เมื่อผมเป็นเจ้าของสวนสัตว์ ตอนที่ 3-2
บทที่ 3 (2)
ฟ่านไห่ผิงถือโทรศัพท์ไว้ในมือ ตอนนี้เธอกำลังโกรธมาก ตะโกนใส่สามีว่า “คุณดูสิ คุณดูลูกชายตัวดีของคุณ ทำดีได้ไม่เท่าไหร่ก็ทะเลาะกับเพื่อนร่วมชั้นอีกแล้ว คุณครูทุกคนกำลังพูดถึงอยู่ในกลุ่มวีแชทเนี่ย ขายขี้หน้าจริงๆ”
จ้าวเจิ้งอี้ชะโงกหน้ามา “ไหน ขอผมดูหน่อย”
เป็นไปตามคาด คุณครูประจำชั้นบอกในกลุ่มวีแชทว่า จ้าวป๋อทะเลาะกับเพื่อนร่วมชั้นในเวลาเรียน จึงถูกเธอทำโทษให้ยืนหน้าชั้นเรียน และหวังว่าผู้ปกครองจะอบรมสั่งสอนเขาให้ดีขึ้นกว่านี้ด้วย
การที่สองสามีภรรยาจะต้องมาปรึกษาปัญหาเรื่องการเรียนของลูกชาย มันเป็นอะไรที่น่าปวดหัวมาก
เดิมทีฟ่านไห่ผิงยังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ แต่เธอทนดูต่อไปอีกไม่ได้แล้ว เพียงชั่วพริบตาเดียวเธอก็เห็นมีคนแชร์ลิงก์เข้ามาในกลุ่มวีแชท ชื่อว่า “นกยูงแสนน่ารักโด่งดังที่กำลังได้รับความนิยมอย่างล้นหลามของตงไห่ พวกมันอยู่แถบภูเขาไหเจี่ยวนี่เอง! ออดอ้อนได้ รำแพนได้!”
ฟ่านไห่ผิงที่คอยติดตามอ่านข่าวสารต่างๆ บนโลกออนไลน์ทุกวัน ด้วยความที่นกยูงตัวนี้เป็นสัตว์ในพื้นที่ และตอนนั้นในคลิปที่เป็นไวรัลก็ยังมีลูกชายของเธอติดอยู่ด้วย ดังนั้นเธอจึงจำเจ้านกยูงนั่นได้อย่างแม่นยำ จึงกดเปิดเข้าไปดู
ข้อความในช่วงแรกมีการย้อนไปถึงคลิปวิดีโอที่เป็นที่นิยมมากในโมเมนต์ท้องถิ่นเมื่อไม่นานมานี้ จากนั้นผู้เขียนก็ยังเขียนอีกว่าตนนั้นได้ทราบที่อยู่ของสวนสัตว์นี้จึงลองไปเที่ยวชมนกยูงดู คิดไม่ถึงว่าพวกมันจะน่ารักกว่าที่คิดเอาไว้
บทความถัดมาก็มีคลิปวิดีโออีกสองคลิป ซึ่งคลิปแรกนั้นเป็นนกยูงสองตัวที่ทยอยรำแพนหางส่องประกายแวววาว ส่วนอีกคลิปหนึ่งเป็นภาพที่พวกมันถูไถเจ้าหน้าที่ที่ให้อาหารพวกมัน การกระทำช่างน่ารักน่าเอ็นดู เหมือนมนุษย์มากๆ
ฟ่านไห่ผิงไม่อาจละสายตาไปจากภาพพวกนี้ได้ ดูเหมือนว่าการแสดงในคลิปวิดีโอก่อนหน้านี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ นกยูงพวกนี้เหมือนมนุษย์มากจริงๆ
ฟ่านไห่ผิงเลื่อนดูข้อความด้านล่างอย่างสนอกสนใจ บทความนี้เริ่มจากนกยูงรำแพนหาง จากนั้นก็ได้แนะนำสวนสัตว์หลิงโย่ว และได้ลงรูปภาพไว้มากมายพร้อมกับบทความพิเศษเกี่ยวกับสัตว์แสนน่ารักเอาไว้ ก่อนหน้านี้ ฟ่านไห่ผิงเคยได้ยินจากปากลูกชายของเธอไม่กี่คำ เธอคิดว่าเป็นแค่คำพูดเกินจริงตามประสาเด็ก แต่พอดูตอนนี้แล้วเหมือนจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ในบทความยังกล่าวไว้อีกว่า นกยูงของสวนสัตว์หลิงโย่วชอบรำแพนหางเป็นพิเศษ และมันก็ไม่ได้แยกตัวอยู่ตัวเดียว มันอาศัยอยู่รวมกันกับนกตัวอื่นๆ ราวกับเป็นครอบครัวใหญ่
บรรดานักข่าวได้ไปที่สวนสัตว์แห่งนั้นด้วยตนเอง แล้วปล่อยให้นกซีบราฟินช์ตัวใหญ่ปานกลางเกาะอยู่บนไหล่ของพวกเขา จากนั้นนกซีบราฟินช์ก็ใช้ตัวของพวกมันถูไถไปที่ใบหน้าของนักข่าว ร่างกายที่ปุกปุยแนบชิดอยู่บนแก้มของมนุษย์ เจ้านกน้อยหลับตาพริ้ม เห็นแล้วช่างน่ารักน่าเอ็นดูเป็นพิเศษ
เนื่องจากเสื้อผ้าที่ไหล่ของนักข่าวนั้นลื่นมาก มันจึงเกาะไว้ไม่อยู่แล้วหล่นลงไปข้างล่าง แต่ยังไม่ทันจะร่วงหล่นลงไปถึงพื้น มันก็รีบกระพือปีกบินขึ้นมาทันที ฟ่านไห่ผิงเห็นแล้วก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ “นกตัวนี้น่าสนใจจริงๆ”
นอกเหนือจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับนกแล้ว ยังมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างนกกับนกด้วยกันเองอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะต่างสายพันธุ์ แต่พวกมันก็ดูรักใคร่กลมเกลียวกันเป็นพิเศษ ก็เหมือนอย่างที่ประชาสัมพันธ์ไว้ นกเหล่านี้อาศัยอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ นกแก้วไซ้ขนให้นกซีซคิน ส่วนนกเอี้ยงหงอนก้นลายก็งีบหลับอยู่บนหลังนกยูง…
สภาพแวดล้อมและความประทับใจที่มีต่อสวนสัตว์หลิงโย่วแตกต่างจากสวนสัตว์เก่าอย่างสวนสัตว์ไหเจี่ยวอย่างสิ้นเชิง ด้วยการตกแต่งระบบนิเวศ ปลูกพืชพรรณนานาชนิดในพื้นที่จัดแสดงนก จึงให้ความรู้สึกเหมือนเป็นป่าขนาดย่อม รวมไปถึงผนังกระจกที่มองดูก็รู้แล้วว่าคุณภาพสูงมาก
ในบทความนี้ยังแนะนำอีกว่า สวนสัตว์จะเปิดทำการในเร็วๆ นี้ หลังจากที่เปิดแล้ว นักท่องเที่ยวผู้โชคดีจะได้รับสิทธิ์ในการสุ่มเลือกนกคู่ใจเพื่อให้นกเป็นเพื่อนเที่ยวชมตลอดการเดินทาง และสามารถสนุกสนานเพลิดเพลินไปกับพวกมันได้อย่างใกล้ชิด
นี่ก็คือความเพลิดเพลินที่พวกจ้าวป๋อเคยได้สัมผัสมาในตอนนั้น แต่สิ่งนี้สำหรับฟ่านไห่ผิงแล้วไม่ได้น่าสนใจเลยสักนิดเดียว ถ้าเกิดนกพวกนี้ถ่ายเรี่ยราดไปทั่วจะทำยังไงล่ะ
แม้ว่าสวนสัตว์แห่งนี้จะมีสัตว์ไม่กี่สายพันธุ์ แต่ประเด็นที่นักข่าวโฆษณาไว้นั้นบอกว่า ที่นี่เน้นคุณภาพมากกว่าเน้นปริมาณ แสดงให้ผู้ชมเห็นว่าผู้ประกอบการดูแลจัดการบริหารสวนสัตว์ด้วยความรัก และสัตว์ทุกตัวก็เต็มไปด้วยความน่ารักและแสนรู้
รูปภาพมากมายปรากฏอยู่เบื้องหลัง อย่างเช่นภาพของสิงโตที่ขอให้ผู้อำนวยการสวนสัตว์ลูบตัวมัน ภาพลิงที่เลียนแบบท่าทางของนักข่าว และยังมีภาพที่น่ารักสดใสอีกมากมายของเหล่านักเรียนจากโรงเรียนประถมถงซินที่มาเยี่ยมเยียนเมื่อครั้งที่แล้วก่อนที่สวนสัตว์จะทำการปรับปรุง
มันดูมีชีวิตชีวามาก ฟ่านไห่ผิงคิดว่าการลองไปเที่ยวสวนสัตว์ย่อมดีกว่าการไปเกมเซ็นเตอร์ เธอจะสัญญากับลูกชายของเธอว่า หากเขาประพฤติตัวดีขึ้น เธอจะพาเขาและน้องชายไปเที่ยวสวนสัตว์แห่งนี้อีกครั้ง และก็จะพูดย้ำกับเขาแบบนี้ทุกวัน
หวังเวยเวยเปิดดูหน้าโมเมนต์ในวีแชท แล้วก็เห็นลิงก์ข่าวที่แม่ของเธอแชร์มาตามปกติ แม่ของเธอทำงานอยู่ที่สถานีโทรทัศน์ในเมือง ดังนั้นจึงมักจะแชร์ข่าวสารที่บางหน่วยงานเผยแพร่เอาไว้
ปกติแล้วหวังเวยเวยไม่มีทางเปิดเข้าไปอ่านอะไรแบบนี้แน่นอน แต่วันนี้เธอเบื่อมาก ก็เลยลองกดเปิดเข้าไปดู
พาดหัวข่าวนี้คือ “น่าทึ่ง ชายหนุ่มอายุยี่สิบสามปีจากเมืองตงไห่ก่อตั้งสวนสัตว์ขึ้นด้วยพลังแห่งความรัก”
ผู้ประกาศข่าวสาวรายงานข่าวอย่างจริงจังว่า ชายหนุ่มวัยรุ่นผู้ซึ่งเพิ่งจบการศึกษาจากเมืองนี้รักสัตว์มาตั้งแต่เด็กๆ หลังจากจบการศึกษาเขาก็ไม่ได้เลือกที่จะทำงานในสาขาวิชาที่จบมา แต่กลับเลือกที่จะสร้างสวนสัตว์อยู่ที่ภูเขาไหเจี่ยวแทน และเลือกที่จะกินนอนอยู่ด้วยกันกับสัตว์…
หวังเวยเวยมองดูด้วยสีหน้านิ่งเฉย ไม่ขยับไปไหนเลยสักนิด
ทันใดนั้นภาพก็ตัดไปที่หน้าประตูใหญ่ที่เขียนไว้ว่าสวนสัตว์หลิงโย่ว นักข่าวสาวได้แนะนำชายหนุ่มอายุยี่สิบสามปีคนนั้น
บางทีอาจเป็นเพราะภาษาธรรมดาๆในข่าว ซึ่งทีแรกนั้นหวังเวยเวยคิดว่าผู้อำนวยการสวนสัตว์น่าจะเป็นชายแก่ผมเทา ร่างกายซูบผอม แต่ทันทีที่กล้องจับภาพไปนั้น เธอจึงได้พบว่าหน้าตาของชายหนุ่มเจ้าของสวนสัตว์หล่อเหลาเอามากๆ
ทันทีที่มองเห็นหนุ่มหล่อ หวังเวยเวยก็ดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที
ผู้อำนวยการหนุ่มหล่อได้พานักข่าวสาวเที่ยวชมสวนสัตว์ของเขา ลานจัดแสดงออกแบบมาได้เป็นอย่างดีและมีการติดตั้งอุปกรณ์ที่ทันสมัย นอกจากนั้นเขายังได้สาธิตอุปกรณ์เหล่านี้ พนักงานที่อยู่ด้านข้างพูดว่า ผู้อำนวยการใช้เงินออมทั้งหมดของเขาเพื่อติดตั้งอุปกรณ์เหล่านี้
เมื่อมาถึงตรงนี้เนื้อหาข่าวก็ค่อนข้างน่าเบื่อมาก ไม่รู้ว่ามีข่าวทำนองเดียวกันนี้อีกมากขนาดไหน
แต่ต่อมาก็มีภาพการเล่นโต้ตอบของเขากับพวกสัตว์ตามปกติ ในคำบรรยายยังได้แนะนำนกยูงสองตัวที่กำลังได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่บนโลกออนไลน์ในขณะนี้
ไม่นานนักหวังเวยเวยก็นึกขึ้นได้ว่าเธอเคยเห็นคลิปวิดีโอนั้นมาก่อน แต่เธอไม่คิดเลยว่าจะเป็นสัตว์ของสวนสัตว์แห่งนี้
เมื่อได้เห็นนกยูงรำแพนหางและการมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบของเหล่านก หวังเวยเวยเริ่มทึ่งเล็กน้อย ต่อมาเธอก็ได้เห็นฉากด้านหลังที่เจ้าสิงโตกำลังออดอ้อนผู้อำนวยการสวนสัตว์ เธอก็ยิ่งตกหลุมรักเข้าไปใหญ่ ภาพนี้เหมือนกับแมวบ้านมาก ทัศนคติของเธอในตอนนี้ได้เปลี่ยนไปเรียบร้อยแล้ว เธอถือโทรศัพท์และฉีกซองมันฝรั่งทอดกินไปดูไป
ข่าวนี้ได้ใช้ภาพที่ผู้อำนวยการสวนสัตว์มีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกับสัตว์เป็นจำนวนมาก และช่วงกลางของข่าวก็ยังมีประเด็นสำคัญที่สามารถสังเกตเห็นได้ อย่างเช่นนกป่าที่ได้รับการช่วยเหลือจากผู้อำนวยการสวนสัตว์และยังคอยติดตามเขาอยู่ตลอดเวลา แม้มันจะดูดุร้ายมาก แต่มันก็เชื่อฟังผู้อำนวยการสวนสัตว์เพียงแค่คนเดียว และยังเป็นนกตัวเดียวที่ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์และนักข่าวคนอื่นๆ ราวกับว่ามันเชื่อใจผู้อำนวยการสวนสัตว์เพียงคนเดียวเท่านั้น
นี่เป็นครั้งแรกที่หวังเวยเวยรู้สึกว่าข้อความพาดหัวข่าวนี้เป็นเรื่องจริง มันเต็มไปด้วยความรักจริงๆ
ไม่มีการเสริมแต่งหรือการสร้างภาพใดๆ นักข่าวสัมภาษณ์ผู้อำนวยการสวนสัตว์อย่างเป็นธรรมชาติ การพูดของเขาก็พูดเพียงไม่กี่ประโยค ส่วนใหญ่จะใช้ภาพเพื่อสะท้อนเหตุการณ์จริง ทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงความจริงใจเป็นพิเศษ
เป็นครั้งแรกที่หวังเวยเวยมีความคิดอยากจะแชร์ลิงก์จากสำนักข่าวของเมือง เธอรู้สึกว่าเนื้อหาข่าวที่ทำออกมานั้นไม่เลวเลยทีเดียว ด้านหนึ่งมันเต็มไปด้วยความจริงใจและติดดิน ส่วนอีกด้านก็เป็นความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความฝัน
อีกทั้งอายุของเธอและผู้อำนวยการสวนสัตว์คนนี้ก็ไม่ห่างกันมากนัก แต่หากจะให้เธอทุ่มสุดตัวเพื่อความรักแบบนั้น เธอคงไม่มีความกล้าพอ
ดังนั้นหวังเวยเวยจึงแชร์ลิงก์ข่าวลงที่หน้าโมเมนต์ของตัวเอง และยังแสดงความคิดเห็นออกไปสองสามประโยคด้วย
“…ไม่ใช่ ฉันพูดจริงนะ ฉันไม่ได้โกหก! นายดูข่าวที่ฉันส่งไปให้นายสิ นักข่าวเคยมาสัมภาษณ์ฉันแล้ว” ต้วนเจียเจ๋อกำลังคุยโทรศัพท์กับเพื่อนร่วมชั้นในมหาวิทยาลัยของเขา
เพื่อนร่วมชั้นของเขาถึงกับพูดไม่ออก “นี่นายไปเปิดสวนสัตว์จริงๆ เหรอเนี่ย ฉันนึกว่านายล้อเล่นเสียอีก”
“ก็จริงน่ะสิ…นายมาช่วยฉันหน่อยได้ไหม” ต้วนเจียเจ๋อพูด
เขาได้มอบหมายให้บริษัทจัดหางานประกาศรับสมัครพนักงานเพิ่มอีกสองสามคน มีทั้งงานประจำและพาร์ทไทม์ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าหลังจากที่เปิดกิจการแล้วสามารถสร้างกำไรได้เท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากยอดนักท่องเที่ยวมีไม่เพียงพอ เขาก็ต้องโดนฟ้าผ่าอยู่ดี เพราะฉะนั้นรับสมัครคนเข้ามาก่อน หลังจากนั้นค่อยว่ากันอีกที
หากส่วนใหญ่แล้วเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ พวกเขาก็แค่มาทำงานในช่วงที่มีนักท่องเที่ยวเยอะเช่นวันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุดเทศกาล แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องมีพนักงานประจำอย่างแน่นอน อย่างเช่นหากภารกิจในสัปดาห์แรกสำเร็จ ก็จะได้รับรางวัลเป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยว และที่นั่นก็จะต้องมีพนักงานประจำทำงานอยู่ในนั้นด้วย
สวนสัตว์หลิงโย่วก่อนหน้านี้มีประตูขนาดค่อนข้างเล็กและทรุดโทรม ส่วนห้องขายตั๋วนั้นก็ยังเปิดเป็นร้านขายของชำเล็กๆ อยู่
ต้วนเจียเจ๋อไม่สามารถรับสมัครพนักงานทุกตำแหน่งมาได้หมด ดังนั้นในกรณีนี้เขาจึงโทร.หาเพื่อนร่วมชั้นในมหาวิทยาลัยของตัวเองให้พวกเขามาช่วยเหลือในช่วงสุดสัปดาห์
มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าต้วนเจียเจ๋อมาเปิดสวนสัตว์ และเพราะเขายุ่งอยู่กับงานที่นี่ทุกวันจึงไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนร่วมชั้นเลย พอเขาพูดไป เพื่อนร่วมชั้นหลายคนถึงกับคิดว่าต้วนเจียเจ๋อโกหก เพราะพวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าต้วนเจียเจ๋อรักสัตว์
ช่วงก่อนและหลังจบการศึกษาก็ยังยุ่งอยู่กับการหางานอยู่เลย แล้วทำไมอยู่ดีๆ ถึงไปเปิดสวนสัตว์ได้ ถ้าหากบอกว่าเขาไปตั้งแผงขายกระต่ายอยู่ริมถนนยังฟังดูน่าเชื่อเสียกว่า
โชคดีที่ในตอนนี้ข่าวโทรทัศน์และข่าวออนไลน์ได้เผยแพร่ออกไปแล้ว ต้วนเจียเจ๋อจึงส่งข่าวไปให้เพื่อนๆเหล่านั้นเห็นด้วยตัวเอง
เมื่อเพื่อนร่วมชั้นเห็นข่าวก็เชื่อทันทีว่าเป็นเรื่องจริง พวกเขาไม่ได้หัวเราะเยาะต้วนเจียเจ๋อเลยสักนิด ในวันนั้นยังไงทุกคนก็มีเวลาว่างอยู่แล้ว ทุกคนจึงตอบตกลงว่าจะมาช่วย ต้วนเจียเจ๋อถึงโล่งใจขึ้นมาได้
ในขณะนี้สัตว์ตัวที่สองที่จะถูกส่งมายังคงอยู่ในระหว่างการขนส่ง ต้วนเจียเจ๋ออดที่จะกังวลไม่ได้ เขาได้แต่ถอนหายใจคร่ำครวญ “ถ้าเกิดสัตว์ที่มาใหม่ดุร้ายมากจะทำยังไงดี ผมจะไม่แย่เอาเหรอ”
ต้วนเจียเจ๋อครุ่นคิดว่า ควรจะให้เหล่าหัวหน้า[1]ที่จะลงมาบนโลกพวกนี้ได้รับการฝึกอบรมเพื่อให้เข้าใจถึงสามัญสำนึกของสังคมมนุษย์สมัยใหม่ก่อนดีไหม ไม่ใช่อะไรๆ ก็จะฆ่าฟันกันอย่างเดียว อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่ท่องค่านิยมหลักของสังคมนิยมให้ได้เสียก่อน
ลู่ยาที่อยู่ด้านหลังได้ยินคำพูดของต้วนเจียเจ๋อก็พูดขึ้นอย่างทะนงตัว “มีเปิ่นจุนอยู่ ใครจะกล้ากำเริบเสิบสาน”
ต้วนเจียเจ๋อเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดกับตัวเองอีกครั้ง “ถ้าเกิดสัตว์ที่มาใหม่ดุร้ายมากจะทำยังไงดี ผมจะไม่แย่ไปกว่าเดิมเหรอ…”
ลู่ยา “…”
ในตอนเช้า ต้วนเจียเจ๋อลุกขึ้นและนั่งรถประจำทางเข้าไปในเมือง ยังไม่ถึงหนึ่งเดือน เขาคิดไม่ถึงว่าอุปกรณ์เครื่องกรองที่อยู่ในตู้ปลามาไม่นานจะพังเสียแล้ว ต้วนเจียเจ๋อจึงตัดสินใจไปที่ตลาดดอกไม้และนกเพื่อไปให้พ่อค้าเปลี่ยนให้ใหม่
ต้วนเจียเจ๋อยังมีความคิดดีๆ อีกอย่างหนึ่งด้วย นั่นก็คือถือโอกาสนี้ซื้อเสื้อผ้าสองชุดให้กับลู่ยา
เหตุผลก็คือ ลู่ยาอยู่ที่หลิงโย่วมาหลายวันแล้ว แต่เขาไม่เคยเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยสักครั้งเดียว…
ขนาดต้วนเจียเจ๋อเป็นคนใบใหญ่ก้านหยาบ[2] ยังสังเกตเห็นเรื่องนี้ และเขายังเคยได้ยินเสี่ยวซูกระซิบอีกว่า ลู่ยาหน้าตาหล่อเหลา แต่ถ้าทุกวันไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าเลย ก็จะทำให้ภาพลักษณ์ที่มีเสื่อมเสียเอาได้
แน่นอนว่าในฐานะผู้อำนวยการ ต้วนเจียเจ๋อต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วยเช่นกัน เพราะตั้งแต่ท่านสหายลู่ยาลงมาเยือนโลกมนุษย์ ก็อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากตัวเมืองและไม่เคยเดินห้างสรรพสินค้ามาก่อน
พอต้วนเจียเจ๋อได้เข้ามาถึงในเมืองก็ไปที่ตลาดดอกไม้และนกก่อนเพื่อไปหาร้านที่เคยเข้าไปเมื่อครั้งก่อน
เมื่อพ่อค้าเห็นหน้าเขาก็จำได้ทันที “สวัสดีพ่อหนุ่ม มาซื้อปลาอีกแล้วเหรอ”
“ผมไม่ได้มาซื้อปลาหรอกครับเถ้าแก่ เครื่องกรองคุณมันเสียแล้ว และมันก็เสียเองด้วย” ต้วนเจียเจ๋อย้ำ “เถ้าแก่เปลี่ยนให้ผมใหม่หน่อยสิ”
เถ้าแก่บอกปัด “ฉันก็ไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง ของที่ร้านฉันคุณภาพดีทุกอย่าง ฉันจะรู้ได้ยังไงว่ามันเสียเองหรือเปล่า…”
“ทำไมจะไม่เสียเองล่ะ หรือเพราะว่าผมไม่มีอะไรทำเลยโยนให้มันพังอย่างนั้นเหรอ” ต้วนเจียเจ๋อพูด
เถ้าแก่ “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่รู้ด้วยหรอก สู้พ่อหนุ่มเอามันไปซ่อมดูไม่ดีกว่าเหรอ”
ต้วนเจียเจ๋อ “จะให้ผมไปซ่อมที่ไหนกัน นี่เถ้าแก่คิดจะโกงผมใช่ไหม…”
เถ้าแก่ “นายไม่ต้องเถียงฉันหรอกพ่อหนุ่ม ฉันก็แค่พูดความจริง”
ต้วนเจียเจ๋อ “เถ้าแก่ คุณจะทำเกินไปแล้วนะ ตกลงจะยอมเปลี่ยนให้ผมไหม ผมยังจะต้องรีบกลับไปเลี้ยงปลาอีก”
เถ้าแก่เหงื่อตก “ปลาของนายยังมีชีวิตอยู่อีกเหรอ”
“ก็ยังมีชีวิตอยู่น่ะสิ!” ต้วนเจียเจ๋อไม่พอใจ “เถ้าแก่หมายความว่ายังไง นี่ขายปลาป่วยให้ผมเหรอ”
เถ้าแก่คิดในใจ ฉันก็ขายปลาป่วยให้นายน่ะสิ ก็นายเล่นเอาปลามากมายขนาดนั้นใส่ไว้ในตู้เดียวกัน เขารู้สึกอย่างกับเห็นผี ไม่คิดเลยว่าปลาพวกนั้นจะยังไม่ตายอีก
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังถกเถียงกันอยู่ ทันใดนั้นก็มีคนเดินเข้ามา “เหล่าถัง นายช่วยฉันดูหน่อยว่าปลาลักเล่ห์หางผีเสื้อตัวนี้เป็นอะไรไป”
ต้วนเจียเจ๋อหันหน้ากลับไปดู คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นคุณลุงคนที่เขาเคยเจอที่นี่เมื่อครั้งที่แล้ว แต่ครั้งนี้เขาถือถุงปลาทองอยู่ในมือ ดูท่าทางร้อนรนเล็กน้อย
“มันอยู่ที่ก้นตู้ปลาทั้งวันเลย ดูเซื่องซึมแปลก ๆ” คุณลุงพูดอย่างกลัดกลุ้ม “ปรับเปลี่ยนอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์เลย ทำฉันเครียดไปหมดแล้ว”
“นายรอฉันก่อนนะ” เถ้าแก่พูดกับต้วนเจียเจ๋อ ไม่รอให้เขาตอบกลับก็รีบไปรับปลาของคุณลุงคนนั้นมาดู ถามอย่างจริงจัง “ลองจับแยกแล้วหรือยัง การขับถ่ายเป็นอย่างไรบ้าง”
คุณลุง “ยังไม่ได้แยก ไม่เห็นจะมีถ่ายอะไรออกมาเลย”
เถ้าแก่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ฉันดูแล้วน่าจะเป็นโรคลำไส้อักเสบนะ คุณลองจับแยกแล้วซื้อยากลับไปดู”
คุณลุงพยักหน้า “ได้ ฉันเพิ่งจะซื้อเจ้านี่ไปได้ไม่ถึงเดือนเอง”
ต้วนเจียเจ๋อที่ยืนอยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ลำไส้อักเสบอะไรกัน ปลาตัวนี้แค่ปรับอุณหภูมิให้เข้ากับน้ำที่เปลี่ยนไม่ได้ แค่คุณลุงใส่เกลือลงไปในน้ำนิดหน่อยก็ดีขึ้นแล้วครับ…”
คุณลุงเงยหน้ามองเขาอย่างประหลาดใจ กำลังคิดจะถามว่าจริงเหรอ ทันใดนั้นก็รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเด็กคนนี้มาก จากนั้นก็จำได้ว่าเคยพบต้วนเจียเจ๋อที่ตลาดนี้มาก่อน “เธอเองเหรอพ่อหนุ่ม”
เขายังจำเรื่องที่ชายหนุ่มคนนี้นำปลาไปเลี้ยงรวมกันอยู่ในตู้เดียว ตามหลักแล้วเขาไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก แต่ปลาของเขากลับไม่ตาย และเขารู้สึกว่าคำพูดของเด็กหนุ่มเมื่อครู่นี้ฟังดูน่าเชื่อถืออย่างบอกไม่ถูก
แต่เถ้าแก่อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “นายรู้ได้ยังไง” เขายังรู้สึกว่าท่าทีของชายคนนี้ในครั้งก่อน เห็นได้ชัดว่าเป็นแค่มือใหม่เท่านั้นเอง
“คุณดูท่าทางของปลาตัวนี้ก็น่าจะรู้แล้วไม่ใช่เหรอครับ นี่คุณไม่รู้เหรอ” ต้วนเจียเจ๋อถามกลับ
เถ้าแก่พูดไม่ออก เขาจะตอบได้ยังไงเพราะเขาไม่ใช่สัตวแพทย์มืออาชีพ เมื่อครู่นี้เขาก็แค่พูดถึงความเป็นไปได้มากที่สุดตามประสบการณ์ แต่เมื่อต้วนเจียเจ๋อตอบกลับมาแบบนี้ เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก
คุณลุงพูดประนีประนอม “เดี๋ยวฉันจะซื้อทั้งยาและเกลือกลับไปลองดูแล้วกันนะ ขอบคุณทั้งสองคนมาก”
“ไม่เป็นไรครับ” ต้วนเจียเจ๋อพูด “เถ้าแก่ เรามาคุยเรื่องเครื่องกรองกันต่อสิ”
เมื่อมีลูกค้าประจำยืนอยู่ข้างๆ เถ้าแก่ก็อับอายเกินกว่าที่จะโกงอีก เขาอึดอัดใจและพูดว่า “ฉันเปลี่ยนให้ละกัน”
ต้วนเจียเจ๋อพอใจมาก และรับเครื่องกรองเครื่องใหม่มา
คุณลุงรู้สึกแปลกใจจึงเดินออกจากร้านมาพร้อมกับต้วนเจียเจ๋อ พูดขึ้นว่า “พ่อหนุ่ม ปลาพวกนั้นของเธอเป็นยังไงบ้าง”
“พวกมันสบายดีมากเลยครับ” ต้วนเจียเจ๋อยังหยิบมือถือออกมาให้คุณลุงดูคลิปวิดีโอที่เขาบันทึกเอาไว้
ทันทีที่คุณลุงมองดูก็เห็นว่าเขาเลี้ยงปลารวมกันจริงๆ พวกมันรวมตัวกันแล้วว่ายไปตามทิศทางที่นิ้วเคลื่อนที่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย สิ่งที่เขาคิดก็คือ มีอาหารอะไรใส่ลงไปในนี้หรือเปล่า มองไม่เห็นเลย หรือว่าจะโดนตัดออกไปแล้ว
แต่เมื่อมองดูสีสันสดใสและการเคลื่อนไหวที่ปราดเปรียวของปลาเหล่านี้ มันช่างดูมีชีวิตชีวามากจริงๆ
“นี่เธอเลี้ยงไว้ที่ไหนเหรอ ดูไม่เหมือนเลี้ยงไว้ที่บ้านเลย หรือนี่เป็นที่ทำงานเธอ ทำไมถึงเขียนว่าอควาเรียมไว้ด้วย เหอะๆ คนหนุ่มสาวนี่น่าสนใจจริงๆ” คุณลุงถามด้วยความแปลกใจ
“ใช่ครับ” ต้วนเจียเจ๋อมีความสุข เขาเลยถือโอกาสนี้ประชาสัมพันธ์สวนสัตว์ทันที “ที่นี่คือสวนสัตว์ คุณรู้จักสวนสัตว์ไหเจี่ยวมาก่อนไหมครับ ที่อยู่ติดกับสวนสาธารณะน่ะครับ ตอนนี้ได้เปลี่ยนชื่อเป็นสวนสัตว์หลิงโย่วแล้ว จะเริ่มเปิดทำการสัปดาห์หน้านี้ครับ ถ้าคุณลุงไม่มีธุระอะไร สามารถมาเที่ยวเล่นได้นะครับ”
คุณลุงตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ป้ายอควาเรียมที่แขวนเอาไว้ ที่แท้ก็เป็นสวนสัตว์นี่เอง มันทำให้ดูน่าขันยิ่งไปกว่าเดิมเสียอีก “เอาละ ฉันจะบอกว่าเธอนี่สุดยอดจริงๆ ที่แท้ก็สวนสัตว์นี่เอง ได้ ถ้าว่างฉันจะไปแน่นอน”
ต้วนเจียเจ๋อยิ้ม “แหะๆ บอกชื่อผมได้รับส่วนลดด้วย อย่าลืมนะครับ ผมชื่อต้วนเจียเจ๋อ”
หลังจากที่ต้วนเจียเจ๋อกล่าวคำลากับคุณลุงที่ตลาด เขาก็ไปยังห้างสรรพสินค้าเพื่อเลือกซื้อเสื้อผ้าใหม่สองชุด จากนั้นถึงนั่งรถประจำทางกลับไป
________________________________________
[1] ในที่นี้หมายถึงบรรดาสัตว์ที่จะถูกส่งมาที่หลิงโย่วในลำดับถัดๆไป
[2]粗枝大叶หมายถึง เป็นคนไม่ละเอียด ทำงานไม่ละเอียด
คอมเมนต์