เมื่อผมเป็นเจ้าของสวนสัตว์ ตอนที่ 2-4
บทที่ 2 (4)
หมู่บ้านหุยหลง ซุนเซิ่งหลง หวังเซิ่งปิน และหลิวหมิงนั่งปรึกษากันอยู่ในสวน
“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน นึกไม่ถึงว่ามันจะกล้าแจ้งความ”
“นับว่ามันโชคดีมาก ไม่มีอะไรตายสักตัว เปลืองยาบ้านฉันจริงๆ”
“หึ…ถ้าต้องโดนจับจริงๆ ละก็ ไม่ต้องรอให้ฉันออกมา คอยดูว่าลูกพี่ฉันจะทำให้มันเดือดร้อนจนทำให้สวนสัตว์ของมันเปิดต่อไปไม่ได้อีก”
คนสองสามคนพูดคุยกันอย่างภาคภูมิใจไม่กี่คำก็นัดกันเล่นไพ่นกกระจอกในช่วงค่ำ ดังนั้นหวังเซิ่งปินและหลิวหมิงจึงกลับบ้านไปก่อน
ซุนเซิ่งหลงให้อาหารหมูอยู่ เขาให้ไปบ่นไป “โธ่เอ๊ย เลี้ยงไอ้หมูนี่ก็เหม็นจะตายอยู่แล้ว…พรุ่งนี้ฉันจะฆ่าแก”
หมูพวกนี้ถูกส่งมาเพื่อช่วยเหลือคนจนในหมู่บ้าน แต่มันเป็นปัญหายุ่งยากสำหรับเขาที่จะเลี้ยงมันไว้ที่นี่ เพราะเขาไม่ได้มีความสุขกับพวกมันเลยสักนิด
เมื่อมองดูพระอาทิตย์แล้วเห็นว่าเวลายังเร็วเกินไป ซุนเซิ่งหลงจึงเดินกลับเข้าไปในบ้าน พักผ่อนเตรียมพร้อมสำหรับสงครามไพ่นกกระจอกในคืนนี้
ซุนเซิ่งหลงนอนกลิ้งตัวไปมาแล้วหลับไป ในขณะที่กำลังฝันหวานอยู่ ทันใดนั้นก็รู้สึกปั่นป่วนหายใจกระชั้นถี่ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่ามีลมหายใจเป่ารดอยู่ที่ต้นคอของเขา เขาคิดว่าเป็นสุนัขบ้านที่เลี้ยงเอาไว้ จึงลูบคอตัวเองและลืมตาหันหน้าไปมองอย่างหวาดระแวง
ใบหน้าของสิงโตแผงคอหนาฟูปรากฏขึ้นตรงหน้าพร้อมอ้าปากกว้าง “โฮก——”
กลิ่นคาวคลุ้งเต็มหน้า เขี้ยวอันแหลมคมส่องสว่างเป็นประกาย
“ว้าก! อ๊าก!!” ในตอนนั้นเอง ซุนเซิ่งหลงที่ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อถีบเท้าไปด้านหลัง คิดไม่ตกว่าทำไมสิงโตถึงมาปรากฏตัวที่บ้านของตนได้ หรือจะเป็นเพราะสวนสัตว์หลิงโย่วบ้าบอนั่นไม่ได้ล็อกประตู ปล่อยให้สิงโตหลุดออกมา”
แต่ว่าทำไมสิงโตตัวนี้ถึงมาที่บ้านเขาได้กัน
สิงโตหมอบตัวลงต่ำ เตรียมพร้อมเข้าจู่โจมตลอดเวลา
ขาของซุนเซิ่งหลงอ่อนปวกเปียกเหมือนเส้นบะหมี่ ระยะห่างที่น้อยเกินไปทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะลุกขึ้น น้ำตาน้ำมูกไหลออกมาไม่หยุด เขาไม่สามารถควบคุมมันได้จนปัสสาวะราดออกมา
กลิ่นเหม็นสาบคลุ้งไปทั่ว สิงโตคำรามเสียงดังอีกครั้ง
“ไม่ ไม่เอานะ ยกโทษให้เถอะ! ยกโทษให้ฉัน!!” ซุนเซิ่งหลงนึกถึงเรื่องที่พวกตนแอบเข้าไปในสวนสัตว์และลอบวางยาพิษสัตว์พวกนี้ เขาเป็นคนวางยาพิษสิงโตตัวนี้ เพราะถ้านับดูแล้ว เมื่อก่อนเขาเป็นคนที่เคยเลี้ยงและให้อาหารมันบ่อยที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นคนที่แอบแบ่งเอาอาหารของสิงโตออกไปเยอะที่สุดด้วย ในตอนนี้ดูเหมือนจะได้เวลาเแก้แค้นแล้ว
ซุนเซิ่งหลงไม่เคยกลัวสิงโตที่ขังไว้ในกรงมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น สิงโตในตอนนั้นก็คำรามได้อย่างไร้เรี่ยวแรง ดูอ่อนแอยิ่งกว่าสุนัขที่บ้านของเขาเสียอีก แต่มาตอนนี้ เขาที่เพิ่งได้เผชิญหน้ากับความน่าเกรงขามของสิงโต ก็เข้าใจแล้วว่าสัตว์นักล่าตัวใหญ่ตอนที่ล่าเหยื่อมันน่ากลัวขนาดไหน
อย่างไรก็ตาม สิงโตไม่ได้ฟังคำวิงวอนที่ร้องขอความเมตตาของซุนเซิ่นหลงเลยแม้แต่น้อย ทันทีที่มันกระโดดขึ้นไปบนเตียง ก็ตะปบร่างของซุนเซิ่งหลงไว้ด้วยอุ้งเท้าข้างเดียว จากนั้นก็อ้าปากงับหัวของซุนเซิ่นหลงเข้าไปในปากที่ใหญ่โตอย่างดุดันทันที
“อ๊าก!” ทัศนวิสัยของซุนเซิ่งหลงมืดดับ ตกใจจนสลบล้มพับไปในที่สุด
ในเวลานี้สิงโตได้อมหัวของเขาไว้อย่างสมบูรณ์
ผ่านไปสามวินาทีสิงโตก็เปิดปากและถ่มหัวของซุนเซิ่งหลงออกมา บนหัวเขายังชุ่มไปด้วยน้ำลายของมัน ทันทีที่สิงโตพ่นหัวของซุนเซิ่งหลงทิ้ง มันก็เผยให้เห็นถึงสีหน้าของ “ความรังเกียจ” อย่างมีมนุษยธรรมมาก
เวลาในแต่ละวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ต้วนเจียเจ๋อยังคงพยายามอย่างหนักในการรับสมัครพนักงาน นี่เป็นเงื่อนไขสุดท้ายของภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ
วันนี้ในขณะที่กินอาหารเที่ยง ต้วนเจียเจ๋อก็ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ของสำนักงานเขตที่โทร.เข้ามา หลังจากรับสายและได้ฟังคำพูดสองสามประโยค ใบหน้าของเขาก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา “จริงเหรอครับ ได้แน่นอนครับ…ดีเลย ขอบคุณคุณมากเลยนะครับ”
หลังจากวางสาย ต้วนเจียเจ๋อพูดออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ “เมื่่อครู่นี้คนจากสำนักงานเขตไหเจี่ยวบอกผมว่า มีนักข่าวอยากจะมาสัมภาษณ์เกี่ยวกับสวนสัตว์ของพวกเราด้วย!”
ช่วงก่อนหน้านี้เขายังพูดกับเสี่ยวซูอยู่เลยว่า ได้วางแผนจะใช้เงินจ้างคนมาทำโฆษณาประชาสัมพันธ์หลังจากที่เปิดสวนสัตว์แล้ว นึกไม่ถึงว่าจะมีคนอาสามาหาเขาเองถึงหน้าประตู ไม่สิ ติดต่อเขาผ่านเจ้าหน้าที่จากสำนักงานเขตต่างหาก
เสี่ยวซูและหลิวปินตื่นเต้นมาก “จริงเหรอครับ นี่มันเป็นเรื่องที่ดีมากเลย”
“ใช่แล้ว ผมให้ช่องทางติดต่อกับพวกนักข่าวไปแล้ว อีกสักพักก็น่าจะโทร.มาหาผม” ต้วนเจียเจ๋อตื่นเต้นจนไม่มีอารมณ์แม้แต่จะกินข้าวกลางวันแล้ว
ในขณะที่ต้วนเจียเจ๋อพูดอยู่นั้นก็มีเบอร์แปลกโทร.เข้ามา เขารีบกดรับสายอย่างรวดเร็ว
อีกฝั่งของสายโทรศัพท์เป็นหญิงสาววัยรุ่น เธอแนะนำตัวเองอย่างคร่าวๆ ว่าเป็นนักข่าวจากสถานีโทรทัศน์ในเมือง ต้องการโทร.มาขอนัดเวลาสัมภาษณ์
ต้วนเจียเจ๋ออดที่จะถามไม่ได้ว่าทำไมถึงอยากมาสัมภาษณ์ เขาไม่เคยติดต่อพวกสื่อเลยแม้แต่น้อย และก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์หรือเส้นสายอะไรด้านนี้เลย
นักข่าวสาวบอกกับต้วนเจียเจ๋อว่า เป็นเพราะเมื่อไม่นานมานี้ในโมเมนต์ของหน่วยงานท้องถิ่น คลิปวิดีโอที่น่าสนใจกระจายไปอย่างแพร่หลาย มีคนลือกันว่ามันคือสวนสัตว์หลิงโย่ว และคลิปวิดีโอนี้ยังได้รับผลตอบรับในเชิงบวกมากมาย
เนื่องด้วยหลังจากที่สวนสัตว์หลิงโย่วเปลี่ยนชื่อและยังไม่เปิดให้บริการ จึงมีแค่ไม่กี่คนที่รู้ มีบางคนถึงกับคิดว่าเป็นสวนสัตว์ในเมือง อีกทั้งมีหลายคนสอบถามเข้ามาถึงที่อยู่ โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงและผู้ปกครอง เพราะพวกเขาคิดว่าคลิปวิดีโอนั้นไม่เพียงแต่จะน่าขัน แต่ท่าทางของเด็กๆและนกในคลิปนั้นก็น่าสนใจมากเช่นกัน
มีน้อยคนที่สอบถามจนรู้ที่อยู่และแวะมาที่นี่ แต่เมื่อมาถึงก็พบว่าสวนสัตว์ยังไม่เปิดทำการ จึงได้แต่ผิดหวังกลับไป
หลังจากที่นักข่าวสาวสืบค้นดูก็คิดไม่ถึงว่าผู้บริหารจะเป็นแค่ชายหนุ่ม พอพิจารณารวมๆ แล้ว เรื่องนี้ก็ดูสอดคล้องกับหัวข้อรายการโทรทัศน์ของพวกเธอมาก ดังนั้นจึงตัดสินใจมาลองขอสัมภาษณ์ดู และเนื่องจากคลิปวิดีโอได้แพร่กระจายไปบนโลกออนไลน์ เธอจึงจะเชิญนักข่าวออนไลน์ท้องถิ่นมาสัมภาษณ์ร่วมกัน
ต้วนเจียเจ๋อเพิ่งจะตระหนักได้คราวนี้เองว่าที่แท้ก็เป็นความดีความชอบของเสี่ยวซู นี่เป็นโอกาสในการประชาสัมพันธ์ที่ใหญ่มาก แต่เนื่องจากว่าที่นี่ยังปิดปรับปรุงอยู่ ทั้งด้วยสภาพที่เรียบง่ายและทรุดโทรมเกินไปแบบนี้ ภาพที่ถ่ายทำออกมาไม่แน่ว่าอาจจะเป็นการไล่ลูกค้าแทน
แต่นักข่าวสาวก็พยายามที่จะเผยแพร่ข่าวสารออกไปให้เร็วที่สุดในตอนที่มันยังเป็นประเด็นร้อนแรงอยู่ มิเช่นนั้นมูลค่าของข่าวที่ทำไปก็จะไม่มีค่า
ต้วนเจียเจ๋อทำได้แค่ขอให้เธออดทนรอจนถึงที่สุด ทางฝั่งเขาจะรีบทำการปรับปรุงสวนสัตว์ให้เสร็จโดยเร็วอย่างแน่นอน นักข่าวสาวจึงยอมตอบตกลง และให้เขาติดต่อเธอทันทีที่ปรับปรุงสวนสัตว์เรียบร้อย
ต้วนเจียเจ๋อวางสายโทรศัพท์และอธิบายสถานการณ์กับทุกคนว่า “ครั้งนี้เสี่ยวซูทำงานได้ดีมาก ฉันจะเพิ่มเมนูอาหารให้เธอเอง”
“ขอบคุณค่ะผู้อำนวยการ” เสี่ยวซูพูดขึ้น “พวกเราต้องทำป้ายประกาศติดไว้ข้างนอกด้วยไหมคะ ไม่ใช่ว่ามีคนมาที่หน้าประตูแล้วพวกเราก็ไม่มีใครรู้ และก็ไม่มีใครบอกพวกเขาเลยว่าเราจะเปิดเมื่อไหร่”
ต้วนเจียเจ๋อพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่เป็นความผิดของเขาเอง เขาควรจะติดประกาศวันที่จะเปิดกิจการเอาไว้ที่ด้านนอกถึงจะถูก ส่วนใหญ่เป็นเพราะเขาคิดเอาเองเสมอว่าสวนสัตว์ไม่ได้รับความนิยมอะไร จะมีคนมาหาได้อย่างไร เขาจึงมัวแต่ไปสนใจทำอย่างอื่นแทน
เสี่ยวซูนึกถึงเรื่องที่ต้วนเจียเจ๋อคุยในโทรศัพท์ได้ “จริงสิ ผู้อำนวยการคะ พวกเราต้องปรับปรุงสถานที่ใช่ไหมคะ เมื่อไหร่จะเริ่มเหรอคะ”
“อืม…ใกล้แล้ว เร็วๆ นี้แหละ” ต้วนเจียเจ๋อคิดในใจ เขาจะต้องรีบหาคนมาเพิ่มโดยเร็วที่สุด
บางทีพระเจ้าอาจจะได้ยินคำอธิษฐานของต้วนเจียเจ๋อ เพราะสองวันให้หลังเขาก็ได้ว่าจ้างพนักงานที่เหมาะสมมาหนึ่งคน
ตอนที่ต้วนเจียเจ๋อรับโทรศัพท์ ฟังเสียงของอีกฝ่ายที่อ่อนโยนมาก บอกว่าปีนี้อายุสี่สิบเอ็ดปี ชื่อว่าสวีเฉิงกง ช่วงนี้ตกงานอยู่ ก่อนหน้านี้ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาก่อน ไม่ได้มีทักษะอะไรเป็นพิเศษ แต่เขาสามารถช่วยเปลี่ยนพวกหลอดไฟ ซ่อมวงจรไฟฟ้าได้ อีกทั้งยังค่อนข้างละเอียดรอบคอบ สามารถที่จะรับผิดชอบทำงานเหล่านี้ได้
ต้วนเจียเจ๋อไม่คาดหวังที่จะรับสมัครพนักงานที่เป็นมืออาชีพอยู่แล้ว และหลังจากที่ได้พบหน้าคนคนนี้ เขาก็พบว่าพี่สวีเฉิงกงคนนี้ใบหน้ากับน้ำเสียงของเขานั้นช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
น้ำเสียงของเขาสุภาพอ่อนโยนและใจกว้าง แต่หน้าตาดูเหี้ยมโหด แม้ว่าจะไม่มีแผลเป็นที่เอาไว้โอ้อวดอะไร แต่ก็ดูเหมือนคนเลวอยู่ดี…
สวีเฉิงกงเริ่มเป็นฝ่ายแนะนำตัวเอง “พวกเราในฐานะเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะต้องมีหน้าตาที่โหดเหี้ยม เลยเป็นเรื่องยากที่จะหาคู่ชีวิต” เขาหัวเราะเยาะตัวเอง “มีใครที่เห็นผมแล้วจะไม่วิ่งหนีบ้างล่ะ ผมก็เลยยังโสดมาจนถึงทุกวันนี้”
บริษัทที่ทำงานก่อนหน้านี้เพิ่งปิดตัวลงได้ไม่นาน ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่ออกมาหางานใหม่ เขาไม่มีบ้านไม่มีครอบครัวเหมือนกับเสี่ยวซูและหลิวปิน ก่อนหน้านี้ก็อาศัยหลับนอนอยู่ที่บริษัท ดังนั้นที่ทำงานจะใกล้หรือไกลก็ไม่ได้มีผลอะไร
เดิมทีหากว่าก่อนหน้านี้ไม่เกิดเรื่องขึ้น ต้วนเจียเจ๋อไม่มีทางรับพนักงานที่หน้าตาเหี้ยมโหดขนาดนี้เข้าทำงานอย่างแน่นอน แต่เมื่อไม่นานมานี้เรื่องที่พวกชาวบ้านได้เข้ามาวางยาสัตว์ทำให้เขารู้สึกว่า จ้างคนอย่างสวีเฉิงกงเข้ามาแบบนี้ก็ไม่เลว อีกทั้งตอนนี้เขาก็รีบมาก ดังนั้นรับคนเข้ามาทำงานและทำให้ภารกิจสำเร็จก่อนค่อยว่ากัน
ต้วนเจียเจ๋อและสวีเฉิงกงจึงได้พูดคุยรายละเอียดต่างๆ หลังจากที่ยืนยันแล้วว่าแต่ละฝ่ายไม่มีปัญหาใดๆ ก็เซ็นสัญญาลงนามทันที
หลังจากที่เสร็จธุระเรียบร้อย เขาจึงพาสวีเฉิงกงไปพบกับเสี่ยวซูและหลิวปิน เนื่องจากสวีเฉิงกงอายุมากกว่าพวกเขาสิบกว่าปี ดังนั้นจึงเรียกเขาว่าพี่สวี ถึงแม้ว่าหน้าตาสวีเฉิงกงจะเหี้ยมโหด แต่เขาก็เป็นคนอารมณ์ดีและมั่นคงมาก ทำให้ต้วนเจียเจ๋อยิ่งมองดูก็ยิ่งรู้สึกพอใจมาก
เมื่อมองย้อนกลับไป ต้วนเจียเจ๋อก็พูดกับลู่ยาอย่างพึงพอใจว่า “ตอนนี้มีพี่สวีแล้ว หลังจากนี้ความปลอดภัยของสวนสัตว์พวกเราก็จะเพิ่มมากขึ้น คุณดูสิว่าเขามีพลังข่มขวัญมากขนาดไหน”
ลู่ยาหัวเราะเย็นชา “ความหมายของนายก็คือ เปิ่นจุนมีพลังข่มขวัญไม่เท่าเขา?”
ต้วนเจียเจ๋อ “…”
ต้วนเจียเจ๋อพูดขึ้นอย่างจริงใจ “เต้าจวิน ผมขอพูดอะไรหน่อยนะ ถึงคุณไม่ชอบที่จะฟังมันก็ตามที เพราะความแตกต่างระหว่างสองโลกนี้ทำให้อุดมการณ์ความคิดของเราต่างกัน การที่คุณอยู่ท่ามกลางมนุษย์โลกอย่างพวกเรา คุณไม่มีอำนาจข่มขู่เท่ากับเขา อย่างมากก็ทำได้แค่ป้องกันและโต้กลับเท่านั้น หากคุณเผยร่างที่แท้จริงของคุณออกมา คนส่วนใหญ่ก็อยากที่จะกินคุณเท่านั้นแหละ แต่ถ้าคุณอยู่ในร่างมนุษย์ ไม่เพียงแต่จะไม่มีพลังข่มขู่ ยังง่ายต่อการที่จะตกเป็นเป้าสายตา…”
ลู่ยา “…”
นี่เป็นเรื่องจริงที่เถียงไม่ได้ เพราะว่าลู่ยามีหน้าตาหล่อเหลา ชาวบ้านพวกนั้นถึงไม่กล้าเข้ามาสร้างปัญหาให้หรือไงกัน และที่ลู่ยาไม่สามารถเจอผู้คนได้ก็เพราะจะพ่นไฟใส่ยังไงล่ะ แม้ว่านั่นจะเป็นพลังข่มขวัญ แต่มันก็เสี่ยงกับการที่จะถูกรัฐบาลเข้ามาควบคุม
ลู่ยาเถียงไม่ออก เขาไม่สามารถโต้เถียงได้และก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขสิ่งใดได้เช่นกัน นกอย่างพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวผู้ที่ต้องคอยโชว์สีสันฉูดฉาดสวยงามตามธรรมชาติ เขาก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้กลายเป็นคนอัปลักษณ์ได้
คอมเมนต์