผมเป็นเจ้าของสวนสัตว์ ตอนที่ 2-1
บทที่ 2 (1)
จำนวนนักเรียนของโรงเรียนประถมถงซินตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 นับรวมกันแล้วมีเพียงแค่ห้าสิบกว่าคนเท่านั้น อาจารย์จ้าวและอาจารย์เหยียนสอนทุกระดับชั้น รวมไปจนถึงสอนทุกรายวิชาด้วย
ตอนที่อาจารย์จ้าวบอกกับทุกคนว่า กำหนดการปีนี้จะได้ไปเที่ยวสวนสัตว์ไหเจี่ยวตามปกติ ไม่สิ ตอนนี้ควรเรียกว่าสวนสัตว์หลิงโย่วแล้ว เด็กนักเรียนทุกคนล้วนส่งเสียงโห่ร้องดีใจกันไม่หยุด
ส่วนนักเรียนประถมชั้นปีสูงๆ ต่างถกเถียงกันว่า “หนูอยากไปดูซาซา มันจะต้องจำหนูได้แน่นอน”
“มั่ว มันชื่อเหลยเตี้ยนต่างหาก…”
เพราะหนึ่งปีไปหนึ่งครั้ง พวกเขายังได้ตั้งชื่อให้กับบรรดาสัตว์ต่างๆ แต่ละคนก็ตั้งชื่อแตกต่างกัน จึงง่ายที่จะเกิดการทะเลาะกันขึ้น
บนเวที อาจารย์จ้าวได้เน้นย้ำในเรื่องข้อควรระวังและเวลาที่จะออกเดินทางในวันมะรืนนี้
ในวันที่สาม เหล่านักเรียนของโรงเรียนประถมถงซินก็ได้มารวมตัวกันที่หน้าอาคารเรียน เข้าแถวเป็นสองแถว โดยนักเรียนที่อยู่ด้านหลังจับเสื้อของคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าไว้
แต่ว่าในบรรดานักเรียนกลุ่มหนึ่ง อาจารย์จ้าวสังเกตเห็นเด็กคนหนึ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน “หนูน้อย เธอไม่ใช่เด็กของโรงเรียนเรานี่ แล้วพ่อแม่เธอล่ะ”
รูปร่างของเด็กคนนี้่ดูเหมือนจะอยู่ชั้นประถมปีที่สี่ เป็นเด็กผิวขาวหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู แต่งกายสะอาดสะอ้าน แต่กลับทำหน้าหงิกหน้างอไม่มีความสุข อาจารย์จ้าวรู้จักเด็กทุกคนในหมู่บ้านถงซิน แต่ไม่เคยเห็นเด็กคนนี้มาก่อน
“คุณครูครับ เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของผมเองครับ เมื่อวานเขามาเล่นที่บ้านผม พ่อกับแม่ของผมจึงให้เขามากับผมด้วยครับ” เด็กอีกคนหนึ่งยกมือและพูดขึ้น
“จางซุ่น นี่พี่ชายของเธอเหรอ เขาไม่ต้องไปโรงเรียนงั้นเหรอ” อาจารย์จ้าวไม่มีทางเลือก ปกติแล้วพ่อแม่ของจางซุ่นจะต้องไปทำงานที่ทุ่งนาทุกวัน แต่ก่อนถ้าหากว่ามีญาติหรือลูกหลานมาพัก ส่วนมากแล้วจะไม่ให้จางซุ่นมาโรงเรียน เขายังเคยเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าจะต้องให้จางซุ่นมาโรงเรียนให้ได้ ตอนนี้ก็ถือเป็นเรื่องดีแล้วที่จางซุ่นไม่โดดเรียน แต่กลับพาญาติมาด้วยแทน”
“ใช่แล้วครับ พี่ชายผมหยุดแล้ว เขาเป็นนักเรียนของโรงเรียนประถมสือเยี่ยน พวกเขาปิดเทอมกันแล้วครับ” จางซุ่นพูดอย่างภาคภูมิใจ
เด็กนักเรียนคนอื่นไม่ได้แปลกใจอะไร มิหนำซ้ำยังมองไปที่พี่ชายของจางซุ่นอย่างอิจฉา แต่อาจารย์จ้าวสังเกตได้ถึงความผิดปกติ โรงเรียนที่ไหนถึงจะมาปิดเทอมในช่วงนี้กันล่ะ แต่เขาก็ไม่ได้พูดออกไป แค่ถามพี่ชายของจางซุ่นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็จะมาทัศนศึกษากับพวกเราใช่ไหม เธอชื่ออะไรเหรอ”
“ผมชื่อจ้าวป๋อ” เด็กน้อยพูดงึมงำอย่างหงุดหงิด
แน่นอนว่าจ้าวป๋อไม่ได้มาที่นี่เพราะโรงเรียนปิดเทอม แต่เป็นเพราะเขาทะเลาะกับเพื่อนร่วมชั้นที่โรงเรียนจึงถูกคุณครูสั่งพักการเรียน จากนั้นก็ถูกพ่อกับแม่เอาเขามาทิ้งไว้ที่หมู่บ้านในชนบท บอกว่าอยากให้เขารู้จักกับความลำบาก
น้อยครั้งที่จ้าวป๋อจะมาเที่ยวบ้านของจางซุ่น ถึงจะมาก็ไม่เคยค้างคืน แต่จางซุ่นจะไปเล่นที่บ้านของเขาเป็นครั้งคราว เพิ่งมาถึงที่นี่แค่วันเดียวจ้าวป๋อก็ลำบากจะแย่อยู่แล้ว ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ไม่มีคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ก็ถูกยึดไป ไม่มีอะไรเล่นเลยสักอย่าง ลูกพี่ลูกน้องของเขาก็เล่นแต่โคลน แถมวันนี้ยังจะไปสวนสัตว์บ้าบออะไรนั่นอีก…
อาจารย์จ้าวกำชับเรื่องข้อควรระวังกับจ้าวป๋ออีกครั้ง และให้จางซุ่นดูแลลูกพี่ลูกน้องของตนให้ดี หลังจากที่ประกาศให้ออกเดินทาง ทุกคนก็เข้าแถวแล้วไปที่ถนนใหญ่ จากนั้นก็ยืนรอรถประจำทางมา
ยังไม่ถึงสวนสัตว์ จางซุ่นก็อดทนไม่ไหว ดีอกดีใจแนะนำเพื่อนเก่าของเขาให้กับลูกพี่ลูกน้อง “พี่ชาย ในสวนสัตว์มีสิงโตที่ตัวใหญ่มาก ขนาดนี้เลย เสียงร้องก็ดังมาก และก็ยังมีลิงอีกนะ…”
จ้าวป๋อได้ยินจางซุ่นที่พูดพล่ามไม่หยุดจนหมดความอดทน “ตื่นเต้นอะไรนักหนา สวนสัตว์ในเมืองมีทั้งฝูงสิงโต แถมยังมีเสือ จระเข้ อูฐ แพนด้าตัวใหญ่…”
จ้าวป๋อพูดชื่อสัตว์ออกมามากมาย จากนั้นก็เสริมขึ้นอีกประโยคว่า “ฮึ ฉันไม่ชอบไป สวนสัตว์ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนุกตรงไหน
เมื่อจางซุ่นได้ยินดังนั้นก็ฝันอยากที่จะไปบ้าง เขาแปลกใจกับอาการไม่ชอบสวนสัตว์ของจ้าวป๋อเอามากๆ ถ้าเขาได้อยู่ในเมือง เขาก็อยากไปเที่ยวสวนสัตว์ที่พี่ชายเขาพูดถึงทุกสัปดาห์เลย
เพื่อนร่วมชั้นของจางซุ่นได้ยินคำพูดของจ้าวป๋อ พวกเขาก็พยายามระดมสมองคิดหาสิ่งที่ไม่เหมือนกับสวนสัตว์หลิงโย่วแห่งนี้ แต่พอคิดไปคิดมา สัตว์ที่อยู่ที่นั่นจ้าวป๋อก็พูดออกมาหมดแล้ว ไม่มีมากไปกว่าที่จ้าวป๋อพูดออกมาเลย
ท้ายที่สุดจึงทำได้แค่พูดตะกุกตะกักออกมา “…ตะ แต่ว่าข้างๆ สวนสัตว์มีสวนสาธารณะไหเจี่ยวอยู่ด้วย”
ความจริงก็คือไม่มีอะไรที่น่าคุยโม้เกี่ยวกับสวนสัตว์เลย พวกเขาไปที่สวนสัตว์ทุกปี แต่ไม่เห็นว่าจะมีสัตว์ใหม่เพิ่มเข้ามา มีแต่สิงโตที่ผอมลงเรื่อยๆ ในแต่ละปี
เหล่านักเรียนส่งเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กโหวกเหวกโวยวายไปตลอดทางจนมาถึง “สถานีสวนสาธารณะไหเจี่ยว” ทั้งหมดลงจากรถแล้วตรงไปยังสวนสัตว์หลิงโย่วที่อยู่ข้างๆ ทันที
สวนสัตว์ยังไม่เปิด ประตูใหญ่จึงถูกล็อกเอาไว้ อาจารย์จ้าวหยิบโทรศัพท์ออกมาโทร.หาต้วนเจียเจ๋อ หลังจากนั้นไม่นานเสี่ยวซูก็วิ่งออกมาเปิดประตูให้
“สวัสดีค่ะ อาจารย์จ้าว ผู้อำนวยการต้วนของพวกเรากำลังดูแลนกตัวใหม่อยู่ค่ะ” เสี่ยวซูจับมือทักทายกับอาจารย์จ้าว “ฉันชื่อเสี่ยวซูค่ะ ครั้งนี้ฉันจะเป็นคนพาทุกคนเยี่ยมชมที่นี่เอง”
“ขอบคุณครับ รบกวนคุณแล้ว” อาจารย์จ้าวกล่าวด้วยรอยยิ้ม อันที่จริงพวกเขามาที่นี่จนคุ้นเคยกับสถานที่แล้ว อีกอย่าง เมื่อก่อนสวนสัตว์ไหเจี่ยวก็ไม่เคยส่งคนมาต้อนรับอยู่แล้วด้วย
แต่หลังจากที่เดินเข้าไปอาจารย์จ้าวก็รู้แล้วว่าทำไม ไม่ใช่เพราะว่าสวนสัตว์เห็นความสำคัญของพวกเขา แต่เพราะมองแค่แวบเดียวก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีพนักงานคนอื่นเลย
กรงของสัตว์ที่นี่ก็ค่อนข้างทรุดโทรม ต่างจากสวนสัตว์ใหญ่ทั่วไปที่ใช้กระจกกั้นให้สัตว์และนักท่องเที่ยวแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง กรงแบบนี้มันง่ายต่อการที่นักท่องเที่ยวจะกระโดดข้ามเข้าไป ต้องมีพนักงานคอยดูแลเท่านั้นถึงจะปลอดภัย
ที่ด้านหน้าของพวกเขาในตอนนี้เห็นแค่คนเลี้ยงสัตว์ที่เป็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังยุ่งอยู่กับการให้อาหารสิงโตอยู่ไม่ไกล ส่วนต้วนเจียเจ๋อที่บอกว่ากำลังดูแลนกตัวใหม่อยู่ จึงไม่แปลกหรอกที่จะให้เสี่ยวซูมาดูแลพวกเขาแทน…
อาจารย์จ้าวและอาจารย์เหยียนอธิบายข้อมูลให้นักเรียนตามปกติ เดินชมทีละกรงและอธิบายให้นักเรียนฟังทีละกรง
ทันทีที่เดินมาถึงกรงใหญ่ หลังจากมองเห็นสัตว์ที่อยู่ในกรง อาจารย์จ้าวก็ประหลาดใจ ถามเสี่ยวซูขึ้นว่า “พวกคุณรับสิงโตใหม่เข้ามาเหรอครับ”
“ไม่มีนะคะ” เสี่ยวซูก็มาใหม่เหมือนกันจึงยังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ “ผู้อำนวยการพูดว่าสัตว์ที่นี่คือสัตว์ที่เหลืออยู่ในไหเจี่ยวตั้งแต่แรก น่าจะไม่มีสัตว์เข้ามาใหม่นะคะ”
“ไม่มีเหรอครับ” อาจารย์จ้าวกับอาจารย์เหยียนหันมามองหน้ากันไปมา ครั้งสุดท้ายที่มาที่นี่เขาไม่ได้เดินเข้ามาดู แต่พอมาดูตอนนี้ สิงโตตัวนี้กลับมีชีวิตชีวาและมีพละกำลังแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก ขนบนร่างกายสะอาดสะอ้านนุ่มลื่น ส่องประกายเงางาม สายตาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ถึงแม้ว่ามันจะนอนคว่ำหน้าอยู่ตรงนั้น แต่กลับไม่มีท่าทีแห้งเหี่ยวเหมือนแต่ก่อน
เจ้าสิงโตที่พวกเด็กๆ กำลังเยี่ยมชมอยู่ก็ลุกขึ้นมาส่งเสียงคำรามลั่นดังไปทั่วฟ้า มันดังยิ่งกว่าเมื่อก่อนอีกสิบเท่า ทำให้ในตอนนี้เด็กนักเรียนประถมตัวน้อยที่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกตกใจจนร้องไห้ระงมกันไปหมด
เสี่ยวซูใช้ไม้ตะบองเคาะไปที่ลูกกรง เจ้าสิงโตก็ก้มหน้าเดินกลับไปที่เดิม จากนั้นเธอก็ปลอบเพื่อนตัวน้อยว่า “อย่าร้องนะคะ ดูสิ เจ้าสิงโตไม่คำรามแล้ว”
อาจารย์จ้าวตกใจมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก เมื่อก่อนเจ้าสิงโตมันไม่ได้เชื่องขนาดนี้ เจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ในตอนนั้นก็ไม่ได้มีความเป็นมืออาชีพเลยสักนิดเดียว แม้กระทั่งจะทำให้สิงโตขับถ่ายเป็นที่เป็นทางก็ยังทำไม่ได้เลย
“นี่คุณฝึกมันเหรอครับ” อาจารย์จ้าวถาม
“ฝึกอะไรเหรอคะ” เสี่ยวซูถามอย่างงุนงง “ฉันไม่ใช่เจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ค่ะ ฉันคือเจ้าหน้าที่บัญชี” อีกทั้งไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ แม้ว่าเธอจะช่วยให้อาหารสัตว์เหมือนกัน แต่เธอก็ไม่เคยให้อาหารสัตว์ใหญ่มาก่อน
“คนอื่นฝึกเหรอครับ แต่ผมดูแล้วมันฟังคุณมากเลย” อาจารย์จ้าวหัวเราะ
เสี่ยวซูเกาหัว เธอก็สับสนอยู่เหมือนกัน “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ อาจจะเป็นผู้อำนวยการหาคนมาฝึกละมังคะ ฉันก็เพิ่งจะเคาะเป็นครั้งแรก ฉันเห็นคนอื่นๆ ก็ทำแบบนี้กันทุกคนค่ะ”
ทั้งคู่ต่างก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ จึงไม่ได้สืบสาวหาความจริงอะไรนัก อาจารย์จ้าวก็เริ่มอธิบายเรื่องราวของสิงโตให้ทุกคนฟัง เช่น บ้านเกิดของสิงโตคือที่ไหน ลักษณะนิสัยเป็นอย่างไร
ถึงแม้ว่าพวกนักเรียนจะมีความสุข แต่จำนวนเด็กโตที่มาก็มีเยอะและไม่ได้ฟังสิ่งที่อาจารย์จ้าวพูดเลย กลับยืนกันเป็นกลุ่มสามคนห้าคนเฝ้าดูสิงโตแทน
“มองทางมานี้ เจ้าเหลยเตี้ยน!”
“ว้าว มันโตแล้ว อยากลูบขนมันจังเลย”
จ้าวป๋อพี่ชายของจางซุ่นเมื่อครู่นี้ก็ถูกเสียงคำรามของสิงโตทำให้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปหมด แต่ไม่นานเขาก็กลับมาเหมือนเดิม “แล้วยังไง ฉันเคยเห็นสิงโตคำรามพร้อมกันหลายตัว ดังกว่าเสียงนี้ตั้งเยอะ…”
อาจารย์เหยียนถามเสี่ยวซูที่อยู่ข้างๆ “สวนสัตว์ที่เปิดใหม่ของพวกคุณมีสัตว์ตัวใหม่เข้ามาหรือเปล่าคะ”
“มีค่ะ พวกเรานำพวกนกเข้ามาใหม่เยอะมาก วันนี้ยังมีมาใหม่อีกหนึ่งตัวค่ะ และก็ยังมีอควา…เอ่อ ปลาสวยงามด้วยค่ะ” เสี่ยวซูเกือบจะหลุดปากพูดคำว่าอควาเรียมออกมาเสียแล้ว ตั้งแต่ที่ต้วนเจียเจ๋อเรียกมันแบบนั้น พวกเขาก็เรียกมันแบบขำๆ ว่าอควาเรียมตาม
“ถ้าอย่างนั้นอีกสักพักพวกเราไปดูนกกันก่อนดีกว่า” อาจารย์เหยียนพูดขึ้น
หลังจากที่เยี่ยมชมสัตว์ร้ายเพียงตัวเดียวในสวนสัตว์เสร็จ เสี่ยวซูก็พาพวกเขาไปที่โรงนก
พื้นที่เลี้ยงนกเหล่านี้ดูเรียบง่ายมาก ดูได้จากที่พวกเขาเรียกมันว่าโรงนกก็รู้ ด้านในโรงนกนั้นมีรั้วเหล็กหนา และมีกรงนกแขวนเอาไว้สูงต่ำเป็นจำนวนมากกระจัดกระจายไปทั่ว
เมื่อมองเข้าไปจากที่ไกลๆ จะเห็นได้ว่าต้วนเจียเจ๋อยืนเล่นอยู่กับนกตัวหนึ่งอยู่ภายใน นกตัวนั้นเป็นตัวเดียวที่ไม่ได้เข้าไปอยู่ในกรง มันเกาะอยู่บนมือของต้วนเจียเจ๋อ สีของมันราวกับไฟที่มีสีสันหลากหลาย หัวค่อนข้างใหญ่ น่ารักมากทีเดียว
อาจารย์จ้าวขยับแว่นตา “นั่นมันนกแก้วเหรอครับ”
อาจารย์เหยียน “ปากของมันไม่ค่อยเหมือนนะคะ”
พวกเขาเองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ปรึกษากันสองสามประโยคก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้
เมื่อเปรียบเทียบกับครั้งที่แล้วที่มาเยี่ยมชม ในโรงนกก็มีกรงนกเพิ่มเข้ามาอยู่หลายสิบกรง ดูหนาแน่นขึ้นกว่าเดิมมาก แต่ในขณะที่พวกเขาเดินเข้ามาใกล้ อาจารย์จ้าวถึงสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าประตูของกรงนกนั้นถูกเปิดออกทั้งหมด
ลูกกรงด้านนอกนี้เพียงแค่ใช้แขนข้างเดียวก็สามารถลอดเข้าไปได้แล้ว แม้จะไม่ได้ปิดกรงแต่นกพวกนี้ก็ไม่ได้บินหนีออกไป หรือว่านี่ก็เป็นผลของการฝึกด้วย
เมื่อมองไปด้านข้างโรงนก มีกรงขนาดใหญ่ที่มีนกยูงอยู่สองตัว และก็ไม่ได้ปิดประตูไว้เช่นกัน นกยูงสองตัวเดินนวยนาดไปมา ในที่สุดก็เดินเข้ามาในโรงนกและนั่งลงข้างๆ เท้าของต้วนเจียเจ๋อ
นกหลากหลายสีสันค่อนข้างจะดึงดูดความสนใจได้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้านกยูงสองตัวนั่น พวกเด็กๆ ตื่นเต้นตะโกนใส่พวกมัน “รำแพนหาง รำแพนหางเร็ว!”
ต้วนเจียเจ๋อกล่าวทักทายอาจารย์จ้าว หลังจากแนะนำอาจารย์เหยียนเสร็จ เขาก็หันมาทักทายกับอาจารย์เหยียนด้วย
อาจารย์ทั้งสองท่านอุทานออกมา “ที่นี่เทียบกับเมื่อก่อนแล้วเปลี่ยนแปลงไปมากเลยนะครับ สิงโตดูมีชีวิตชีวามากขึ้น จำนวนของนกก็เพิ่มขึ้น ว่าแต่บนไหล่ของคุณคือนกอะไรเหรอครับ สวยงามมากเลย”
“นกก็สามารถเลี้ยงได้อย่างอิสระแบบนี้เลยเหรอคะ ฝึกได้ดีจริงๆ เลย”
“นี่คืออีกาทองครับ…” ต้วนเจียเจ๋อยิ้มเจื่อน
ถูกต้อง เจ้าตัวที่อยู่บนไหล่ของเขาในตอนนี้ก็คืออีกาทองสามขาตัวสุดท้ายในสามโลก ร่างที่แท้จริงของลู่ยา ในเวอร์ชั่นหดขาที่สามให้เล็กลงและซ่อนมันเอาไว้
“อีกาทอง? พันธุ์ใหม่เลยนะครับเนี่ย มันจะต้องเป็นสัตว์หายากแน่ๆ แถมสวยงามมากอีกด้วย” อาจารย์จ้าวเอ่ยชื่นชม
“ครับ มันหายากมาก” ต้วนเจียเจ๋อหันไปมองลู่ยาที่เงยหน้าขึ้นมา ดูท่าทางภูมิอกภูมิใจมาก จากนั้นก็พูดขึ้นมาอีกสองประโยค “จริงสิ ความจริงแล้วพวกเรามีการแสดงโชว์เล็กๆ น้อยๆ ให้กับพวกเด็กๆ ด้วยครับ”
สมกับที่เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนเจ้าของ มันช่างแตกต่างกันมากจริงๆ แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังมีการแสดงอีก ถ้าเป็นเมื่อก่อน อย่างมากก็คงจะให้ลิงมาหมุนตัวให้ดู
“งั้นก็เยี่ยมไปเลย” อาจารย์จ้าวปรบมือและพูดขึ้น “นักเรียน เงียบๆ หน่อย พี่ผู้อำนวยการสวนสัตว์บอกว่า มีการแสดงโชว์จากพวกนกด้วย พวกเธออยากเห็นกันไหม”
“อยาก!” พวกเด็กๆ ตะโกนออกมาเสียงดัง
จางซุ่นตะโกนออกมาเสียงดังที่สุด แถมเขายังดึงแขนเสื้อของจ้าวป๋อเอาไว้ “พี่ชาย นกน้อยของสวนสัตว์ในเมืองก็มีการแสดงใช่ไหมครับ”
จ้าวป๋อพูดจาดูถูก “ทำไมจะไม่มี นกแก้วที่นั่นยังพูดได้ แถมนับเลขให้ฟังด้วยซ้ำ”
จางซุ่นจ้องมองนกแก้วที่อยู่ในกรงนก “ไม่แน่นกของพวกเราก็อาจจะทำแบบนั้นได้…”
“เต้าจวิน ขึ้นอยู่กับคุณแล้วนะ” ต้วนเจียเจ๋อกระซิบเบาๆ เขายกแขนขึ้นและปล่อยลู่ยาบินขึ้นไป
ลู่ยากลอกตามองบนใส่ต้วนเจียเจ๋อ เขารู้สึกเหมือนฆ่าไก่ใช้มีดฆ่าวัว[1] ที่ลู่ยาเต้าจวินผู้นี้ต้องออกมานำแสดงโชว์ด้วยตัวเองนั้น นับได้ว่าต้วนเจียเจ๋อต้องใช้ความพยายามอย่างยากลำบากกว่าที่ลู่ยาจะยอมออกมาโชว์ตัวได้
ลู่ยาบินในโรงนกหนึ่งรอบ จากนั้นเหล่านกแก้ว นกขุนทอง และนกซีซคินพวกนั้น…ต่างก็กระโดดออกมาจากกรงทีละตัว และกระพือปีกบินร่อนไปพร้อมกับลู่ยา ในขณะที่ลู่ยาบินวนไปรอบๆ นกทุกตัวก็ออกมาจากกรงและบินตามเขาเป็นวงกลม
ในตอนแรกพวกมันก็บินไปตามรั้วของโรงนก จากนั้นก็เปลี่ยนเส้นทาง บินผ่านช่องว่างระหว่างกรงนกที่แขวนเอาไว้สูงต่ำ ราวกับกำลังแสดงทักษะการบินของพวกมันให้ทุกคนดู
“ว้าว”
ภาพฉากที่อยู่ตรงหน้าช่างน่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อย
ห่านป่าบินเป็นฝูงไปทางทิศใต้ ส่วนนกกระจอกเกาะอยู่บนยอดไม้อีกหนึ่งฝูง แต่ฝูงนกของสวนสัตว์ที่มีสายพันธุ์แตกต่างกันนั้นพากันบินเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ ทำให้ดูโดดเด่นมากขึ้นไปอีก ภาพนี้แม้แต่ในโทรทัศน์ก็ยังไม่เคยมีใครได้เห็น
จ้าวป๋อที่เดิมทีแสร้งทำเป็นมองอย่างอื่นเพราะไม่ชอบใจถึงกับลืมที่จะเสแสร้ง เอาแต่จ้องมองฝูงนกที่รวมตัวกันอย่างไม่ละสายตา เขาเสียดายมากที่พ่อแม่ของตนยึดโทรศัพท์มือถือของเขาไป มิฉะนั้นก็คงจะได้ถ่ายฉากที่อยู่ตรงหน้า แล้วเอากลับไปให้เพื่อนร่วมชั้นดู จะต้องเปิดหูเปิดตาของพวกเขาอย่างแน่นอน
เมื่อต้วนเจียเจ๋อเห็นว่าการแสดงที่ตัวเองเป็นคนจัดการได้ผลตอบรับดีเกินคาดจึงมีความสุขมาก จากนั้นก็กระแอมเตือนลู่ยาถึงการแสดงลำดับถัดไป
เห็นเพียงแค่ลู่ยาหันหัวบินเลี้ยวกลับ จากนั้นก็ร่อนลงมาเกาะอยู่บนศีรษะของต้วนเจียเจ๋อ ต้วนเจียเจ๋อพยายามยิ้มออกมาเพื่อไม่ให้คนอื่นรู้ว่าลู่ยาจงใจบินลงมาเกาะบนศีรษะของเขาและแอบข่วนจนเจ็บไปหมด
นกหลายสิบตัวที่บินตามมาก็แยกย้ายกระจัดกระจายกันไปทั่ว มีสองตัวบินออกมาจากช่องว่างในกรง
อาจารย์จ้าวส่งเสียงร้องลั่น ในขณะที่อยากจะพูดว่าพวกมันกำลังจะบินหนีไปแล้ว แต่กลับเห็นว่านกเหล่านั้นไม่ได้บินหนีไป พวกมันกลับบินไปเกาะอยู่บนศีรษะและบนไหล่ของนักเรียนคนละตัว
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องดังขึ้น
เหล่านักเรียนประถมส่งเสียงกรีดร้องด้วยความดีใจ และยังมีบางคนที่ไม่กล้าขยับตัวเคลื่อนไหวเพราะกลัวว่านกบนตัวจะตกใจบินหนี
บนตัวของจ้าวป๋อนั้นมีนกแก้วสีสันสดใสเกาะอยู่ ทำเอาเขาตื่นเต้นมาก ความเบื่อหน่ายในตอนแรกนั้นพลันหายไปหมด “น้องซุ่น ดูสิ! นกแก้วของฉัน!”
บนตัวของจางซุ่นเองก็มีนกเกาะอยู่เหมือนกัน มันเป็นนกซีบราฟินช์ตัวอ้วน แต่เขาไม่รู้จักนกสายพันธุ์นี้ “ผม ตัวนี้ของผมก็น่ารักมากเลย อาจารย์ นี่มันคือนกอะไรครับ”
“อ๊ากกก! ฉันมองไม่เห็นนกบนหัวฉัน บนหัวฉันเป็นนกอะไร”
แม้แต่บนไหล่ของอาจารย์จ้าวเองก็มีนกซีซคินเกาะอยู่ เขาร้องตะโกนออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ ไม่รู้ว่าพวกมันถูกฝึกมาอย่างไร
แต่เหล่าเด็กนักเรียนมีมากกว่าห้าสิบคน นกทุกตัวในโรงนกก็เกาะอยู่บนตัวของนักเรียนแต่ละคน แต่ยังมีเด็กนักเรียนบางคนที่ไม่มีนกมาเกาะ เมื่อพวกเขาเห็นว่าบนตัวคนอื่นมีนกเกาะอยู่หมด แต่ตัวเองไม่มี ก็เกือบทำให้ร้องไห้เกลือกกลิ้งไปบนพื้น
อาจารย์จ้าวและอาจารย์เหยียนรีบจับนกของตัวเองไปไว้ที่ตัวพวกเขา แต่ทำแบบนี้แล้วก็ยังมีนักเรียนอีกสองคนที่ไม่มี
“ฮือๆๆ ผมก็อยากได้ ผมก็อยากได้เหมือนกันครับ”
“อาจารย์ครับ ทำไมผมถึงไม่มีครับ ฮือ นกน้อยไม่ชอบผมใช่ไหมครับ…”
อาจารย์จ้าวมองไปทางต้วนเจียเจ๋อเพื่อขอความช่วยเหลือ
“ไม่ต้องรีบร้อนไป หนูน้อย” ต้วนเจียเจ๋อหยิบราวไม้ไผ่และรีบไล่นกยูงสองตัวออกมา “นี่ของพวกเธอสองคน!”
ทันใดนั้นเด็กที่น่าสงสารกลับกลายเป็นฝ่ายที่ทุกคนอิจฉามากที่สุด
เด็กน้อยทั้งสองคนร่าเริงขึ้นมาก
นกยูงสองตัวนี้เหมือนกับมนุษย์มาก พวกมันเดินไปหยุดอยู่ข้างกายของเด็กนักเรียนด้วยตัวเอง นกยูงตัวผู้ยังกระพือขนที่หางแล้วรำแพนออกมา ขนหางสีสันฉูดฉาดงดงามหลากสีแผ่ขยายราวกับพัดอยู่ท่ามกลางฝูงชน นกยูงชูหัวขึ้นเพื่ออวดขนที่มีสีสันสวยงามของตัวเอง และเรียกเสียงร้องจากผู้ชมด้วยความตื่นตาตื่นใจ
“เด็กๆ ทุกคนจำไว้นะครับ สามารถลูบนกน้อยได้ แต่ห้ามจับจนแน่นเกินไป ไม่อย่างนั้นมันจะบินหนีเอาได้นะครับ”
ต้วนเจียเจ๋อเตือน “ต่อจากนี้เหล่านกน้อยพวกนี้จะเป็นเพื่อนทุกคนเยี่ยมชมสวนสัตว์ด้านใน เป็นนกคู่ใจของทุกคนจนกว่าจะออกจากสวนสัตว์ ตราบใดที่พวกเธอรักและดูแลมัน เข้าใจไหมครับ”
ต้วนเจียเจ๋อได้คิดไตร่ตรองว่าจะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดในการดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างไร จึงได้ให้สัตว์ที่มีอยู่ลองทำอะไรบางอย่างดู ซึ่งนี่ก็เป็นเพียงแค่การทดลองเท่านั้น
เหมือนกับโครงการนกคู่ใจแบบนี้จะไม่ใช่การโปรโมตที่ดีเท่าไหร่ เพราะถ้าพนักงานไม่เพียงพอก็ไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของนกน้อยได้ อีกทั้งหากจัดเยอะเกินไปก็จะทำให้ไร้ค่าและไม่มีเอกลักษณ์ แต่ถ้าหากทำให้มีปฏิสัมพันธ์กับนักท่องเที่ยวจำนวนน้อยนั้นก็อาจเป็นไปได้ เพียงแค่ดูจากความกระตือรือร้นของเด็กพวกนี้ก็รู้แล้วว่ากิจกรรมในครั้งนี้มีพลังดึงดูดที่น่าสนใจมาก และยังสามารถเพิ่มอัตราผลตอบแทนได้สูงอีกด้วย
เมื่อได้ยินคำบอกกล่าวของต้วนเจียเจ๋อ คนทั้งห้าสิบกว่าคนก็ตะโกนตอบรับออกมาเสียงดังราวกับมีคนอยู่ห้าร้อยคนว่า “ครับ/ค่ะ!”
จ้าวป๋อดูแลทะนุถนอมนกแก้วที่บินมาหยุดอยู่บนไหล่ของตัวเป็นอย่างดี เขาเอาแต่มองและลูบมันอยู่บ่อยๆ เจ้านกแก้วก็เฉลียวฉลาดมากเช่นกัน ในตอนที่จ้าวป๋อลูบตัวของมัน มันก็ใช้หัวของตัวเองถูไถไปกับมือของเขา ทำให้จ้าวป๋อตื่นเต้นมาก
________________________________________
[1]鸡焉用牛刀 ตรงกับสำนวนไทยคือ ขี่ช้างจับตั๊กแตน
คอมเมนต์