เมื่อผมเป็นเจ้าของสวนสัตว์ ตอนที่ 3-3
บทที่ 3 (3)
ทันทีที่เดินเข้าไปในหลิงโย่ว ต้วนเจียเจ๋อก็เห็นว่าภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ เสี่ยวซูและหลิวปินกำลังหยอกล้ออยู่กับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง
เด็กหญิงตัวเล็กคนนี้ดูเหมือนจะอายุราวๆ หกเจ็ดขวบ มีผมหน้าม้าและมัดแกละสองข้าง หน้าตางดงาม มีริมฝีปากที่แดงระเรื่อและฟันที่ขาวสะอาด นัยน์ตาดำเข้มตัดกับนัยน์ตาขาวอย่างชัดเจน หางตาเรียวคมให้ความรู้สึกแบบลูกผู้ดี เด็กน้อยสวมกระโปรงสีขาว และกำลังกินคุกกี้ที่ถือไว้ในมือ คาดว่าเสี่ยวซูเป็นคนให้
เสี่ยวซูและหลิวปินมองดูเธอยืนกินคุกกี้ แววตาเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู คนหนึ่งยื่นน้ำให้ อีกคนคอยพัดให้ เด็กคนนี้หน้าตาน่ารักเกินไปจริงๆ
“เด็กคนนี้ลูกใครเหรอครับ หน้าตาสวยมากเลย” ต้วนเจียเจ๋อถามขณะที่เดินใกล้เข้ามา
เสี่ยวซูหันกลับมามองทันทีและพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ผู้อำนวยการ เด็กคนนี้ไม่ใช่คนที่บ้านของผู้อำนวยการหรอกเหรอคะ เธอบอกว่าเธอมาหาคุณค่ะ”
ต้วนเจียเจ๋อสับสน เขาไม่รู้จักเด็กผู้หญิงคนนี้มาก่อน “เด็กน้อย หนูชื่ออะไรเหรอครับ”
เด็กน้อยกินคุกกี้คำสุดท้าย เหลือบตากลับมามองเขาเล็กน้อย “ฉันชื่อ..โหย่วซู”
ต้วนเจียเจ๋อไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับชื่อนี้อยู่เลย เขากลัวว่าจะทำให้เด็กหญิงคนนี้ตกใจกลัวจึงถามอย่างอ่อนโยน “ใครบอกให้หนูมาหาพี่เหรอครับ”
อันที่จริงที่เขาสงสัยก็คือ เธออาจจะหลงทางมาจากสวนสาธารณะไหเจี่ยวที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็บอกว่าตัวเองต้องการที่จะเจอกับผู้อำนวยการ ไม่แน่ว่าคนที่เธออยากจะเจอหน้าจริงๆ อาจเป็น “ผู้อำนวยการ” ของสวนสาธารณะที่อยู่ข้างๆ ก็เป็นได้
เด็กหญิงที่ชื่อโหย่วซูคนนี้เงยหน้ามองต้วนเจียเจ๋อแล้วพูดว่า “หลิงเซียว…”
ต้วนเจียเจ๋อรีบปิดปากเธอทันที จากนั้นก็บอกกับเสี่ยวซูและหลิวปินที่กำลังแปลกใจอยู่ว่า “ผมรู้แล้ว นี่คือญาติของพี่ลู่เองครับ เดี๋ยวผมจะพาเธอไปหาลู่ยาเอง”
ต้วนเจียเจ๋อคว้าตัวของโหย่วซูขึ้นมา จากนั้นก็อุ้มเธอพาวิ่งไปที่สำนักงานทันที
เขาพลันคิดออกทันทีว่าเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นใคร เห็นได้ชัดเลยว่าเธอเป็น “สัตว์” ตัวใหม่ที่โครงการแห่งความหวังหลิงเซียวส่งมายังไงล่ะ!
ระบบนี่มันจะต่ำช้าเกินไปแล้ว ส่งมาได้แม้กระทั่งเด็กตัวเล็กๆ นี่มันใช้แรงงานเด็กชัดๆ เห็นเขาชอบจับคนไปขังไว้ในกรงหรือยังไงกัน
“เต้าจวิน” ต้วนเจียเจ๋อวางโหย่วซูลงแล้วชะโงกหน้าเข้าไปในห้องของลู่ยา “มีคนใหม่มาแล้วครับ คุณรู้จักไหม”
หลังจากที่โหย่วซูถูกปล่อยตัวลงก็จัดการกับกระโปรงของตัวเองอย่างเรียบร้อย แล้วเดินก้าวเข้าไปในห้องของลู่ยาทันที
ลู่ยาที่กำลังแกว่งเท้าวางมาดนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง “มองอะไร ฉันได้กลิ่นเหม็นคาวมาแต่ไกล” เขายื่นมือออกมาพัดจมูกก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น “จิ้งจอกเก้าหางก็อยู่ที่นี่ด้วยนี่”
โหย่วซูยิ้มหวานพูดว่า “ลู่ยาเต้าจวิน ไม่ได้พบกันนานเลยนะคะ”
ต้วนเจียเจ๋อขยี้หูพูดว่า “เดี๋ยวก่อนนะครับ จิ้งจอกเก้าหาง? จิ้งจอกเก้าหางตัวไหนครับ”
โหย่วซูยิ้มไม่หุบพูดว่า “ก็ตัวที่มีชื่อเสียงที่สุดยังไงล่ะ”
ตัวที่มีชื่อเสียงที่สุด? ต้วนเจียเจ๋ออึ้งไปพักหนึ่งก่อนที่จะพูดเสียงหลง “ต๋าจี่[1]?”
ในแง่ของความนิยมโด่งดังเป็นที่รู้จัก สถานการณ์ของต๋าจี่และลู่ยานั้นตรงกันข้าม ชื่อของต๋าจี่เป็นที่รู้จักกันดีในนามของจิ้งจอกเก้าหาง ส่วนลู่ยานั้น รูปลักษณ์ที่แท้จริงซึ่งเป็นอีกาทองสามขาต่างหากถึงเป็นที่รู้จักกันดีอย่างแพร่หลาย ไม่ใช่ชื่อของเขา
ดังนั้นปฏิกิริยาของต้วนเจียเจ๋อตอนที่ได้รู้จักต๋าจี่ในครั้งแรก ยังตกใจมากกว่าตอนที่เขาได้เจอกับลู่ยาเสียอีก
ตามหลักต๋าจี่ได้ถูกประหารชีวิตไปแล้ว แต่เมื่อพิจารณาถึงความถูกต้องของตำนานและข้อเท็จจริง ประกอบกับร่างที่แท้จริงของปีศาจตนนี้เป็นจิ้งจอกเก้าหาง ดังนั้นการที่เธอจะกลับมาปรากฏตัวในร่างนี้อีกครั้งก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพียงแต่รูปลักษณ์ของเธอในตอนนี้ทำให้คนตกใจอยู่มาก
ต้วนเจียเจ๋อแทบไม่อยากจะเชื่อ เขาอึ้งไปพักใหญ่ถึงระเบิดออกมาหนึ่งประโยค “ทะ ทะ ทะ…ทำไมคุณถึงอยู่ในร่างนี้”
แม้ว่าเธอจะหน้าตาสวยงาม แต่ไม่ว่าสาวโลลิจะสวยน่ารักสักแค่ไหนก็ยังคงมีช่องว่างขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับความประทับใจที่มนุษย์มีต่อปีศาจร้ายตนนี้
โหย่วซูยกชายกระโปรงขาวสะอาดของเธอขึ้นและยิ้มอย่างไร้เดียงสา “ทั้งหมดนี้ก็เพื่อประโยชน์ของหลิงโย่วค่ะ ถ้าฉันใช้ร่างมนุษย์ผู้ใหญ่เกรงว่าจะเกิดปัญหาได้ง่าย”
ความหมายนี้ชัดเจนมาก เธอกลัวว่าความงามของตัวเองจะล่อลวงผู้คนให้มาติดกับได้
คำพูดนี้หากเป็นคนอื่นพูดอาจจะฟังดูเหมือนเป็นคนหน้าไม่อาย แต่เมื่อเธอเป็นคนพูดออกมาเอง มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ และไม่สามารถจะหาเหตุผลมาโต้แย้งได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว
“ถ้าอย่างนั้น หรือว่าโหย่วซูคือชื่อจริงของคุณ” ต้วนเจียเจ๋อถามอย่างระมัดระวัง
โหย่วซูตอบ “ฉันไม่มีชื่อจริงค่ะ มันก็แค่จะสะดวกกว่าสำหรับผู้อำนวยการถ้าเรียกแบบนั้น โหย่วซูเป็นชื่อตระกูลของต๋าจี่ ฉันแค่ยืมมาใช้ มันคงไม่ดีเท่าไหร่ที่จะเรียกฉันว่าต๋าจี่อีก”
ไร้ซึ่งการเปรียบเทียบก็จะไร้ซึ่งภยันตรายใดๆ เมื่อเทียบกับลู่ยาแล้ว โหย่วซูดูใส่ใจผู้คนมากกว่า แม้แต่รายละเอียดยิบย่อยพวกนี้เธอก็พิจารณาอย่างรอบคอบ
การที่โหย่วซูปรากฏตัวขึ้นด้วยรูปลักษณ์แบบนี้ อีกทั้งทัศนคติของเธอนั้นก็น่าเข้าหา จึงเป็นเหตุให้แม้ต้วนเจียเจ๋อจะรู้ว่าเธอเป็นจิ้งจอกเก้าหาง แต่ก็รู้สึกว่าเธอไม่ได้น่ากลัวจนเกินไป “ยินดีต้อนรับเข้าสู่หลิงโย่วนะครับ ถ้าอย่างนั้นคุณคงรู้สถานการณ์ของพวกเราในตอนนี้หมดแล้วใช่ไหม ผมจะจัดเตรียมห้องและที่ทำงานไว้ให้คุณนะ…มันค่อนข้างจะเรียบง่าย คุณอย่าถือสาเลยนะ”
ต้วนเจียเจ๋อมองประเมินสีหน้าของโหย่วซูอย่างระมัดระวัง เขายังจำได้ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ลู่ยาโวยวายขอให้เขาสร้างที่ทำงานให้ใหญ่ขึ้น เขาจึงกลัวโหย่วซูจะเปิดปากขึ้นว่า “สร้างหอดูดาวลู่ไถ[2]ให้ฉันหน่อยค่ะ”
แต่สหายจิ้งจอกเก้าหางกลับพูดจาอย่างว่าง่าย “แล้วแต่ผู้อำนวยการเลยค่ะ”
อา ความรู้สึกนี้ช่างวิเศษจริงๆ จิ้งจอกเก้าหางเชื่อฟังเขา
ต้วนเจียเจ๋อตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่งก็ถูกลู่ยาผลักออกมาอย่างไม่แยแส “จัดให้เธออยู่ห่างๆจากฉันหน่อย กลิ่นเหม็นจะตายชัก”
ต้วนเจียเจ๋อพึมพำ “อารมณ์ร้ายจริงๆ…”
“เต้าจวินไม่สนใจมือสมัครเล่นอย่างฉันหรอกค่ะ” โหย่วซูโบกมือไปมา “วันนี้ถือว่าเขาเมตตามากแล้วนะคะ ผู้อำนวยการ ฉันต้องขอบคุณคุณมากเลยค่ะ”
แบบนี้ยังจะเรียกว่าเมตตา?
ต้วนเจียเจ๋อกลับมาคิดดู มันก็จริงที่ลู่ยาดูเหมือนจะอดทนยอมเชื่อฟังอยู่เสมอ เพราะตัวเขาเองก็ถูกข้อจำกัดของระบบผูกมัดไว้อยู่
แต่ถึงแม้ว่าจะอดกลั้นเอาไว้ อารมณ์ก็ยังร้ายอยู่ดี…
ต้วนเจียเจ๋ออดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นอย่างหวาดกลัว “คงจะเป็นอย่างนั้นแหละครับ ถ้าเขาทำได้ เขาก็คงฆ่าผมตายไปนานแล้ว
“เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน ผมยังซื้อของมาด้วยนี่นา” จู่ๆ ต้วนเจียเจ๋อก็นึกได้ว่าเขาซื้อเสื้อผ้ามา จึงเดินกลับไปเคาะประตูห้องของลู่ยาอีกครั้ง “เต้าจวิน ผมเห็นว่าคุณใส่เสื้อผ้าซ้ำกันทุกวัน ก็เลยซื้อเสื้อผ้าใหม่มาสองชุดให้คุณเปลี่ยน”
ลู่ยาไม่ได้มีสีหน้าซาบซึ้งเลยแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกอับอายและโกรธเคืองเสียด้วยซ้ำ “ใครจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทุกๆ วันเหมือพวกมนุษย์อย่างนายกัน! นี่มันขนของฉัน!”
เสียง “ปึง” ดังขึ้น ต้วนเจียเจ๋อถูกปิดประตูใส่หน้า
แต่เรื่องที่ลู่ยาพูดก็ถูก นกที่ไหนจะเปลี่ยนรูปเปลี่ยนสีขนได้ทุกวัน นั่นมันเป็นงานอดิเรกของมนุษย์ต่างหาก
“ช่างเถอะ ถ้าคุณไม่เอาผมจะใส่มันเอง” ต้วนเจียเจ๋อขี้เกียจเกินกว่าที่จะไปเปลี่ยนไซส์ด้วยซ้ำ ใส่เสื้อตัวใหญ่หน้าร้อนน่าจะสบายกว่าเยอะ
ลู่ยาไม่พอใจ ต้วนเจียเจ๋อจึงได้จัดให้โหย่วซูไปอยู่ที่ห้องอีกฟากหนึ่งสุดปลายทางเดิน จากนั้นก็พาเธอไปดูกรงของตัวเอง “คุณต้องการอะไรเพิ่มไหมครับ ผมจะพยายามหามาให้คุณพอใจอย่างแน่นอน”
โหย่วซูไม่มีอะไรที่ไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย “ไม่มีหรอกค่ะ ที่นี่ดีใช้ได้เลย”
ต้วนเจียเจ๋อ “ผมสามารถจดทะเบียนให้คุณเป็นสุนัขจิ้งจอกอาร์กติกได้ไหมครับ” ระบบจะช่วยในการทำขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีช่องโหว่สำหรับสัตว์ที่ถูกส่งมาที่นี่
โหย่วซูพูดขึ้นอย่างฉะฉาน “ได้เลยค่ะ”
การที่โหย่วซูว่าง่ายขนาดนี้ทำให้ต้วนเจียเจ๋อรู้สึกซาบซึ้งใจมาก ลู่ยา นายดูการถ่อมตัวของเธอสิ ในตอนแรกลู่ยาเองนั้นอยากจะจดทะเบียนเป็นสัตว์ที่ต้องได้รับการคุ้มครองระดับสูงสุดของประเทศเสียด้วยซ้ำไป
โหย่วซูถามอย่างไม่ใส่ใจ “จริงสิ คุณเพิ่งบอกว่ามีอาหารให้ด้วย เสี่ยวซูกับหลิวปินใช่ไหมคะ”
ต้วนเจียเจ๋อมองโหย่วซูอย่างหวาดผวา “…”
ทันใดนั้นโหย่วซูก็สังเกตเห็นสีหน้าที่ผิดปกติของเขา จึงถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “เป็นอะไรไป ไม่ใช่เหรอคะ”
ต้วนเจียเจ๋อ “…ไม่ใช่ครับ พวกเขาเป็นพนักงานประจำของพวกเรา ส่วนอาหารระบบจะจัดการส่งมาให้คุณในทุกวัน”
ความคิดก่อนหน้านี้ของเขาออกจะไร้เดียงสาเกินไปแล้ว จิ้งจอกเก้าหางยังไงก็อันตรายมากอยู่ดี!
สีหน้าของโหย่วซูยังดูเป็นปกติพลางพูดขึ้นว่า “โอ้ จริงด้วยค่ะ”
ต้วนเจียเจ๋อฟังคำพูดคำจาของโหย่วซูด้วยใบหน้าซีดเผือด
หลังจากนี้หากมีคนถาม เขาก็จะบอกว่าโหย่วซูเป็นลูกพี่ลูกน้องของลู่ยา ซึ่งพวกเขาทั้งคู่เป็นคนที่หน้าตาดีมาก ก่อนหน้านี้ที่ต้วนเจียเจ๋อบอกไปว่าโหย่วซูเป็นญาติของลู่ยา พวกเสี่ยวซูก็ไม่ได้สงสัยอะไร
เขาได้เล่าสรุปสถานการณ์ของสวนสัตว์ในตอนนี้ให้โหย่วซูฟังแล้ว สิ่งที่สำคัญก็คือ หวังว่าหลังจากที่โหย่วซูเข้าใจสถานการณ์แล้ว เธอจะตั้งใจมากขึ้นในเวลาทำงาน
โหย่วซูตั้งใจฟัง ไม่เหมือนกับลู่ยาตอนที่เพิ่งมาถึงเลยสักนิดที่พอต้วนเจียเจ๋อพูดไม่กี่คำเขาก็ทำท่าโมโหโวยวายเหมือนกับจะหาเรื่องคนตลอดเวลา เธอรอให้ต้วนเจียเจ๋อพูดจบ จากนั้นถึงเปิดปากพูดขึ้น “ดังนั้นปัญหาเดียวของผู้อำนวยการในตอนนี้ก็คือ กลัวว่าจะมีนักท่องเที่ยวไม่พอใช่ไหมคะ”
ต้วนเจียเจ๋อ “ใช่ครับ ตอนนี้ผมก็กำลังประชาสัมพันธ์ข่าวไปทุกที่…”
โหย่วซูยิ้มหวาน “ผู้อำนวยการพูดว่า เคยมีนักเรียนมาเที่ยวชมที่นี่ฟรี ถ้าอย่างนั้นแปลว่าไม่ได้คิดเงินใช่ไหมคะ หากคุณส่งคนไปติดต่อที่โรงเรียนที่มีคนเยอะๆ คุณก็จะเปลืองแรงแค่นิดเดียว แต่ได้ผลลัพธ์กลับมาเยอะมากนะคะ คุณจะได้ไม่ต้องใช้เงินไปมากกว่านี้เพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ”
โหย่วซูจับประเด็นได้ทันที หากพวกเขาสามารถทำข้อตกลงกับโรงเรียนบางแห่ง และให้นักเรียนของโรงเรียนเหล่านั้นเข้ามาเที่ยวที่หลิงโย่ว แน่นอนว่ามันย่อมคุ้มกับเงินที่เสียไป
ต้วนเจียเจ๋อเกาหน้า เขาเป็นแค่นักศึกษาธรรมดาที่เพิ่งจะเรียนจบ และไม่ค่อยเก่งเรื่องการบริหารกับการเจรจาธุรกิจเลยสักนิด “เดี๋ยวผมลองทีหลังได้ไหมครับ ตอนนี้ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์ครับ”
“ไม่รีบค่ะ ค่อยเป็นค่อยไป” เสียงของโหย่วซูเป็นเสียงของเด็กที่ดังชัดเจนและฟังดูไร้เดียงสา แต่น้ำเสียงกลับจริงจังและก็ไม่ได้มีท่าทีล้อเล่นแม้แต่น้อย “ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาพยายามจากวิธีอื่นกันก่อนแล้วกันค่ะ ฉันขอทำความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ของที่นี่ก่อน”
สำหรับความคิดริเริ่มตั้งใจรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเองแบบนี้ ต้วนเจียเจ๋อรู้สึกประทับใจมาก “ลำบากคุณแล้วครับ แค่คุณทำงานเป็นสัตว์ก็ยากพออยู่แล้ว แถมยังมาช่วยผมคิดวิธีแทนอีก”
“ไม่เป็นไร คนกันเอง” โหย่วซูพูดอย่างสบายๆ “แม้ว่าพวกเราจะได้รับมอบหมายให้เป็นสัตว์ แต่ขอบเขตในโลกนี้ก็ไม่ได้แบ่งไว้ชัดเจนมากนัก ฉันสามารถช่วยเหลือให้เหมือนกับฝูจั่ว[3] ได้ค่ะ หวังว่าเมื่อถึงตอนนั้นผู้อำนวยการจะให้คะแนนฉันสูงๆ และช่วยให้ฉันกลับคืนสู่อิสรภาพโดยเร็วที่สุด”
ต้วนเจียเจ๋อเผยสีหน้าสับสน “อิสระเหรอครับ”
เขาสามารถเข้าใจกลไกการให้คะแนนได้ แต่ที่โหย่วซูพูดว่าอิสระอะไรนั่นเขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
“อ๊ะ คุณไม่รู้เหรอคะ” ดวงตาของโหย่วซูเบิกกว้าง ชำเลืองมองไปทางห้องของลู่ยา
ต้วนเจียเจ๋อสัมผัสได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ “พวกคุณไม่ใช่อาสาสมัครเหรอครับ ที่มาที่นี่เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ แล้วทำไมถึงอยากมีอิสระกัน”
โหย่วซูพูดอย่างไร้เดียงสา “ผู้อำนวยการคิดว่าลู่ยาเต้าจวินหรือฉันที่ดูเหมือนคนที่อยากจะช่วยเหลือมนุษย์กันล่ะคะ”
ต้วนเจียเจ๋อ “…”
…เอ่อ ก็จริง
โหย่วซูยิ้มหวาน “อย่างไรก็ตาม ฉันทำผิดพลาดนิดหน่อย ก็เลยถูกลงโทษให้มาทำงานบนโลกมนุษย์ หากคุณไม่พอใจฉัน คุณไม่เพียงแต่สามารถแสดงความคิดเห็นที่ไม่ดีเท่านั้น แต่คุณยังส่งฉันคืนได้ด้วยค่ะ”
ต้วนเจียเจ๋อตะลึง
ไม่แปลกใจเลยที่จิ้งจอกเก้าหางในตำนานจะพูดจาด้วยง่ายขนาดนี้ ไม่เรื่องมาก แถมยังรีบเสนอความคิดเห็นให้กับเขาอีก ที่แท้ก็เพราะโดนลงโทษและหวังว่าจะได้รับความคิดเห็นที่ดีเพื่อยุติการลงโทษนี้ เนื่องจากแอพเพิ่งจะได้รับการพัฒนาออกมา ดังนั้นฟังก์ชันนี้จึงไม่ได้แสดงผล ทำให้ต้วนเจียเจ๋อไม่รู้ที่มาว่ามีกรณีแบบนี้ด้วย
…ถ้าอย่างนั้นเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าบ้าลู่ยาคนนั้นกัน
เมื่อมองตามหลังของต้วนเจียเจ๋อที่เดินไปทางห้องของลู่ยา แววตาของโหย่วซูก็เปล่งประกายเจ้าเล่ห์ ไม่เหมือนกับท่าทางและรูปร่างหน้าตาของเธอเลยแม้แต่น้อย
ต้วนเจียเจ๋อวิ่งไปเคาะประตูห้องของลู่ยาอีกครั้ง ลู่ยาเปิดประตูด้วยท่าทีไม่พอใจ เขาดมกลิ่นที่อยู่บนตัวของต้วนเจียเจ๋อแล้วบีบจมูกตนเอง “นายจะทำอะไรของนายอีก ชอบมารบกวนเปิ่นจุนอยู่เรื่อย”
ต้วนเจียเจ๋อ “ผมเพิ่งรู้ว่า อา·สา·สมัคร อย่างพวกคุณจะต้องทำคะแนนด้วย”
ลู่ยา “…”
“นังจิ้งจอกบ้านั่น!” เมื่อลู่ยารู้ว่าความลับของตนถูกจิ้งจอกเก้าหางเปิดเผยก็พูดขึ้นด้วยความโกรธ “ฉันจะบอกนายให้ ถ้านายกล้าแสดงความคิดเห็นว่าฉันไม่ดีละก็ นายตายแน่ และนายก็ห้ามส่งฉันกลับไปด้วย!”
โลกมนุษย์นั้นไม่ได้เปิดให้สิ่งมีชีวิตโลกอื่นเข้ามานานหลายปีแล้ว และการมาที่นี่ก็ไม่ต่างกับการได้เดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ ยิ่งไปกว่านั้นงานของที่นี่ก็ง่ายกว่ามาก เพราะประเมินตามสภาพความเป็นอยู่ของบุคคลที่ได้รับความช่วยเหลือ และแน่นอนว่าลู่ยาเองก็ไม่อยากถูกส่งกลับ
จะว่าไปแล้ว เขาต้องทุกข์ทรมานมามากขนาดไหนกัน
ลู่ยาน้อยใจมาก “ฉันจะแกล้งทำตัวเป็นสัตว์เหมือนในคณะละครสัตว์ และจะยอมอยู่แต่ในกรง…
“นายก็เห็นแค่ความสวยงามของยัยจิ้งจอกเก้าหางนั่น ฉันจะบอกนายให้ เธอไม่ใช่คนดีอย่างที่นายคิด
“แล้วนายยังไปฟังคำพูดที่มีเล่ห์เหลี่ยมของยัยนั่น โดยที่ไม่ได้คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระเจ้าโจ้วแห่งราชวงศ์ซางเลยหรือยังไงกัน
“มนุษย์อย่างพวกนายระวังตัวไว้หน่อยสิ!”
ต้วนเจียเจ๋อ “…”
ทำไมเขาถึงพูดแล้วต้องทำท่ากลัวจนตัวสั่นขนาดนั้นกัน แล้วยังเปรียบเทียบกับพระเจ้าโจ้วแห่งราชวงศ์ซางอีก
ต้วนเจียเจ๋อหมดคำพูด “ไม่ส่งกลับก็ไม่ส่งกลับ แต่ถ้าคุณจะแกล้งเป็นสัตว์ ผมก็จะแกล้งเป็นซุนจื่อ[4]แล้วกัน นี่พี่ชาย คุณช่วยจริงใจมากกว่านี้หน่อยได้ไหม ยังจะมาบอกว่าเป็นอาสาสมัครอะไรอีก พอโหย่วซูพูดก็ทำให้ผมนึกขึ้นได้ มันจะเป็นไปได้ยังไงที่คนอย่างคุณจะยอมมาช่วยเหลือคนอื่น…”
ลู่ยา “…”
ลู่ยาจากที่อับอายกลายเป็นมีโทสะ “หรือนายจะบอกว่าเปิ่นจุนไม่ช่วยเหลือผู้คน”
“คุณช่วย แต่ดูเหมือนคุณจะไม่มีความสุขนะ” ต้วนเจียเจ๋อพูด และเริ่มถามซอกแซกขึ้นมาทันที “แล้วที่บอกว่าพวกคุณทำผิดเล็กน้อยถึงได้กลายมาเป็นอาสาสมัคร คุณทำอะไรลงไปเหรอ”
ลู่ยาหน้าตาบึ้งตึงขึ้นมาทันที “ออกไป! ออกไปเลยนะ! ถ้ายังไม่ออกไปฉันจับนายกินแน่!”
________________________________________
[1] ตามตำนานเล่าว่า หนี่ว์วาได้มีรับสั่งให้ปิศาจจิ้งจอกเก้าหาง ไปทำให้พระเจ้าโจ้วแห่งราชวงศ์ซางเกิดความลุ่มหลงจนบ้านเมืองล่มสลายเพื่อเป็นการลงโทษที่พูดจาลบหลู่ จิ้งจอกเก้าหางจึงลอบฆ่าต๋าจี่ สนมรักของพระเจ้าโจ้วและสวมรอยเป็นตัวแทน ในที่สุดจิ้งจอกเก้าหางในร่างต๋าจี่ ก็ยุให้พระเจ้าโจ้วสร้างหอดูดาวลู่ไถ สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้คน จนในที่สุดก็ถูกเจียงจื่อหยาล้อมปราบและจิ้งจอกเก้าหางก็หายตัวไปตั้งแต่นั้น
[2]鹿台 พระเจ้าโจ้วสร้างให้ต๋าจี่เพราะต้องการเอาใจนาง
[3]辅佐หมายถึง อัครเสนาบดีที่ช่วยประมุขบริหารราชการแผ่นดิน
[4]孙子 หรือที่คนไทยรู้จักในนามซุนวู นักการทหารและนักปกครองที่โดดเด่นในสมัยชุนชิว และเป็นผู้เขียนตำราพิชัยสงคราม
คอมเมนต์