เมื่อผมเป็นเจ้าของสวนสัตว์ ตอนที่ 3-5
บทที่ 3 (5)
ภายใต้สายตาที่ดูแคลนของลู่ยา โหย่วซูได้แอบซ่อนพลังปีศาจอันน้อยนิดของตนเองไว้ และโดยที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจก็ปล่อยให้พลังนั้นรั่วไหลออกมาอย่างเงียบๆ ในใจพลันรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย มันก็แค่พลังปีศาจนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้ชัดเจนเสียหน่อย ถึงกับต้องมาดูถูกดูแคลนกันแบบนี้ด้วยหรือไง
ต้วนเจียเจ๋อที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรยังยืนน้ำตาไหลมองดูสมุดบัญชี “ผมไม่เช่ากระเช้าดอกไม้แล้วได้ไหมครับ แค่วันเดียวก็ตั้งร้อยกว่าหยวนแล้ว ไหนจะยังมีลูกโป่งกับธงพวกนี้อีก เมื่อครู่นี้ผมก็เพิ่งพิมพ์ใบปลิวออกมา และยังจะต้องจ้างคนอีกหลายคนไปแจกใบปลิวที่โรงเรียนและที่ชุมชนอีก…”
ใกล้จะเปิดทำการแล้ว ทุกอย่างมีแต่ค่าใช้จ่าย แล้วยังจะต้องจัดสรรเงินไว้สำหรับเรื่องฉุกเฉินในอนาคตเป็นครั้งคราวอีกด้วย ต้วนเจียเจ๋อในตอนนี้ทุกข์ใจเป็นอย่างมาก
หากหลังจากเปิดกิจการแล้วธุรกิจดำเนินไปได้ไม่ดี เขาก็แค่ไปกระโดดภูเขาไหเจี่ยวโดยที่ไม่ต้องรอให้ฟ้าผ่าตาย
“อะไรที่ควรซื้อยังไงก็ต้องซื้ออยู่ดีนะคะ” โหย่วซูกล่าว “ถ้าไม่อย่างนั้นจะดึงดูดนักท่องเที่ยวจากสวนสาธารณะไหเจี่ยวมาได้ยังไงกัน พวกเราต้องทำตัวเป็นแมลงดูดเลือดนะ”
ต้วนเจียเจ๋อ “…”
คำพูดของโหย่วซูถูกต้องและร้ายกาจมาก ความคิดของสวนสัตว์ไหเจี่ยวก่อนหน้านี้ก็คือการดึงดูดลูกค้าจากสวนสาธารณะไหเจี่ยวเข้ามา แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ประสบความสำเร็จ
โหย่วซูกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์ของต้วนเจียเจ๋อ บนนั้นคือหน้าเว็บเพจวีแชทที่สื่อออนไลน์ของเมืองตงไห่ช่วยประชาสัมพันธ์ครั้งที่แล้ว ล่าสุดจะเห็นว่ามีการคลิกดูจำนวนห้าถึงหกหมื่นครั้ง ยังไม่รวมการแชร์ไปยังแพลตฟอร์มอื่นๆ
โหย่วซูพูดว่า “ฉันได้ศึกษาวีแชทนี้ดูแล้วค่ะ ไม่ว่าลูกค้าที่มาจะได้รับข่าวสารจากการประชาสัมพันธ์ในครั้งก่อนหรือไม่ ในวันเปิดทำการวันแรก พวกเราจะต้องคอยดึงลูกค้าที่จะไปยังสวนสาธารณะไหเจี่ยวอยู่ที่หน้าประตูและพาพวกเขามาที่นี่ เนื่องจากเงินทุนของเรามีไม่พอ เราจึงต้องใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นที่สุด ดังนั้นเราจะจัดทำโฆษณาโปรโมชั่นออนไลน์และจัดกิจกรรมในวันแรก จากนั้นก็ถ่ายภาพและบันทึกเหตุการณ์ในวันแรก หาคนมาเขียนบทความออนไลน์และเผยแพร่ออกไปในวันนั้นทันที หากกดแชร์กดไลค์ก็ให้เข้าชมฟรี รวมไปถึงการซื้อโปรโมชั่น”
ต้วนเจียเจ๋อฟังแล้วก็พยักหน้าตาม ไม่รู้แล้วว่าระหว่างเขากับโหย่วซูตกลงใครเป็นคนในยุคนี้กันแน่ แต่จากนั้นเขาก็พูดปัญหาอีกอย่างออกมา
“การจะทำโฆษณาและโปรโมชั่นนั้นได้ครับ แต่การจะดึงดูดนักท่องเที่ยวของสวนสาธารณะไหเจี่ยวดูจะยากไปหน่อย เราให้พวกเขามาที่นี่ในวันที่สองดีกว่าครับ เพราะปกติแล้วคนส่วนใหญ่ที่มาสวนสาธารณะไหเจี่ยวล้วนแต่มาย่างบาร์บีคิว และพวกเขาก็คงเตรียมอุปกรณ์มาพร้อมหมดแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนไปดึงดูดลูกค้าแล้วแหละค่ะ” โหย่วซูแกว่งโทรศัพท์ในมือไปมา “คนที่มาแค่ปิ้งบาร์บีคิวฉันศึกษามาแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นหนุ่มสาวและนักเรียน ถ้าอย่างนั้นสู้รบกวนให้เต้าจวินไปทำงานข้างหน้าวันแรก ใช้ร่างมนุษย์และพานกอีกสองสามตัวไปเรียกลูกค้าอยู่ข้างนอกเป็นยังไง”
ต้วนเจียเจ๋อ “…”
ใบหน้าของลู่ยาบึ้งตึงทันทีที่ได้ยินว่าจะให้เขาไปเรียกลูกค้า นี่เห็นเขาเป็นอะไรกัน
ใบหน้าของโหย่วซูเต็มไปด้วยความจริงใจ ราวกับกำลังแสดงออกว่าไม่มีทางที่จะกดขี่ลู่ยาอย่างแน่นอน “ขอบเขตของโลกใบนี้ก็ค่อนข้างจะคลุมเครือ น่าจะไม่ถูกตัดสินโทษว่าทำผิดกฎ เต้าจวินมีคุณธรรมสูงส่ง ตอนนี้หลิงโย่วกำลังลำบาก คุณคงไม่นั่งดูอยู่เฉยๆ ไม่สนใจแน่นอนใช่ไหมล่ะคะ”
ลู่ยาพูดอย่างคับแค้นใจ “จิ้งจอกเก้าหาง เธอกล้าให้เปิ่นจุนออกไปขายหน้าตางั้นเหรอ”
โหย่วซูตกใจกลัว “ข้าน้อยไม่กล้า แต่เต้าจวิน ตอนนี้ไม่มีใครเลยนะคะ อันที่จริงฉันอยากไปด้วยตัวเอง แต่ผู้อำนวยการก็เอาสุนัขจิ้งจอกอาร์กติกไปใส่ไว้บนใบปลิวประชาสัมพันธ์แล้ว หากท่านไม่ยอม ถ้าอย่างนั้นก็…”
เธอพูดไปพลางมองต้วนเจียเจ๋อไปพลาง
ต้วนเจียเจ๋อ “…”
ต้วนเจียเจ๋อรู้สึกว่าตัวเองโดนธนูยิงปักที่หัวเข่า[1] แต่ตอนนี้เขาสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าสหายร่วมงานจิ้งจอกเก้าหางตัวนี้กำลังใช้อำนาจของส่วนรวมเพื่อแก้แค้นส่วนตัว
“ถะ ถ้าอย่างนั้นผมไปเอง…” พอเห็นลู่ยาทำหน้าตาบูดบึ้ง ต้วนเจียเจ๋อจึงทำได้เพียงพูดเสียงอ่อนออกมา”
โหย่วซูปรบมือพูดขึ้นว่า “ดีมากเลยค่ะ ฉันกำลังอยากจะพูดว่าให้ใช้เงินหาคนมาพอดีเลย ทีนี้ก็ประหยัดเงินไปได้แล้วค่ะ”
ต้วนเจียเจ๋อ “…”
“น่ารังเกียจ!” ทันทีที่ลู่ยาตบโต๊ะ รอบตัวของเขาก็มีเปลวไฟเล็กๆ พุ่งขึ้นมา “ฉันอยากจะถามเธอว่า เธอเป็นคนที่ตัดสินใจได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
ต้วนเจียเจ๋อมาคิดเรื่องนี้แล้วก็เห็นว่าเป็นความจริง หากลู่ยาไม่พูดเขาก็คงจะไม่ทันสังเกต ดูเหมือนจะกลายเป็นโหย่วซูที่เป็นผู้บัญชาการโดยไม่รู้ตัว
สีหน้าของโหย่วซูแข็งค้างไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเต้าจวินคิดว่าควรทำอย่างไรคะ”
ลู่ยาที่เพิ่งจะกล่าวหาโหย่วซูว่ายึดอำนาจ เขาจึงไม่มีทางที่จะตบหน้าตัวเองอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงจับคางของต้วนเจียเจ๋อเชิดขึ้นและพูดอย่างเกรี้ยวกราด “ก็ให้เขาตัดสินใจเอาเองสิ!”
ต้วนเจียเจ๋อหมดคำพูด เขาสามารถพูดว่าความคิดของโหย่วซูนั้นดีมากๆ ได้เสียที่ไหนกัน เพียงแค่พูดออกมาอาจจะถูกลู่ยาฆ่าตายไปเลยก็ได้
ต้วนเจียเจ๋อกลืนน้ำลายแล้วพูดว่า “บทความไม่ว่ายังไงก็ต้องเขียน แต่ว่าในตอนที่เปิดกิจการแล้ว เราจะใช้ให้เต้าจวินไปทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไงกันครับ”
เมื่อได้ยินคำยืนยันตำแหน่งของตัวเองเป็นครั้งแรก ลู่ยาก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก เขาจับคางพยักหน้าและส่งสัญญาณให้ต้วนเจียเจ๋อพูดต่อ
ต้วนเจียเจ๋อ “อืม…ร่างแบบนี้ของเต้าจวิน ยังจะต้องรอให้โฆษณาอีกเหรอครับ เต้าจวิน คุณยังพบเจอมนุษย์ธรรมดาๆ ในยุคนี้ไม่มาก คุณอาจจะไม่รู้สึกก็เป็นได้ แต่แค่ทันทีที่ทุกคนมองเห็นร่างที่น่านับถือของคุณร่างนี้ คุณไม่ต้องขยับตัว และยิ่งไม่ต้องตะโกนเรียกร้องอะไร พวกนักท่องเที่ยวก็จะหลั่งไหลเป็นสายฝนเทมาเลยนะครับ”
ลู่ยาภูมิใจอย่างมาก “มันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว”
โหย่วซูยิ้มกรุ้มกริ่ม
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งลู่ยาถึงนึกขึ้นได้ “หมายความว่ายังไง ฉันยังต้องออกไปข้างนอกอีกงั้นเหรอ”
“หวัง——เวย——เวย—— เร็วๆ หน่อยสิ!”
หวังเวยเวยรีบทาลิปสติกและสะพายกระเป๋าออกจากบ้าน
เพื่อนร่วมชั้นของเธอทั้งสองคน หลิวเสวี่ยเฟยและหมี่เสี่ยวม่ายรอเธอจนไม่รู้ว่าจะรอต่อไปทำไมแล้ว ทันทีที่เห็นเธอออกมาจากบ้านทั้งคู่ก็ถอนหายใจออกมา “มาแล้วๆ เรียกรถแท็กซี่เร็ว”
เมื่อไม่กี่วันก่อนหวังเวยเวยได้นัดกับพวกเธอไว้ว่าวันนี้จะไปสวนสัตว์ ในตอนนั้นพวกเธอทั้งคู่รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย สวนสัตว์มีอะไรน่าไปตรงไหนกัน ที่แบบนั้นเด็กโรงเรียนประถมถึงจะไปกันต่างหาก เพราะหลังจากที่เรียนจบชั้นประถม พวกเธอทั้งคู่ก็ไม่เคยได้ไปที่สวนสัตว์อีกเลย
แต่หวังเวยเวยยืนยันที่จะไปให้ได้ พวกเธอจึงทำได้แค่ตอบตกลง ยังไงก็ได้ข่าวว่าที่นั่นเล็กนิดเดียว คงใช้เวลาเยี่ยมชมไม่นานมาก
เมื่อขึ้นรถแท็กซี่ หลิวเสวี่ยเฟยก็รีบพูดชื่อสถานที่ที่จะไปทันที “ไปสวนสัตว์หลิงโย่วค่ะ”
คนขับรถอ้าปากค้าง “อะไรนะครับ”
หวังเวยเวยรีบรีบพูดขึ้นว่า “สวนสาธารณะไหเจี่ยวค่ะ!”
พอได้ยินว่าสวนสาธารณะไหเจี่ยว คนขับรถถึงนึกขึ้นได้ทันที “ได้เลยครับ!”
ระยะทางจากบ้านของหวังเวยเวยไปถึงสวนสาธารณะไหเจี่ยวนั้นใช้เวลาประมาณสี่สิบนาที
หน้าประตูทางเข้าของสวนสัตว์หลิงโย่วในตอนนี้มีป้ายประชาสัมพันธ์ขนาดใหญ่ กระเช้าดอกไม้ และลูกโป่งจำนวนมากจัดเอาไว้เพื่อประกาศให้ทุกคนรู้ว่าวันนี้สวนสัตว์ได้เปิดทำการอย่างเป็นทางการ
แต่ของที่สะดุดตาเหล่านั้นกลับดึงดูดพวกหวังเวยเวยทั้งสามคนเอาไว้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย กลับเป็นชายหนุ่มรูปงามที่กำลังยืนถือลูกโป่งกำใหญ่อยู่ด้านหน้าสวนสัตว์หลิงโย่วต่างหากที่ดึงดูดพวกเธอเอาไว้ได้เพียงแค่เห็นแวบแรก
อวัยวะทั้งห้า[2]บนใบหน้าที่ดูหล่อเหลาตามแบบโบราณ คิ้วเรียวยาวไปจนถึงขมับ ดวงตาเรียวคม นิสัยเย็นชา ปอยผมที่ปรกหน้ายังไฮไลท์ไว้ด้วยสีแดงทอง
พูดอย่างไม่เกินจริง ราวกับเขากำลังเปล่งประกายอยู่อย่างไรอย่างนั้น พวกหวังเวยเวยสามคนที่อยู่ห่างออกมายี่สิบกว่าเมตรอดไม่ได้ที่จะจ้องมอง อย่าว่าแต่ในชีวิตจริงเลย แม้แต่ในโทรทัศน์พวกเธอก็ไม่เคยพบเจอชายหนุ่มที่รูปงามแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน ราวกับเป็นพระเอกหนังแนวชู้สาวโบราณชัดๆ
หวังเวยเวยและเพื่อนๆรีบวิ่งพรวดพราดเข้าไปที่สวนสัตว์หลิงโย่ว เมื่อมองไปรอบๆ ก็เห็นสาวๆคนอื่นที่เดิมทีพวกเธอตั้งใจมาย่างบาร์บีคิวกันที่สวนสาธารณะไหเจี่ยว แต่อยู่ๆ ก็หันหลังให้กับสวนสาธารณะและเดินเข้ามาที่สวนสัตว์ด้วยความมึนงง
หวังเวยเวยได้แต่จับจ้องใบหน้าของหนุ่มหล่อ เดินใจลอยเคลิบเคลิ้มเข้าไปใกล้ๆ ในตอนนั้นเองเธอถึงสังเกตได้ว่าบนร่างของหนุ่มหล่อนั้นมีนกหลายสิบตัวเกาะอยู่ และยังมีอีกตัวหนึ่งที่บินวนอยู่รอบๆ ตัวเขา เมื่อเข้าไปในระยะใกล้ ที่ด้านข้างมีหญิงสาวคนหนึ่งยิ้มหวานและพูดว่า “น้องคะ มาเที่ยวชมสวนสัตว์ใช่ไหมคะ นกยูงของพวกเราที่นี่ชอบรำแพนหางที่สุดเลยค่ะ และก็ยังมีกวางซิก้าตัวน้อย ลิงน้อย มีสุนัขจิ้งจอกอาร์กติกที่เพิ่งมาถึงเลยด้วยนะคะ…”
หวังเวยเวยเดิมทีก็ตั้งใจจะมาซื้อตั๋วอยู่แล้ว และที่ข้างๆเธอในตอนนี้ก็ยังมีสาวๆมหาวิทยาลัยกลุ่มหนึ่ง ในมือของพวกเธอนั้นยังถืออุปกรณ์ที่ใช้ย่างบาร์บีคิวอยู่เลย ทันใดนั้นพวกเธอก็แสดงสีหน้าลำบากใจออกมา เพราะพวกเธอถูกชายหนุ่มรูปงามคนนั้นดึงดูดให้มาที่นี่นี่นา
หญิงสาวจากสวนสัตว์ปักหลักสู้ไม่ถอย “วันนี้เป็นเปิดกิจการวันแรกตั๋วราคาเพียงแค่สิบห้าหยวนเองนะคะ เข้ามาเที่ยวชมรอบหนึ่งก่อนแล้วค่อยกลับไปทำบาร์บีคิวทานก็ยังทันค่ะ” ขณะที่เธอพูดอยู่นั้น พวกนกหลายสิบตัวที่เกาะอยู่บนตัวชายหนุ่มก็บินออกมา บางตัวใช้ปากคาบชายเสื้อของบรรดาสาวๆ ทำทีพาไปยังทางเข้าประตูใหญ่ บางตัวกระพือปีกบินอยู่ด้านหลังเพื่อไล่ต้อนคนเข้าไปด้านใน
“ว้าย! นกตัวนี้กำลังชักชวนลูกค้าใช่ไหมเนี่ย”
“โอ้แม่เจ้า ฮ่าๆๆ สุดยอดไปเลยนะเนี่ย”
ชายหนุ่มรูปงามที่ยืนถือลูกโป่งอยู่นั้นคอยสังเกตการเคลื่อนไหวของเหล่านก จากนั้นก็หันกลับมาอย่างเย็นชา ทำให้บรรดาสาวๆนักศึกษาหลายคนเขินอายจนหน้าแดง แต่เขาก็ไม่ได้เปิดปากชักชวนเหมือนกับที่พวกเธอคิดไว้แม้แต่น้อย
“เมื่อซื้อตั๋วเข้าไปแล้วสามารถจับรางวัลได้ด้วย ถ้าโชคดีก็อาจจะได้รับนกน้อยที่แสนน่ารักเป็นเพื่อนร่วมทางพาเที่ยวตลอดการชมสวนสัตว์ด้วยค่ะ พวกมันน่ารักมากๆเลยนะคะ” หญิงสาวโฆษณาอีกครั้งหนึ่ง ในตอนนี้เอง ก็เห็นครอบครัวที่พาเด็กน้อยมาซื้อตั๋วเข้าไปในสวนสัตว์
การรวมตัวของชายหนุ่มรูปงามกับเหล่านกน้อยที่หน้าประตูทางเข้าสามารถดึงดูดกลุ่มหญิงสาวและเด็กน้อยแบบกวาดเรียบไม่มีเหลือ ทำให้พวกเขาเข้าไปเที่ยวชมในสวนสัตว์โดยไม่รู้ตัว
เหล่าสาวๆ นักศึกษาเขินอายเล็กน้อย เธอมองฉัน ฉันมองเธอ ต่างถามหยั่งเชิงกันไปมา
“อยากเข้าไปไหม ก็แค่สิบห้าหยวนเองนะ…”
“ยังไงตอนนี้ก็ยังเร็วไป พวกเราลองเข้าไปดูแล้วค่อยไปย่างบาร์บีคิวก็ดีเหมือนกันนะ พวกเธอว่าไง”
“ถ้าอย่างนั้นก็ลองเข้าไปดูกันเถอะ นกพวกนี้ก็ดูน่าสนใจมากอยู่นะ…”
เสี่ยวซูถอนหายใจ สำเร็จไปอีกครั้งแล้ว
ถนนหันไปทางสวนสาธารณะไหเจี่ยว แต่ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่ถูกลู่ยาผู้ยืนอยู่หน้าประตูสวนสัตว์หลิงโหย่วที่อยู่ข้างๆ หรือว่าเหล่านกน้อยหลายตัวที่ “ชักชวนลูกค้า” อยู่ข้างกายเขาดึงดูดและทำให้พากันเดินตรงมาที่นี่ และหลังจากนั้นไม่ว่าพวกเขาจะสนใจหรืออาจจะถูกเกลี้ยกล่อมก็แล้วแต่ แต่คนทั้งหมดก็เลือกที่จะซื้อตั๋วเข้าไปชมด้านใน
ลึกๆ แล้วเสี่ยวซูคิดว่า หากพี่ลู่ยอมเสียสละอวดรูปโฉมสักหน่อย ประสิทธิภาพและอัตราความสำเร็จจะต้องพุ่งสูงกว่าตอนนี้แน่นอน แต่พอลองกลับมาคิดๆดูแล้ว การที่พี่ลู่ยอมแสดงคุณธรรมออกมาขนาดนี้ นับว่าผู้อำนวยการของพวกเรานั้นสั่งสอนได้ดีจริงๆ
________________________________________
[1]自己膝盖中了一箭เป็นสำนวนมาจากเกม The Elder Scrolls V : Skyrim คือสำนวนในเกมที่พูดเพื่อกลบเกลื่อนความผิดพลาดของตัวเอง
[2] หมายถึง คิ้ว ตา หู จมูก ปาก
คอมเมนต์