เมื่อผมเป็นเจ้าของสวนสัตว์ ตอนที่ 3-4

Reader Settings

Size :
A-16A+

บทที่ 3 (4)

การมาถึงของโหย่วซูทำให้เสี่ยวซูมีงานอดิเรกใหม่เพิ่มขึ้นมา เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอว่าง เธอจะพาเด็กน้อยในสายตาของเธอมาเล่นด้วยกัน
นอกจากนี้เสี่ยวซูยังขอยืมตัวโหย่วซูจากต้วนเจียเจ๋อมาเป็นนางแบบ “ฉันถ่ายรูปที่โหย่วซูตัวน้อยกับสัตว์เล่นกันไว้ค่ะ สามารถปรินต์รูปออกมาและแขวนไว้ที่ด้านนอกเพื่อทำเป็นภาพประชาสัมพันธ์ได้ แล้วก็ยังสามารถทำเป็นใบปลิวไว้แจกตอนก่อนที่จะเปิดทำการได้ด้วยนะคะ”
“ความคิดดีมากเลย” ต้วนเจียเจ๋อพูด “จากนี้ไปพวกเราจะสร้างแพลตฟอร์มโปรโมตของเราเอง และเราก็จะสามารถโพสต์รูปภาพพวกนี้เองได้ เพราะทุกคนชอบที่จะดูสัตว์ที่น่ารักและเด็กที่น่ารักอยู่ด้วยกัน”
เสี่ยวซูรู้สึกลังเล
ต้วนเจียเจ๋อมองเห็นท่าทางแบบนั้นของเธอก็ถามว่า “เป็นอะไรไปครับ”
หลิวปินที่อยู่ข้างๆ พูดแทรกขึ้นว่า “ผู้อำนวยการ เธออยากจะยืมตัวพี่ลู่มาเป็นนายแบบให้เหมือนกัน”
นอกจากเด็กสาวโลลิแล้ว หนุ่มหล่อก็เปล่งประกายไม่แพ้กัน
ต้วนเจียเจ๋อพูดอย่างเศร้าใจ “นี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ…พี่ลู่ของคุณอารมณ์ร้าย และไม่แน่ก็อาจจะไม่เต็มใจด้วย ผมจะดูว่ามีโอกาสไหม ถ้าเกิดวันไหนเขาอารมณ์ดี ผมจะลองถามดูให้แล้วกัน”
อันที่จริงต้วนเจียเจ๋ออยากจะบอกว่า เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงเรื่องนี้
“ก็ได้ค่ะ” เสี่ยวซูพยักหน้าตาปริบๆ “ผู้อำนวยการคะ อันที่จริงคุณมาเป็นนายแบบให้ก็ได้นะคะ แค่ต้องเปลี่ยนชุดใหม่ เสื้อตัวนี้ของคุณมันไม่พอดีตัวน่ะค่ะ”
เสื้อผ้าที่ต้วนเจียเจ๋อใส่ในวันนี้ก็คือเสื้อผ้าที่ลู่ยาไม่ต้องการแล้ว “ผมซื้อมาใหญ่ไปน่ะ และผมก็ไม่ได้เก่งเรื่องการเป็นนายแบบนะ แบบนั้นมันเป็นเหมือนกับยายหวังขายแตง ขายเองชมเอง[1] ไม่ใช่หรือไงครับ”
เสี่ยวซูจึงได้แต่จูงมือโหย่วซูไปถ่ายรูป เธอตั้งใจจะให้โหย่วซูกับพวกนกถ่ายรูปกันเป็นกลุ่ม และตอนที่เดินอยู่บนถนนก็ยังใส่ใจเตือนเด็กน้อยเป็นครั้งคราว “ระวังตรงนี้นะ มันมีหลุมอยู่ด้วย”
ต้วนเจียเจ๋อเดินตามอยู่ข้างหลัง ตั้งใจจะไปสังเกตการณ์แล้วจากนั้นค่อยกลับไปทำงานต่อ แต่พอได้ยินประโยคนี้ของเสี่ยวซู เขาก็เหงื่อตกไม่หยุด เสี่ยวซู คุณรู้ไหมว่ากำลังเตือนใครให้เดินอย่างระวัง ต่อให้หลานของพวกคุณมีอายุไปถึงเก้าสิบปี คนคนนี้ก็ไม่มีทางลื่นล้มหรอกนะ
เสี่ยวซูพาโหย่วซูไปยังบริเวณที่จัดแสดงนก เธอใช้สองมือประคองนกฮวยบี้จีนลงมาจากกิ่งไม้และวางไว้บนมือของโหย่วซู
ต้วนเจียเจ๋อเห็นเพียงแค่โหย่วซูที่ทำตามคำแนะนำของเสี่ยวซู แสดงท่าทางน่ารักไร้เดียงสาออกมา เสี่ยวซูจับกล้องถ่ายภาพอย่างมีความสุข โดยที่ไม่ได้สังเกตในกล้องเลยแม้แต่น้อยว่าเจ้านกฮวยบี้จีนที่เฉลียวฉลาดตัวนั้นสั่นเทาไปทั่วทั้งร่าง…
เฮ้อ มันไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยจริงๆ
ต้วนเจียเจ๋อมองดูอยู่พักหนึ่ง แล้วเขาก็ทนดูไม่ได้อีกต่อไปแล้ว จึงวิ่งไปทำงานของตัวเองต่อ
เขาให้อาหารสัตว์ที่ต้องรับผิดชอบ กว่าจะทำความสะอาดฆ่าเชื้อเสร็จเรียบร้อยก็เกือบเที่ยง แล้วตอนนี้เขายังจะต้องไปทำอาหารอีก
อันที่จริงหลังจากที่สวีเฉิงกงเข้ามา เขาก็เสนอตัวรับผิดชอบหน้าที่ในการทำอาหารกลางวันให้กับเพื่อนร่วมงานทุกคน เนื่องจากเขาใช้ชีวิตด้วยตัวเองมาตลอดระยะเวลาหลายปี เรื่องฝีมือทำกับข้าวของเขาอันที่จริงก็ไม่เลวเลยทีเดียว
แต่ทำไมต้วนเจียเจ๋อถึงยังต้องเข้าครัวอีกน่ะเหรอ เดิมทีเขาสามารถขอให้สวีเฉิงกงทำอาหารให้ลู่ยาด้วยอีกจาน แต่เป็นเพราะเจ้าบ้าลู่ยายืนกรานว่าจะต้องให้ผู้อำนวยการเป็นคนทำอาหารให้ถึงจะมีเกียรติมีศักดิ์ศรี!
การที่เขามาเป็นสัตว์อยู่ที่นี่ให้ก็ทุกข์ทรมานมากพออยู่แล้ว คิดว่าใครก็ล้วนแต่มีคุณสมบัติพอที่จะมาทำอาหารให้เขากินได้หรืออย่างไรกัน
แน่นอนว่าต้วนเจียเจ๋ออยากชกหน้าลู่ยา ทั้งๆ ที่ตัวเองถูกลงโทษให้ลงมาที่นี่แท้ๆ
เนื่องจากมีห้องครัวเพียงแค่ห้องเดียว สวีเฉิงกงและต้วนเจียเจ๋อจึงผลัดเวลากันใช้ ในตอนที่เขาเข้ามาถึงนั้น สวีเฉิงกงก็ทำอาหารเสร็จพอดี เขาวางจานอาหารลงบนโต๊ะแล้วเรียกเสี่ยวซูกับหลิวปินมากิน
อาหารของโหย่วซูก็ถูกแบ่งออกมาแล้วเช่นกัน ต้วนเจียเจ๋อจึงถือโอกาสนี้รับผิดชอบทำอาหารให้เธอไปด้วย
แม้ว่าโหย่วซูจะไม่ได้พูดอะไร แต่ต้วนเจียเจ๋อก็ยังให้เธอมีความสุขกับอาหารของเธอแต่เพียงผู้เดียว และแม้ว่าโหย่วซูจะเชื่อฟังอยู่เสมอ แต่ต้วนเจียเจ๋อก็ไม่กล้าปล่อยให้เธอกินอาหารร่วมกับพนักงานคนอื่น จึงแบ่งอาหารของเธอแยกออกมา
พวกสวีเฉิงกงสามคนนั้นรอให้ต้วนเจียเจ๋อมากินอาหารด้วยกัน ส่วนโหย่วซูก็นั่งรออาหารของตัวเองอยู่ข้างๆ
ต้วนเจียเจ๋อผัดอาหารเกือบจะเสร็จแล้ว จึงให้โหย่วซูไปเรียกลู่ยาลงมากินข้าว โหย่วซูซอยเท้าที่อยู่ในรองเท้าหนังเล็กๆ วิ่งตึงตังขึ้นไปหาลู่ยาที่ชั้นบน เมื่อต้วนเจียเจ๋อจัดจานวางบนโต๊ะเรียบร้อย ลู่ยาก็เดินเกาหัวเข้ามาพอดี
ทันทีที่ลู่ยาเดินเข้าประตูมา ทุกคนก็จ้องมองไปที่เขา จากนั้นก็เบนสายตากลับไปมองต้วนเจียเจ๋อ
ต้วนเจียเจ๋อและลู่ยาต่างสบตากันไปมา
ลู่ยา “…”
ต้วนเจียเจ๋อ “…”
ต้วนเจียเจ๋อพูดไม่ออก เขาพบว่าเสื้อผ้าบนตัวของลู่ยาเป็นแบบเดียวกับเสื้อผ้าที่เขาใส่อยู่ แต่เสื้อตัวนี้เขาก็ซื้อมาแค่ตัวเดียว ในเมื่อลู่ยาไม่ต้องการเขาก็เลยเอามาใส่เสียเอง แล้วเสื้อผ้าบนตัวลู่ยามาจากไหนกัน เปลี่ยนขนเองอย่างนั้นเหรอ
แล้ววันนั้นนายไม่พอใจอะไรของนายกัน!
คนอื่นไม่ได้พูดอะไรออกมา ส่วนสวีเฉิงกงและหลิวปินนั้นก็เป็นผู้ชายที่มีนิสัยหยาบๆ ทั้งคู่ สวีเฉิงกงหัวเราะเหอะๆ แล้วพูดว่า “ในที่สุดเสี่ยวลู่ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ไปซื้อมาด้วยกันกับผู้อำนวยการเหรอ ดูดีมากเลยนะ”
หลิวปิน “เฮ้ นี่พี่ลู่ซื้อมาสองตัวแล้วก็ให้ผู้อำนวยการตัวหนึ่งใช่ไหมครับ ผมบอกแล้วว่าเสื้อผ้าพี่ลู่มันใหญ่มาก”
เสี่ยวซู (ตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก) “ดูดีมากๆ เลยค่ะ!”
หลังจากที่ลู่ยาถูกต้วนเจียเจ๋อพูดใส่แบบนั้นก็โกรธเคืองมาก ไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าอะไรกัน หากเขาอยากจะเปลี่ยนเขาก็สามารถเปลี่ยนได้ทุกวัน และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้า และยังเปลี่ยนเป็นสไตล์เดียวกับที่ต้วนเจียเจ๋อซื้อมาด้วย
นอกจากนี้เขายังคิดไว้อีกว่าจะเยาะเย้ยต้วนเจียเจ๋อหลังจากที่เขาได้เสื้อตัวนี้ แต่ใครจะไปรู้ว่าต้วนเจียเจ๋อจะใส่เสื้อแบบเดียวกันในวันเดียวกันแบบนี้อีก
ท่ามกลางสายตาของทุกคน ลู่ยาเดินเข้ามาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ แล้วกระซิบด่าที่ข้างหูของต้วนเจียเจ๋อ “ไร้มารยาท นึกไม่ถึงว่านายจะกล้าใส่เสื้อผ้าของเปิ่นจุน!”
“โอ้โห” ต้วนเจียเจ๋อกระซิบ “คุณไม่ต้องการเองนะ หรือคุณจะให้ผมทิ้งไปเปล่าๆ หรือไง”
ลู่ยาถามกลับ “ใครบอกว่าฉันไม่ต้องการ”
ต้วนเจียเจ๋อ “…”
ต้วนเจียเจ๋อโกรธมาก เขาจึงหยิบจานใหญ่ขึ้นมาและตักกับข้าวเกินครึ่งใส่ในชามของโหย่วซูที่นั่งเป็นเด็กดีเชื่อฟังอยู่ข้างๆ “กินนี่สิ โหย่วซูอยู่ในวัยกำลังโต ต้องกินเยอะๆ หน่อย!”
โหย่วซูหยิบชามอาหารขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วจิ้มเนื้อส่งเข้าปากตนเองจนแก้มทั้งสองข้างป่องออกมา
ในเมื่อโหย่วซูเริ่มกินอาหารของเธอไปแล้ว ลู่ยาจะกล้าไปแย่งอาหารจากในชามของเธอมาได้อย่างไร ทันใดนั้นเขาก็โมโหขึ้นมาอีก
เมื่อเห็นท่าทางของลู่ยา ต้วนเจียเจ๋อก็มีความสุขขึ้นมาทันที
สวีเฉิงกงไม่ได้สังเกตเห็นการทะเลาะกันของต้วนเจียเจ๋อและลู่ยา แต่เขาถูกท่าทางการกินของโหย่วซูดึงความสนใจไปหมด “พระเจ้าช่วย เด็กคนนี้หิวขนาดไหนกันเนี่ย”
โหย่วซูกินเนื้อที่อยู่ในชามอย่างรวดเร็ว เร็วจนกระทั่งดูดุร้ายและน่ากลัวอยู่นิดหน่อย หากคนที่ไม่รู้คงนึกว่าเธอหลบหนีอะไรมา
ลู่ยาหัวเราะราวกับกำลังเยาะเย้ยความดุร้ายของจิ้งจอกเก้าหางที่เสแสร้งทำตัวเหมือนเป็นสัตว์ที่สูงส่ง ไม่ว่าจะได้รับการปลูกฝังมาอย่างดีเพียงใด นิสัยที่ยังของไม่เปิดเผยของโหย่วซูนั้นต่อให้มีหางทั้งเก้าก็คงไม่เพียงพอที่จะปกปิดตัวตนของเธอ
ต้วนเจียเจ๋อยิ้มแห้งพลางลูบหัวโหย่วซู “กินช้าๆ เมื่อไม่นานมานี้เด็กคนนี้ป่วย เลยไม่ได้กินเนื้อมานานแล้วครับ”
ในด้านนี้ เมื่อเทียบกับลู่ยาแล้ว โหย่วซูนั้นด้อยกว่าอยู่นิดหน่อย ลู่ยาสามารถรวบรวมและปลดปล่อยพลังได้อย่างเป็นธรรมชาติ ตอนที่รวบรวมพลังนั้นพวกสัตว์ต่างๆ ก็ไม่ได้รับผลกระทบจากพลังลมปราณของเขา และก็ไม่เคยเห็นเขาเผยลักษณะท่าทางของอีกาทองตอนที่อยู่ในร่างมนุษย์
อันที่จริงพลังในการควบคุมอารมณ์ของลู่ยานั้นสูงกว่าโหย่วซูมาก หากถามว่าพลังของโหย่วซูสามารถทำแบบนั้นได้หรือไม่ แน่นอนว่าทำได้ แต่เธอไม่เต็มใจที่จะอดกลั้นต่อสัญชาตญาณจนถึงขั้นนั้น

ต้วนเจียเจ๋อบอกทุกคนเรื่องการนำสุนัขจิ้งจอกอาร์กติกเข้ามาในสวนสัตว์ และจะมาถึงก่อนที่สวนสัตว์จะเปิดทำการ ซึ่งตอนนี้อยู่ดีๆ ก็มีสุนัขจิ้งจอกเข้ามา พวกเขาจึงยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เสี่ยวซูร้องออกมาอย่างดีใจทันที “สุนัขจิ้งจอกอาร์กติกสวยมากเลยนะคะ ผู้อำนวยการมีรูปไหม ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเพิ่มสุนัขจิ้งจอกอาร์กติกลงไปในใบปลิวประชาสัมพันธ์ด้วยแล้วแหละค่ะ”
“อืม ใช่แล้ว แต่สุนัขจิ้งจอกอาร์กติกยังไม่ได้ถูกส่งมา เอาภาพจากอินเทอร์เน็ตมารูปหนึ่งก่อนแล้วกันครับ” ต้วนเจียเจ๋อใช้โทรศัพท์ค้นหาภาพถ่ายของสุนัขจิ้งจอกอาร์กติก และสามารถซื้อลิขสิทธิ์ในการใช้ภาพออนไลน์ได้
โหย่วซูใช้มือเกาะที่ไหล่ของเขาแล้วเขย่งเท้ามองดู “สุนัขจิ้งจอกอาร์กติกรูปร่างเป็นแบบนี้เหรอคะ”
ต้วนเจียเจ๋อคิดในใจว่า ความรู้สึกของ “สุนัขจิ้งจอกอาร์กติก” ตัวนี้ ที่เพิ่งจะรู้จักหน้าตาของสุนัขจิ้งจอกอาร์กติกจริงๆ เป็นแบบนี้นี่เอง “ใช่ครับ พวกมันอาศัยอยู่ในที่ที่เย็นมากๆ ดังนั้นในฤดูหนาวขนของมันจะมีสีขาวบริสุทธิ์ ส่วนหน้าร้อนขนของพวกมันจะเป็นสีเทาเงิน”
โหย่วซูคิดขึ้นได้ในทันที “เกือบจะทำผิดแล้ว”
ต้วนเจียเจ๋อ “…” เขาไม่กล้านึกเลยว่าเดิมทีโหย่วซูจะแปลงกายออกมาเป็นแบบไหน
หลังจากที่พวกสวีเฉิงกงสามคนกินอาหารเสร็จแล้วก็ไปพักผ่อน ต้วนเจียเจ๋อก็พูดว่า “โหย่วซู ถ้าอย่างนั้นคุณลองเปลี่ยนร่างเป็นสุนัขจิ้งจอกอาร์กติกให้ผมดูก่อนดีกว่าครับ”
“ได้ค่ะ คุณดูนะ” โหย่วซูเปลี่ยนร่างของเธอให้กลายเป็นสุนัขจิ้งจอกอาร์กติกสีเทาเงินขนนุ่มเงางาม หางยาวปุกปุยลากไปด้านหลัง นัยน์ตาที่ฉ่ำน้ำของเธอมีสีดำเข้ม ดูระยิบระยับเป็นพิเศษ ดวงตาโค้งหรี่ลงราวกับกำลังยิ้มอยู่อย่างไรอย่างนั้น
มีเพียงแค่ปัญหาเดียวก็คือขนาดตัวที่ใหญ่เหมือนแกะ
ต้วนเจียเจ๋อเหงื่อท่วม “ไม่ใช่ สุนัขจิ้งจอกอาร์กติกธรรมดาไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่านี้นะครับ” เขาได้ให้โหย่วซูดูภาพนั้น แต่ก็ไม่ได้เอาไปเปรียบเทียบกับรูปอื่น เพราะภูมิหลังและยุคสมัยในการใช้ชีวิตของโหย่วซูแตกต่างกับในยุคสมัยนี้ บางทีเธออาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจและคิดว่าตัวเองกลายร่างได้เล็กพอแล้ว
ต้วนเจียเจ๋อทำท่าทางเปรียบเทียบขนาด โหย่วซูจึงเปลี่ยนร่างตัวเองให้เท่ากับที่ต้วนเจียเจ๋อบอก พลางเดินไปเดินมารอบห้องในร่างนั้น แล้วพูดออกมา “เฮอะๆ มีหางเดียวนี่ไม่ชินเลยจริงๆ”
ต้วนเจียเจ๋อ “…คุณต้องซ่อนหางจิ้งจอกให้ดีเลยนะครับ ผมหมายถึงอีกแปดหางที่เหลือน่ะครับ”

ท้องนภาสดใสกว้างใหญ่กว่าหมื่นลี้ ควันจากกระถางธูปของสำนักหลินสุ่ยในเมืองตงไห่ลอยล่องไปกระทบกับใบหน้าของรูปปั้นเทพไตรวิสุทธิ์[2]ของศาสนาเต๋าองค์สีทองอร่ามที่ประดิษฐานอยู่ในมหาวิหาร
เมืองตงไห่เป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มากนัก แต่สำนักหลินสุ่ยของเมืองนี้ก็เป็นที่รู้จักกันในระดับมณฑลไปจนถึงระดับประเทศอยู่พอสมควร ที่นี่คือสำนักฝึกวิชาของลัทธิเต๋า และเป็นบ้านของบรรพบุรุษชาวตงไห่ ซึ่งมีอายุมากกว่าพันปี
นอกจากนี้หน่วยงานท้องถิ่นของเมืองยังให้การปกป้องสำนักหลินสุ่ยแห่งนี้เป็นพิเศษ และให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์แนวคิดของสำนักหลินสุ่ยมาก อีกทั้งที่นี่ยังเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของคนในท้องถิ่นทุกคน ส่วนเจ้าสำนักก็เป็นตัวแทนภาคประชาชนของสภาเทศบาลเมืองนี้
ในขณะนี้คู่รักคู่หนึ่งกำลังยืนอยู่ ณ สถานที่ลงนาม ส่งเซียมซีที่ได้ให้กับนักพรตเต๋าเพื่ออธิบายคำทำนายพร้อมกับบอกวันเดือนปีเกิดของตน
นักพรตคนนั้นอ้วนท้วน และมีใบหูที่ใหญ่ ใบหน้าเป็นมันวาว มองดูแล้วไม่ค่อยจะเหมือนคนที่ออกบวชสักเท่าไหร่ ก่อนหน้าคู่รักคู่นี้เขาได้อ่านคำทำนายไปแล้วสองสามคน คำทำนายที่เขาบอกกับหญิงสาวไปนั้นฟังดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือสักเท่าไหร่ เพราะทุกครั้งที่เริ่มทำนายเขาจะเอ่ยขึ้นด้วยประโยคเดิมๆ ว่า “เซียมซีของคุณไม่เลวเลย” เนื้อหาก็ดูจะเป็นการชื่นชมเกินไป ราวกับว่าทุกคนต่างโชคดีเหมือนกันหมด คล้ายจะบอกคำทำนายไปแบบลวกๆ เพียงครึ่งนาทีก็ทำนายเสร็จแล้ว
นักพรตมองดูเซียมซีในมือของตนแล้วพูดว่า “อืม…สัญลักษณ์ที่คุณได้นี้ไม่เลวเลย ในปีนี้คุณจะผ่านไปได้อย่างดีมาก ทุกอย่างราบรื่น ไม่เจ็บไม่ไข้…”
เขาใช้สติอ่านไปได้แค่ครึ่งหนึ่ง ทั้งหมดล้วนเป็นประโยคเดิมๆ และเขาก็มองไปที่การแสดงออกอันลึกซึ้งของคู่รักทั้งคู่แล้วหัวเราะออกมา “ฮ่าๆ” จากนั้นก็เพิ่มประโยคเดิมๆ ไปอีกสองประโยคว่า “ล้วนเป็นผู้ที่มีชีวิตที่ดี เป็นคนที่มีชีวิตที่ดีจริงๆ”
คู่รักจับมือพากันเดินออกไป ยังไม่ทันได้ก้าวออกจากประตู หญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ทุกอย่างพูดเหมือนกันหมด ฮึ ฉันบอกแล้วว่ามันเป็นเรื่องโกหก”
ชายหนุ่มพูดอย่างอับอายเล็กน้อยว่า “ช่างมันเถอะ เบาเสียงลงหน่อย แล้วคุณจะพูดเรื่องพวกนี้ในสำนักนี้ทำไมกัน”
นักพรตตัวอ้วนเหลือบมองออกไปข้างนอกและไม่สนคำพูดพวกนั้น เขายืดเส้นยืดสายอย่างเกียจคร้าน
เขาบิดขี้เกียจได้แค่ครึ่งทาง สีหน้าของนักพรตอ้วนก็พลันเปลี่ยนไปทันที เขากระโดดออกจากวิหารด้วยความเร็วที่ดูจะไม่สมกับรูปร่างอ้วนท้วนของเขาเลย จากนั้นก็มองไปยังอีกด้านหนึ่งของเมือง
“โอ้ ไม่!! เป็นไปไม่ได้…” นักพรตอ้วนใช้มือถูใบหน้าใหญ่ๆ ของตัวเอง “อยากจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็ไม่ได้ด้วยสิ”
นักพรตอ้วนผละจากงานของตัวเองแล้ววิ่งไปที่บริเวณด้านหลังของสำนัก มันเป็นพื้นที่ที่ยังไม่ได้เปิดให้คนภายนอกเข้ามาเยี่ยมชมได้ เขาหยุดอยู่หน้านักพรตอาวุโสท่านหนึ่งที่กำลังฝึกกระบี่อยู่ในศาลา เขาอ้าปากหายใจหอบแฮกพลางทำความเคารพ “ท่านเจ้าสำนักครับ เมือง เมือง เมือง เมืองตงไห่มีกลิ่นอายปีศาจครับ เป็นปีศาจที่ร้ายกาจมากๆ!”
โจวซินถังเป็นนักพรตอาวุโส ทั้งยังเป็นประธานคณะกรรมการบริหารของสำนักหลินสุ่ยซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบดูแลการประกอบพิธีกรรม และมีหน้าที่ดูแลทุกเรื่องภายในสำนัก หากใช้ภาษาโบราณเรียก เขาก็คือเจ้าสำนักของที่นี่
โจวซินถังไม่ได้สนใจนักพรตอ้วน เขาฝึกกระบี่ต่อไปจนเสร็จ จากนั้นถึงพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งลึกว่า “เพื่อไม่ให้เป็นการเอิกเกริก เรารู้เรื่องนี้แล้ว ท่านไปแจ้งกับท่านอาจารย์ของท่าน ส่งคนไปสำรวจสถานการณ์ และดูว่าเป็นปีศาจร้ายตนไหนที่ออกมาปรากฏตัวที่ภูเขาแห่งนี้ และมันมีจุดประสงค์อะไร”
นักพรตอ้วนพยักหน้าตอบ “ครับ!”
แม้สำนักหลินสุ่ยจะมีชื่อเสียงเพียงเล็กน้อยในระดับประเทศ แต่ในแวดวงของโลกธุรกิจกลับมีชื่อเสียงโด่งดัง ไม่เคยมีปีศาจตนไหนกล้าย่างกรายเข้ามาในเขตพื้นของสำนักหลินสุ่ยแห่งนี้มาก่อน
เพราะเป็นสถานการณ์ที่ยากจะพบเห็น นักพรตอ้วนจึงรู้สึกตื่นเต้นจนเกินเหตุ ขณะนี้โจวซินถังได้ถ่ายทอดคำสั่งอย่างเป็นทางการลงมากับเขา ตอนนั้นเองเขาถึงได้ตระหนักว่าการที่ตนเองพุ่งเข้ามานั้นเป็นการเสียมารยาท จึงอยากที่จะอธิบาย แต่โจวซินถังก็หันกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อแล้ว เขาจึงทำได้แค่เดินคอตกออกมา

________________________________________
[1]王婆卖瓜自卖自夸 หมายถึง ยกหางตัวเอง
[2]เทพไตรวิสุทธิ์ (ซานชิง) หรือ สามวิสุทธิเทพ คือปฐมเทพสูงสุดเหนือแดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าตามหลักความเชื่อของศาสนาเต๋า ได้แก่ หยวนสื่อเทียนจุนแห่งแดนอวี้ชิง (หยกวิสุทธิ์) หลิงเป่าเทียนจุนแห่งแดนซั่งชิง (เหนือวิสุทธิ์) และเต้าเต๋อเทียนจุนหรือไท่ซั่งเหล่าจวินแห่งแดนไท่ชิง (บรมวิสุทธิ์)

คอมเมนต์

Chapter List