เมื่อผมเป็นเจ้าของสวนสัตว์ ตอนที่ 3-1
บทที่ 3 (1)
นักข่าวสองคนยังคงครุ่นคิดสงสัยอยู่ “พวกมันรำแพนหางทุกวันหรือเปล่าครับ ถ้าหากว่าพวกเราอยู่ที่นี่ทั้งวัน ไม่แน่ว่าอาจจะถ่ายฉากที่มันรำแพนหางไว้ได้ หรือพวกคุณมีวิดีโอถ่ายเก็บไว้ในมือถือไหมครับ ให้พวกเราใช้แทนก็ได้”
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดอยู่นั้น ก็ได้ยินเฉินเว่ยร้องอุทานออกมา พวกเขาจึงรีบตั้งกล้องเตรียมถ่ายภาพทันที
เมื่อหันกลับไปมอง คิดไม่ถึงว่าหางของนกยูงตัวหนึ่งในนั้นสั่นระรัวอยู่สองสามครั้ง ไม่นานนักหางของมันก็รำแพนสยายออกมา
โทนสีที่เด่นชัดคือสีน้ำเงินและสีเขียวเป็นหลัก และยังมีสีเหลือง สีแดง และสีอื่นๆ หลากหลายสีผสมอยู่ด้วย ในระหว่างที่กระพือหางอยู่นั้น แสงแดดที่ส่องลงมาจากหลังคากระจกตกกระทบกับขนที่แวววาว มองดูราวกับแสงสว่างที่มาพร้อมกับสีเมแทลลิกโทนเย็น ทำให้ได้ใจผู้คนไปเต็มๆ
ทั้งสองร้องอุทานออกมา และเล็งกล้องไปที่มันทันที
นกยูงสั่นหางรำแพนเต็มที่ ตอนนี้เองพวกเธอถึงได้รู้ว่าหางของนกยูงตัวนี้มีขนาดใหญ่อย่างน่าอัศจรรย์ มองด้วยสายตาแล้วแทบจะยาวเกือบสองเมตร สะกดสายตาของพวกเธอไว้จนแทบจะหยุดหายใจ
นกยูงตัวผู้อีกตัวหนึ่งก็มีรูปร่างคล้ายกัน เฉินเว่ยไม่ได้ถ่ายฉากเริ่มต้นตอนที่ตัวแรกเริ่มรำแพนหางไว้ ดังนั้นเธอจึงค่อยๆ ขยับกล้องช้าๆ จับภาพไปที่นกยูงอีกตัวหนึ่ง และถ่ายตอนที่มันกำลังเริ่มรำแพนหางไว้ได้อย่างประจวบเหมาะพอดี
พนักงานของสวนสัตว์หลิงโย่วไม่ได้โกหก พวกเขาไม่รู้ว่านกยูงของที่นี่มีงานอดิเรกที่ชอบเป็นพิเศษหรือไม่ แต่พวกมันชอบที่จะรำแพนหางเอามากๆ
นกยูงสองตัวหมุนตัวเองเป็นครั้งคราว เผยให้เห็นหางที่รำแพนไปทั่วทิศทาง หลังจากผ่านไปได้สองสามนาทีถึงค่อยๆ หุบหางลง
“น่าทึ่งมาก” นักข่าวคนหนึ่งทอดถอนใจ “บอกตามตรงเลยนะ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นนกยูงรำแพน ก่อนหน้านี้เคยเห็นแต่ในรูปภาพหรือวิดีโอ แต่ไม่เคยเห็นอะไรที่น่าทึ่งขนาดนี้มาก่อน ช่างงดงามจริงๆ”
“ฉันเองเคยเห็นนกยูงรำแพนหางของที่อื่นนะ แต่มันก็ไม่ได้งดงามขนาดนี้ กล้องไม่สามารถจับภาพสีสันได้ขนาดนี้ ขนของพวกมันก็ดูเหมือนจะเปล่งประกาย แถมยังใหญ่โตมากอีกด้วย”
คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะโชคดีถ่ายภาพนกยูงรำแพนหางไว้ได้ นักข่าวทั้งหลายจึงพึงพอใจเป็นอย่างมาก
จากนั้นพวกเขาก็ได้รับประสบการณ์แบบเดียวกันกับเด็กนักเรียนโรงเรียนประถมถงซิน ไม่จำเป็นต้องมีอาหารนก ตราบใดที่พวกเขาแบมือออกมา นกน้อยเหล่านั้นก็จะบินมาเกาะอยู่บนมือของพวกเขาทันที
เจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลเหล่านกน้อยเองก็ยังให้อาหารแก่พวกมันด้วยมือเปล่า เสี่ยวซูค่อนข้างตระหนักถึงจุดประสงค์ในเรื่องนี้ดี จึงพูดว่า “พวกเราและบรรดาสัตว์ในสวนสัตว์นี้ถือเป็นครอบครัวเดียวกันค่ะ อันที่จริงแล้วพวกมันก็เหมือนกับพวกเรา ดูสิคะว่าพวกมันรักใคร่กันขนาดไหน”
ระหว่างนกต่างสายพันธุ์ก็ยังไซ้ขนให้กัน นกน้อยตัวอ้วนกลมยังใช้หัวของมันเคลียคลอแก้มของเสี่ยวซู หัวที่ปุกปุยแทบจะจมหายเข้าไปในร่างอันอ้วนกลมของมัน ดูแล้วน่ารักมากๆ ในขณะที่มันเคลียคลอกับแก้มของเสี่ยวซู ถึงขนาดหลับตาพริ้มอย่างสบายใจ ทำตัวเหมือนมนุษย์เสียไม่มี
สวีเฉิงกงที่เป็นพนักงานใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้า เนื่องจากที่นี่มีพนักงานไม่เยอะ เขาจึงต้องมาทำงานตรงนี้ด้วย ในตอนแรกเขาก็กังวลมากเพราะไม่คุ้นเคยกับนกพวกนั้นเลย ถ้าหากพวกมันจิกเขาขึ้นมาจะทำยังไง
แต่หลังจากที่เขาคุ้นชินแล้วจึงพบว่านกพวกนี้เป็นมิตรมากตั้งแต่แรก
เขาไม่เคยให้อาหารพวกมันมาก่อน แต่ก็มีนกแก้วตัวหนึ่งมาเกาะอยู่บนไหล่ของเขา ใช้ร่างของมันกระแทกเขาไม่หยุด ราวกับจะเชิญชวนให้เขาเล่นกับมัน
ในตอนแรกเขาเองยังรู้สึกเกร็งอยู่เล็กน้อย เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้ออกกล้อง แต่หลังจากที่พวกมันกระตือรือร้นบินเข้ามาหาเองขนาดนี้ สวีเฉิงกงก็ลืมการมีอยู่ของกล้องไปเสียสนิท ใบหน้าดุดันปรากฏรอยยิ้มแห่งความสุขออกมา
ผลกระทบนี้นับว่าคล้ายคลึงกับของเสี่ยวซู แต่เสี่ยวซูนั้นทั้งสวยและน่ารัก เมื่อเธอมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกับเหล่านกน้อยยิ่งทำให้คนรู้สึกได้ถึงความน่ารักที่เธอมี กลับกันกับสวีเฉิงกงชายร่างใหญ่หน้าโหดที่พอเล่นกับนกแก้วแล้วทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกแปลกๆ
หลังจากที่ได้ถ่ายทำฉากแบบนี้ นักข่าวของสื่อออนไลน์จึงได้ตัดสินใจมุ่งเน้นไปที่ประเด็นความรักระหว่างมนุษย์กับสัตว์ และขอให้พวกเขาแสดงปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น
ทุกคนพอใจกับภาพที่ถ่ายทำกันอยู่ตรงหน้านี้มาก ปฏิสัมพันธ์โต้ตอบระหว่างเจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์กับเหล่านกในภาพนั้นกลมกลืนกันเป็นอย่างมาก การโต้ตอบของทั้งสองฝ่ายเต็มไปด้วยความรักและจิตวิญญาณ ไม่มีร่องรอยของการเสแสร้งแกล้งทำแต่อย่างใด ไม่เหมือนกับสวนสัตว์แห่งอื่นที่โดยทั่วไปผู้ดูแลจะเป็นผู้ออกคำสั่งให้พวกนกปฏิบัติตาม
แม้ว่าพวกเขาจะค่อยๆ เข้าใจแล้วว่าการแสดงเหล่านี้เป็นผลจากการฝึกฝนอย่างแน่นอน แต่มนุษย์เราสามารถที่จะฝึกฝนนกได้อย่างยอดเยี่ยมขนาดนี้ ถือว่ามีความสามารถจริงๆ
การที่พวกเขาประสบความสำเร็จมาถึงระดับนี้ได้ แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องมุ่งมั่นด้วยความ “รัก” อันบริสุทธิ์ แม้ว่าสัตว์ในที่แห่งนี้จะมีไม่มาก แต่ที่นี่ก็เต็มไปด้วยความรัก “ถ้าไม่มีความรัก ผู้อำนวยการสวนสัตว์แห่งนี้คงไม่ใช้เงินมหาศาลของตัวเองมาเปิดสวนสัตว์ หากไม่ได้เต็มไปด้วยความรัก เหล่านกน้อยปลาน้อยจะอยู่ใกล้ชิดสนิทสนมกับเจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ได้อย่างไร”
หลังจากนั้นเหล่านกน้อยก็เริ่มแสดงทักษะการบินภายในโรงนกอีกครั้งเพื่อใช้ถ่ายทำเป็นข้อมูล ทำให้เหล่านักข่าวพอใจเป็นอย่างมาก
เฉินเว่ยอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “ฉันจะตัดมันออกได้ยังไงล่ะเนี่ย เวลาของรายการมีแค่ครึ่งชั่วโมงเอง”
เธอรู้สึกว่ามีหลายฉากที่ยอดเยี่ยมมาก แต่หัวข้อของเธอนั้นไม่ได้ยืดหยุ่นเท่ากับสื่อออนไลน์ และเธอจะต้องมุ่งเน้นให้ความสำคัญไปที่ผู้ชม ดังนั้นเธอจึงขอให้ต้วนเจียเจ๋อออกไปเล่นกับพวกสัตว์ให้มากขึ้น
ต้วนเจียเจ๋อได้ “แสดง” การปล่อยให้นกออกไปบินข้างนอก จากนั้นก็บินเข้าแถวกลับเข้ามาเองและยังบินเรียงแถวจากใหญ่ไปเล็ก ในตอนที่พวกมันบินกลับเข้ามาทางประตูทีละตัว พวกมันก็ค่อยๆ ลดระดับความสูง ทำให้หญิงสาวไม่กี่คนในที่นั้นประทับใจมาก
หลังจากถ่ายทำในส่วนของนกด้านนี้เสร็จ พวกเขาก็พากันไปถ่ายทำเรื่องของสิงโตต่อ
เสี่ยวซูและคนอื่นๆ ไม่กล้าที่จะเข้าไป ต้วนเจียเจ๋อจึงเข้าไปสัมผัสกับสิงโตอย่างใกล้ชิดเพียงคนเดียว สิงโตส่ายหัวส่ายหางให้เขา มันใช้หัวถูไถเคลียคลอไปที่ขาเล็กๆ ของต้วนเจียเจ๋อ ดูเหมือนแมวยักษ์มากๆ
เฉินเว่ยถามอย่างสนอกสนใจ “หลังจากที่เปิดแล้ว สิงโตจะออกมาสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้ชมเหมือนกับพวกนกหรือเปล่าคะ”
“มีแค่นกเท่านั้นครับที่ทำได้ สิงโตนั้นไม่เหมือนกันเลย” ต้วนเจียเจ๋อตอบ ล้อเล่นหรือเปล่า จะเล่นกับสัตว์ทุกตัว ลู่ยาไม่ต้องพักผ่อนหรือยังไง ตัวเองต้องขึ้นแสดงไม่พอ ยังจะต้องมาให้เขานำพวกฝูงสัตว์อีกเหรอ
เฉินเว่ยพยักหน้า แต่ปฏิสัมพันธ์ของเจ้าสิงโตกับต้วนเจียเจ๋อนั้นทรงพลังมาก ภาพนี้ดูเหลือเชื่อเกินไปแล้ว เธอมีลางสังหรณ์ว่าหลังจากที่ข่าวออกอากาศไป กระแสตอบรับจะต้องไม่เลวเลยทีเดียว
หลังจากนั้นพวกเขาได้ย้ายไปที่กรงสัตว์อีกหลายแห่งเพื่อถ่ายทำเก็บข้อมูล ผู้อำนวยการสวนสัตว์และเจ้าหน้าที่คนอื่นๆต่างแยกย้ายกันไปให้สัมภาษณ์
ตอนเที่ยง เหล่านักข่าวได้อยู่รับประทานอาหารที่ผู้อำนวยการต้วนเป็นคนลงมือเข้าครัวทำด้วยตัวเอง การถ่ายทำดำเนินมาจนถึงเวลาบ่ายสามกว่าๆถึงได้เสร็จสิ้นลง
“ผู้อำนวยการต้วน ขอบคุณมากสำหรับความร่วมมือในวันนี้นะคะ” เฉินเว่ยพูด “หากไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง ข่าวน่าจะได้ออกอากาศวันมะรืนนี้เวลาสองทุ่มตรงค่ะ คุณสามารถบอกเพื่อนสนิทให้คอยรับชมก็ได้นะคะ ในส่วนของข่าวออนไลน์นั้น…” เธอมองไปที่นักข่าวออนไลน์สองคน
ทั้งสองคนคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า “พวกเราจะกลับไปตัดต่อฟุตเทจอีกสักพัก อย่างเร็วที่สุดวันพรุ่งนี้น่าจะปล่อยออกมาได้แล้วครับ พวกเราเพิ่มเพื่อนกันไว้ก่อน พอถึงตอนที่ปล่อยภาพข่าวออกมาแล้ว ผมจะส่งลิงก์ให้คุณทันทีเลยครับ”
ต้วนเจียเจ๋อรีบกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่จากสำนักงานเขตและตัวแทนจากชุมชนที่พวกเขาให้ความร่วมมือช่วยเหลือในการทำสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ ด้วยงบเงินทุนของสวนสัตว์ที่มีอย่างจำกัด การมาของเฉินเว่ยและพวกเขาช่วยลดความกดดันของต้วนเจียเจ๋อไปได้มากทีเดียว ดังนั้นในขณะทำการสัมภาษณ์เมื่อสักครู่นี้ต้วนเจียเจ๋อจึงให้ความร่วมมืออย่างถึงที่สุด
หลังจากที่พวกนักข่าวกลับไป ต้วนเจียเจ๋อก็ได้ให้พวกเจ้าหน้าที่ของสวนสัตว์ทั้งสามคนเลิกงานเร็ว เพราะยังไงงานของวันนี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว วันนี้ทุกคนเหนื่อยยากเป็นอย่างมากเพื่อการถ่ายทำ จึงให้รีบกลับบ้านไปพักผ่อนโดยเร็วจะดีกว่า
ต้วนเจียเจ๋อทั้งเหนื่อยล้าและพึงพอใจกับผลงานในวันนี้มาก จึงเดินกลับไปที่สำนักงาน
ลู่ยาได้เปลี่ยนร่างกลับเป็นมนุษย์แล้ว เขานั่งอยู่ข้างอควาเรียม จ้องมองปลาที่อยู่ด้านใน ช่างเป็นภาพที่แปลกประหลาด เนื่องจากปลาทุกตัวตัวสั่นระริกและแอบไปซุกตัวรวมกันอยู่ที่มุมหนึ่งของตู้ปลา
ต้วนเจียเจ๋อมองเขาอย่างเย็นชา “เต้าจวิน ทุกคนเป็นเพื่อนร่วมงานกันนะครับ ถึงคุณจะหิว แต่คุณจะกินพวกมันไม่ได้นะ…”
ลู่ยาจ้องมองเขา ต้วนเจียเจ๋อก็หวาดหวั่นทันที จึงก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ของตนต่อไป
ในตอนนี้เอง แอพพลิเคชั่นของโครงการแห่งความหวังหลิงเซียวก็ได้ส่งภารกิจใหม่เข้ามา ขณะเดียวกันหัวข้อการสนับสนุนของหลิงเซียวก็พลันสว่างขึ้น ชัดเจนว่าหลังจากที่ส่งลู่ยามาแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่พิเศษอีกคนมาที่นี่
ต้วนเจียเจ๋อกดเปิดดูภารกิจ
คำอธิบายภารกิจ : การเปิดสวนสัตว์ใกล้เข้ามาแล้ว เพื่อก้าวแรกของการบรรลุเป้าหมายอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เปิดสวนสัตว์ได้หนึ่งสัปดาห์ ภายในเจ็ดวันจะต้องมีผู้เข้าชมอย่างน้อยสองพันคน
รางวัลภารกิจ : หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจจะได้รับอาหารสัตว์คุณภาพสูงสำหรับทั้งสวนสัตว์สามสิบวัน และศูนย์บริการนักท่องเที่ยวหนึ่งแห่ง
…
ทันทีที่ต้วนเจียเจ๋อดูเงื่อนไข เขาก็รู้สึกกดดันราวกับแบกภูเขาลูกใหญ่เอาไว้ทันที
สองพันคนในเจ็ดวัน โดยเฉลี่ยอย่างน้อยจะต้องมีผู้ชมสามร้อยคนต่อวัน ดูแล้วเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร
แต่ทว่าสถานที่อย่างสวนสัตว์นี้ โดยปกติแล้ววันจันทร์ถึงวันศุกร์จะเงียบเหงามาก ส่วนวันหยุดสุดสัปดาห์ถึงจะครึกครื้นเป็นพิเศษ เพราะทุกคนไม่ต้องไปทำงานหรือไปโรงเรียน จึงมีเวลามาเที่ยวเล่นได้
พวกเขาที่เพิ่งจะเปิดสวนสัตว์ใหม่ แม้ว่าจะมีสื่อท้องถิ่นช่วยประชาสัมพันธ์ออกไป แต่มันก็ยากที่จะพูดว่า ในช่วงสุดสัปดาห์แรกนั้นจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาได้เป็นจำนวนมาก
นี่ก็ไม่ใช่สถานีโทรทัศน์ระดับประเทศที่มาช่วยประชาสัมพันธ์ให้กับเขา หากต้องการดูสัตว์ ไม่ต้องมาถึงที่นี่ก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ในปีนี้มีสถานบันเทิงแหล่งท่องเที่ยวเกิดขึ้นมากมาย อย่างไรเสียสวนสัตว์ก็ไม่ใช่ตัวเลือกแรกของทุกคน
เนื้อหาการประชาสัมพันธ์ที่จะออกมานั้นจะสามารถดึงดูดผู้คนให้มาสวนสัตว์ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเลยได้หรือไม่ นี่คือปัญหา บางทีทุกคนอาจพอใจกับแค่การเดินเล่นสำรวจไปรอบๆสวน หรือกลับไปคิดดูอีกทีก็เป็นได้
สวนสัตว์และห้างสรรพสินค้าไม่เหมือนกัน สวนสัตว์ไม่สามารถจัดกิจกรรมโปรโมชั่นลดราคาเพื่อดึงดูดลูกค้าได้ ราคาตั๋วของพวกเขานั้นถูกมากแล้ว แถมยังอยู่ไกลอีกด้วย แม้ว่าจะลดครึ่งราคาก็อาจไม่มีใครเสียสละเวลาเดินทางมายังที่ไกลๆ เพื่อค่าตั๋วราคาถูกๆ ได้หรอก
แม้จะมีผู้เข้าชมตามจำนวนที่ต้องการแล้ว แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่ดี พื้นที่จัดแสดงหลายแห่งของสวนสัตว์หลิงโย่วยังคงว่างอยู่ การที่มีสัตว์จำนวนเยอะแบบนั้น หากไม่ระวังก็อาจเกิดความแออัดขึ้นได้ และจะทำให้ประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวเลวร้าย นอกจากนี้ยังต้องเพิ่มความปลอดภัยของพวกเขาให้มากขึ้น ซึ่งความกดดันจากตรงนี้ก็จะเยอะขึ้นตามไปด้วย
เขามีพนักงานสามคน และระบบบอกว่าต้องการอย่างน้อยสามคน เขาเห็นว่าไม่ได้มีสัตว์มากมายอะไรจึงไม่เคยคิดว่าจะต้องรับพนักงานจำนวนมากตั้งแต่แรก อีกอย่างเขาก็ไม่ได้จ้างคนเพิ่มอีกเพื่อเป็นการประหยัดเงินของตัวเขาเองอีกด้วย
ในตอนนี้ต้วนเจียเจ๋อรู้แล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ ระบบไม่ได้วางแผนจะให้เขาค่อยเป็นค่อยไป แต่ถ้าต้องการให้ภารกิจเปิดสวนสัตว์สำเร็จตั้งแต่สัปดาห์แรก พนักงานสามคนที่ระบบต้องการนี้อาจจะหมายถึงพนักงานสามคนที่เหนื่อยจนหมดแรงแทน…
ดังนั้นตอนนี้ต้วนเจียเจ๋อมีปัญหาอยู่สองข้อที่จะต้องทำให้สำเร็จภายในหนึ่งสัปดาห์
ข้อแรก ตรวจสอบให้แน่ใจว่านักท่องเที่ยวจะมีเพียงพอ ข้อสอง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าจะมีพนักงานเพียงพอ
คอมเมนต์