เมื่อผมเป็นเจ้าของสวนสัตว์ ตอนที่ 2-2
บทที่ 2 (2)
ออกจากโรงเลี้ยงนก ต่อไปก็ไปดูลิง
ในสวนสัตว์นั้นมีลิงอยู่สิบกว่าตัว หนึ่งในนั้นรวมไปถึงลูกลิงตัวน้อยสองตัวซึ่งทั้งหมดเป็นแค่ลิงกังธรรมดา เดิมทีพวกมันก็ผอมแห้งจนร่างกายจะทนไม่ไหว แต่ช่วงนี้หลังจากได้กินอาหารที่ระบบส่งมาให้ก็มีชีวิตชีวามากขึ้น
เจ้าลิงพวกนี้ก็ถือเป็นเพื่อนเก่าของพวกเด็กนักเรียนด้วยเช่นกัน มีนักเรียนหลายคนตั้งใจเก็บข้าวโพด แอ๊ปเปิ้ล และผลไม้ต่างๆ เพื่อเตรียมมาให้พวกลิงกินเป็นพิเศษ
“อย่า อย่าให้มันกินนะ!” ต้วนเจียเจ๋อที่ไม่ได้เตรียมป้องกันไว้ เห็นพวกเด็กๆ โยนของกินเข้าไปในช่องว่างระหว่างรั้ว อยากจะห้ามก็ไม่ทันเสียแล้ว
เขาก็เพิ่งจะเริ่มเรียนรู้การเลี้ยงสัตว์ จึงรู้ว่ามันดีกว่าที่จะไม่ให้นักท่องเที่ยวให้อาหารอย่างอื่นในขณะที่พวกสัตว์นั้นมีตารางกำหนดการให้อาหารของพวกมันเองในทุกๆ วัน
แต่ทว่าหลังจากที่ลิงพวกนี้ได้รับอาหารที่เด็กๆโยนเข้าไป พวกมันก็ไม่ได้เดินเข้าไปหยิบกินเหมือนทุกที อย่างไรก็ตาม อาหารของสวรรค์ในทุกวันนี้ไม่ใช่อาหารธรรมดาๆ แม้กระทั่งผู้อำนวยการสวนสัตว์อย่างต้วนเจียเจ๋อยังไม่สามารถจะกินได้ หลังจากที่เกาหัวแกว่งหางไปมา ภายใต้การนำของจ่าฝูง พวกมันก็โยนอาหารทั้งหมดออกมาอย่างคาดไม่ถึง
และสิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ ลิงทั้งหมดล้วนโยนของฝากกลับไปที่ต้วนเจียเจ๋อ ราวกับพวกมันรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของพวกมัน
เมื่ออาจารย์จ้าวเห็นเช่นนั้นก็พูดขึ้นว่า “ลิงพวกนี้มันฉลาดจริงๆ!”
ในสายตาของอาจารย์จ้าว ที่หลิงโย่วนี้ แม้กระทั่งนกหรือสิงโตก็เลี้ยงและฝึกจนเชื่องได้เป็นอย่างดี ส่วนลิงนั้นก็ยิ่งฉลาดเข้าไปใหญ่ สามารถทำแบบนี้ได้ก็ไม่น่าแปลกใจเลย
แต่ต้วนเจียเจ๋อกำลังเหงื่อตก มีแค่ตัวเขาเองเท่านั้นที่รู้ว่าเขาไม่เคยฝึกสัตว์ในสวนสัตว์เลยแม้แต่ตัวเดียว หลังจากที่เขาเปลี่ยนมาให้อาหารที่ระบบเป็นผู้กำหนด สัตว์ต่างๆ ในสวนสัตว์ไม่เพียงแต่จะมีชีวิตชีวา ร่างกายฟื้นตัวได้ดีขึ้นแล้ว ไอคิวก็ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นมาเองนิดหน่อยด้วย
แน่นอนว่าไอคิวของพวกนกเหล่านั้นไม่ได้พัฒนาขึ้นจนสามารถทำเรื่องก่อนหน้านั้นได้ แต่เป็นเพราะลู่ยาออกคำสั่งกับเจ้านกเหล่านี้ต่างหาก
ดูเหมือนว่าการกระทำของพวกลิงในตอนนี้คือตั้งใจคิดและทำออกมาเอง ต้วนเจียเจ๋อได้ให้อาหารกับพวกมันในทุกวัน อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ พวกมันถึงรู้สถานะของเขา
ตามคำบอกเล่าของลู่ยา เรื่องอาหารนั้นดูเหมือนจะดูดซับพลังงานวิญญาณมากกว่าบนโลกมนุษย์หลายเท่าตัว ดังนั้นการที่ไอคิวของบรรดาสัตว์ทั้งหลายจะเพิ่มขึ้นหลังจากที่กินอาหารพวกนี้เข้าไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ไม่เพียงเท่านั้น ต้วนเจียเจ๋อเคยถามอีกว่า อาหารเหล่านี้สามารถทำให้พวกสัตว์ฉลาดขึ้นได้ แล้วเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเปลี่ยนพวกสัตว์ให้กลายเป็นปีศาจ ซึ่งจากการตรวจสอบภายในระยะเวลาอันสั้นพบว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
นักเรียนของโรงเรียนประถมถงซินสนุกสนานไปกับการทัศนศึกษามากกว่าที่เคย ลิงเหล่านี้ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนแล้วมีปฏิสัมพันธ์มากขึ้น ไม่ใช่แค่โยนอาหารกลับมา แต่ยังสามารถเลียนแบบท่าทางของพวกเขาได้ด้วย
นักเรียนคนหนึ่งทำท่าหกสูง พวกลิงก็เรียนรู้ที่จะทำตาม แต่การเคลื่อนไหวของมันคล่องแคล่วกว่ามาก
ภายใต้บรรยากาศรอบตัวเช่นนี้ อาจารย์จ้าวและอาจารย์เหยียนก็ดึงเข้าวิชาวิทยาศาสตร์ทันที ผลลัพธ์ที่ได้ก็ออกมาดีมากเช่นกัน
ราชาจอมซนอย่างจ้าวป๋อที่ไม่เคยสนใจฟังคำอธิบายกิจกรรมการเรียนรู้นอกห้องเรียนมาก่อน ในตอนนี้เขากลับตั้งใจฟังอย่างเพลิดเพลิน ยกมือขึ้นถามคำถามบ่อยครั้ง เมื่อเทียบกับนักเรียนคนอื่นๆแล้วยังดูเหมือนเป็นเด็กนักเรียนของโรงเรียนประถมถงซินเสียมากกว่า
หลังจากดูลิงเสร็จ ก็ไปดูกวางซิก้าต่อ
ขั้นตอนนี้ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกน่าเบื่ออะไร เมื่อในตอนนี้ทุกคนต่างก็มี “นกคู่ใจ” ซึ่งตอบสนองจินตนาการอันไม่มีที่สิ้นสุดของพวกเขาที่สามารถเปิดโรงละครขนาดเล็กของตัวเองขึ้นมาได้
นักเรียนประถมสองคนที่โชคดีมีนกยูงสองตัวเป็นเพื่อนก็ยิ่งภูมิใจเข้าไปใหญ่ เขาคิดว่านกคู่ใจของพวกเขานั้นทั้งใหญ่โตและโดดเด่นสะดุดตามากกว่าใครๆ ถึงแม้พวกมันจะไม่สามารถเกาะอยู่บนไหล่ได้ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเดินไปที่ไหน นกยูงก็จะเดินตามไปด้วย พวกมันเชื่องและเชื่อฟังมากๆ
จางซุ่นเห็นแล้วก็รู้สึกอิจฉามาก เขาจึงคิดไอเดียหนึ่งขึ้นมาได้ เขาจับนกซีบราฟินช์บนไหล่ของตนโยนขึ้น จากนั้นก็วิ่งไปข้างหน้า “มานี่สิ มานี่เร็ว ตามฉันมานี่!”
นกซีบราฟินช์บินวนอยู่สองรอบกลางอากาศ มันเล็งไปทางจางซุ่น จากนั้นก็บินดิ่งลงมาเกาะอยู่บนศีรษะของจางซุ่นอีกครั้ง
เมื่อจางซุ่นเห็นว่ามันจำเขาได้จริงๆ เจ้าตัวก็มีความสุขมาก การกระทำของเขายังแสดงให้เพื่อนนักเรียนคนอื่นๆเห็นว่ายังมีวิธีเล่นอีกหลากหลายที่ไม่ได้ทำร้ายนก
แน่นอนว่าหากพวกเขาคิดอยากจะทำร้ายนกเหล่านี้คงเป็นเรื่องยาก เพราะหลังจากที่สวนสัตว์ได้ปรับปรุงมาตรฐานให้ดีขึ้นในทุกๆ ด้าน พวกนกที่คล่องแคล่วในตอนนี้ต่างก็มีไหวพริบมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นยังมีบรรพบุรุษที่เก่าแก่อย่างลู่ยาอยู่ที่นี่ด้วย
เมื่อมาถึงที่อยู่ของกวางซิก้า ไม่รอให้ต้วนเจียเจ๋อพูด เสี่ยวซูก็เตือนพวกเด็กๆ อย่างกระตือรือร้นว่าไม่ต้องให้อาหารที่ตัวเองเตรียมมากับกวางซิก้าอีก
ในสวนสัตว์มีกวางซิก้าทั้งหมดสองตัว เป็นคู่แม่และลูกสาว ส่วนพ่อไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร
ด้วยความที่เสี่ยวซูเป็นผู้หญิง เธอจึงค่อนข้างที่จะชื่นชอบสัตว์น่ารักๆ เหล่านี้ และเธอก็ยังเคยให้อาหารมันมาก่อนด้วย เธอเดินไปข้างหน้า ยื่นมือผ่านรั้วเข้าไปหยิบหญ้าขึ้นมาเพื่อเรียกพวกกวางซิก้า
เจ้ากวางตัวน้อยย่ำเท้าเข้ามาใกล้ๆ และยื่นคอมากินหญ้าในมือของเสี่ยวซู เสี่ยวซูลูบหัวของมันไปมา มันก็ไม่ได้ต่อต้านเลยแม้แต่นิด ดวงตาคู่โตฉ่ำน้ำ ขนสีน้ำตาลบนตัวมันดูแล้วช่างอ่อนนุ่มเป็นประกายเงางาม
มีเด็กหลายคนดึงตัวอาจารย์จ้าวเพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเองก็อยากให้อาหารกวางด้วย
อาจารย์จ้าวจึงหันไปถามต้วนเจียเจ๋อ หลังจากที่ได้รับอนุญาตแล้วก็เลือกนักเรียนมาสองคน ให้พวกเขาไปให้หญ้ากวางซิก้ากับเสี่ยวซู
ผ่านไปครึ่งวันก็เดินกันจนรอบสวนสัตว์ขนาดเล็กแห่งนี้ อาจารย์ทั้งสองพานักเรียนหลายสิบคนมากล่าวคำอำลา
อาจารย์จ้าวจับมือของต้วนเจียเจ๋อ กล่าวขอบคุณกับเขาไม่หยุด วันนี้ได้เปิดหูเปิดตาเป็นอย่างมาก และยังบอกอีกว่า สัตว์ที่นี่ล้วนฉลาดและเชื่องมากทุกตัว หลังจากนี้จะกลับมาอีกแน่นอน
ครั้งนี้พวกเขาพาเด็กๆ ออกมาทำกิจกรรมนอกสถานที่ ทันทีที่บอกว่าจะต้องเขียนเรียงความหลังจากที่พวกเขากลับไป เด็กๆ ที่เคยคร่ำครวญเมื่อก่อนนั้น มาครั้งนี้กลับตื่นเต้นคึกคัก แทบจะรอเขียนลงไปในสมุดบันทึกการเดินทางไม่ไหว นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขามีช่วงเวลาที่ดีมากๆ ในหลิงโย่ว
“ผมเป็นหนี้คุณแล้วครับ” ต้วนเจียเจ๋อตบไปบนไหล่ของท่านลู่ยาเบาๆ
ลู่ยากระพือปีกบินขึ้นไป นกที่เกาะอยู่บนไหล่ของพวกเด็กๆ ก็บินผละตามออกมาแล้วบินกลับไปที่โรงนก ทำให้พวกเด็กๆส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเสียดาย และจ้องมองดูภาพด้านหลังของพวกมัน
“ต้าฮวา!” จางซุ่นลังเลที่จะเรียกชื่อที่ตัวเองตั้งให้นกซีบราฟินช์ออกมา
“ไม่เป็นไรนะ” จ้าวป๋อโอบไหล่ของเขา “ครั้งหน้าฉันจะขอพ่อแม่ให้พามาที่นี่อีกและจะชวนนายมาด้วย พวกเราจะกลับมาหาพวกมันอีกครั้ง”
“ตกลง” จางซุ่นพยักหน้าอย่างแรง จากนั้นก็โบกมือ “ลาก่อน ต้าฮวา”
เสียงที่กล่าวอำลากับนกเหล่านั้นดังขึ้นเป็นระลอก
เมื่อมองฉากของเด็กน้อยกับพวกนกที่ลังเลจะแยกจากกัน อาจารย์จ้าวค่อนข้างซาบซึ้งใจมาก จึงอยากจะพูดบางอย่างเพื่อเตือนใจทุกคนให้รักและทะนุถนอมสัตว์ “นักเรียนทุกคน”
อาจารย์จ้าวยังไม่ทันได้เอ่ยความรู้สึกอะไรออกมา เบื้องหลังที่มองเห็นฝูงนกที่บินออกไปไกลนั้น นกยูงสองตัววิ่งห้อตะบึงออกมา ตีปีกเป็นครั้งคราว แต่ทว่าพวกมันก็เหมือนกับไก่บ้าน บินสูงได้ไม่เท่าไหร่ก็ร่วงตกลงมา…
ทุกคน “…”
เด็กนักเรียนส่งเสียงหัวเราะกันยกใหญ่ อาจารย์จ้าวจึงต้องเก็บชามน้ำแกงไก่[1]นั้นกลับไป และกล่าวคำลากับต้วนเจียเจ๋ออย่างเก้อเขิน
น่าเสียดายอยู่อย่างเดียว…ต้วนเจียเจ๋อคิดในใจ ถ้ารู้อย่างนี้จะจัดเตรียมวิธีบอกลาที่สวยงามกว่านี้เอาไว้แล้ว
เมื่อบอกลาเหล่านักเรียนโรงเรียนประถมถงซินแล้ว ต้วนเจียเจ๋อก็เห็นเสี่ยวซูก้มหน้าเล่นมือถือของตัวเองอยู่ เขาจึงตบไหล่เธอ “เสี่ยวซู ไปกินข้าวกลางวันกันได้แล้ว”
“อ๊ะ” เสี่ยวซูเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มและยื่นโทรศัพท์ออกมา “ผู้อำนวยการ ดูสิคะ”
สิ่งที่ต้วนเจียเจ๋อได้ดูก็คือคลิปวิดีโอสั้นๆ ที่เสี่ยวซูถ่ายภาพเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้เอาไว้และโพสต์ลงในโมเมนต์[2]ของเธอ ในตอนแรกกล้องจับอยู่ที่พวกเด็กๆ ตอนที่นกซึ่งเกาะอยู่บนไหล่ของพวกเขาบินผละออกไป จากนั้นกล้องก็ซูมออกถ่ายไปยังฝูงนกที่บินลอยอยู่ในอากาศ ในภาพนั้นยังมาพร้อมกับเสียงที่กล่าวอำลาของพวกเด็กๆ
หลังจากนั้นนกยูงสองตัวก็ปรากฏตัวขึ้นในวิดีโออย่างฉับพลัน และแบกหางที่หนักอึ้งของพวกมันไล่ตามฝูงนกที่บินห่างออกไป และร่วงลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า…
คลิปวิดีโอสั้นๆ นี้เผยแพร่ออกไปได้ไม่เกินหนึ่งถึงสองนาทีก็ได้รับยอดไลค์และคอมเมนต์มากมาย ทุกคนล้วนแต่ขำขันเฮฮาไปกับมัน และยังถามเสี่ยวซูอีกว่าสถานที่นี้คือที่ไหน ทำไมพวกนกถึงเชื่อง และก็บอกว่านกยูงโคตรตลกเลย
ต้วนเจียเจ๋อมองอีกครั้งก็เกือบจะหลุดหัวเราะออกมา “ทำไมคุณถึงถ่ายไว้ครับ”
“นี่ถือเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกของพวกเรานี่คะ ฉันเลยอยากถ่ายเก็บไว้ ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอเรื่องตลกแบบนี้” เสี่ยวซูย้อนกลับไปเปิดอัลบั้มรูปให้เขาดู ที่แท้เธอยังถ่ายรูปพวกเด็กๆ ในระหว่างที่เที่ยวชมที่นี่ไว้ด้วย “ฉันวางแผนที่จะประชาสัมพันธ์ในโมเมนต์ของฉันด้วยแหละ แหะๆ”
“ทำดีมาก!” ต้วนเจียเจ๋อเอ่ยชม “ผมวางแผนไว้ว่า หลังจากเปิดสวนสัตว์ จะจ่ายเงินจ้างสื่อท้องถิ่นมาถ่ายโฆษณา ถ้าคุณถ่ายไว้ได้เยอะๆ เราก็สามารถใช้พวกมันเป็นส่วนประกอบได้ครับ”
หลังจากที่ส่งนักท่องเที่ยวเสร็จ ต้วนเจียเจ๋อก็รีบไปที่โรงเลี้ยงนกทันที ยังไม่ทันไปถึงที่นั่นก็ได้ยินเสียงฝูงนกร้องดังและดุเดือด ทำเอาเขาตกใจมาก ในใจคิดว่า หรือลู่ยาไม่พอใจเลยจิกตีนกพวกนั้น
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ถึงเห็นว่านกในสวนสัตว์กำลังไล่จิกนกกระจอกกลุ่มหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายบินโฉบขึ้นลงอยู่กลางอากาศ ต่อสู้กันอย่างดุเดือด
ด้านหลังของที่นี่อยู่ติดกับภูเขาไหเจี่ยวซึ่งมีนกกระจอกมากมายหลายตัว แต่ปกติแล้วจะต่างคนต่างอยู่ ไม่รู้ทำไมถึงทะเลาะกันขึ้นมาได้
ตอนนี้พอมองดูแล้ว แม้ว่าจำนวนฝูงนกของหลิงโย่วจะไม่เยอะเท่าอีกฝ่าย แต่พลังในการต่อสู้ไม่เป็นรองเลยทีเดียว แม้กระทั่งนกซีบราฟินช์ที่ตัวอ้วนกลมยังสามารถจิกขนของนกกระจอกให้หลุดร่วงลงมาได้
ลู่ยาได้เปลี่ยนกลับไปเป็นร่างมนุษย์ ยืนดูการต่อสู้อันดุเดือดอยู่ข้างๆ
ต้วนเจียเจ๋อขอคำชี้แนะอย่างนอบน้อม “พี่ชาย นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ”
ลู่ยา “นายรู้ไหมว่าเจ้าพวกนั้นคืออะไร”
อะไรนะ หรือว่าเจ้าพวกนั้นไม่ใช่นกกระจอก
ต้วนเจียเจ๋อตกใจ “หรือว่าจะเป็น…ปีศาจนกกระจอก”
“นายคิดบ้าอะไรของนาย” ลู่ยาเหลือบมองต้วนเจียเจ๋ออย่างดูถูก “พวกมันคือขโมย นายสะเพร่าเกินไปแล้ว เมื่อครู่ที่ออกไปไม่ได้ปิดกรง เจ้านกพวกนี้เลยมาขโมยอาหารของพวกเราไง”
ต้วนเจียเจ๋อเหงื่อตก “แต่แค่คุณแสดงพลังออกมา นกกระจอกพวกนี้ก็น่าจะตกใจกลัวหมดแล้วนะครับ” ยังจะยืนดูพวกมันต่อสู้กันอยู่อีก
ลู่ยาพูดอย่างโกรธเคือง “นายกล้าใช้เปิ่นจุนไล่เจ้าพวกนกกระจอกให้นายงั้นเหรอ”
“?” ต้วนเจียเจ๋อถาม “ตรรกะของคุณนี่จะเยอะไปไหน”
แต่คำพูดของลู่ยาก็เตือนสติเขาได้ ต้วนเจียเจ๋อหาไม้กวาดและใช้มันไล่ตีพวกนกกระจอกให้ออกไป พวกนกที่ต่อสู้อยู่ในสงครามก็บินกลับกรงกันอย่างภาคภูมิใจ เขาคิดในใจว่า ลักษณะแบบนั้นเหมือนกับลู่ยามากจริงๆ
________________________________________
[1]鸡汤เป็นคำ ประโยค หรือบทความที่เต็มไปด้วยแง่คิดและสร้างความประทับใจ
[2]朋友圈 หมายถึง วีแชทโมเมนต์ เปรียบเสมือนไทม์ไลน์ของ เฟซบุ๊ก
คอมเมนต์