เสพติดหัวใจนายช่างกล้อง ตอนที่ 2-1
บทที่ 2.1
ราวกับสุนัขที่สูญเสียการควบคุม เมื่อได้ยินเสียงของเธอ การเคลื่อนไหวของหลี่เหยาพลันแข็งค้าง เหลือบมองนาฬิกาบนผนังอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้เพิ่งจะหกโมงเย็น!
ปกติพี่มักจะงานยุ่งกลับมาตอนสามทุ่มตลอด ทำไมถึงกลับมาในเวลานี้ได้
อุตส่าห์คิดว่าวันนี้ไม่มีถ่ายแบบจะได้พักผ่อนเสียหน่อย คิดไม่ถึงว่าปีศาจสาวที่ทำให้เขาฝันร้ายเมื่อตอนกลางวันกลับมาปรากฏตัวในเวลานี้ ขณะนั้นหลี่เหยารู้สึกว่าพระเจ้ากำลังกลั่นแกล้งเขา ครู่หนึ่งให้เขาอยู่บนสวรรค์ แต่แล้วอีกครู่กลับใช้กรงเล็บสีดำทมิฬกระชากเขาลงมา…
“เสี่ยวหมี่ พี่ของลูกเหรอ”
เวลานี้เองพ่อที่ได้ยินเสียงเรียกของพี่สาวก็เดินออกมาจากห้องครัวเช่นนั้น พร้อมกับถามหลี่เหยาที่ร่างกายแหลกสลาย
“คงใช่…” ตอบกลับไปอย่างอ่อนแรง เขาตามพ่อไปที่หน้าประตูทันที ยืนสองข้างราวกับต้อนรับนางพญา
“เฮ่าเฮ่า วันนี้ไม่ต้องทำโอทีเหรอ”
นอกจากมื้อเช้าแล้ว ความจริงหลี่เชียนจื๋อมีเวลาอยู่กับลูกสาวน้อยมาก ดังนั้นวันนี้พอเห็นเธอกลับมาเร็ว จึงทำให้เขารู้สึกมีความสุข
“วันนี้เป็นวันพิเศษเลยกลับมาเร็วค่ะ” ดวงตาหงส์เรียวยาวคู่นั้นของหลี่เฮ่าปิดบังความสุขเอาไว้ไม่มิด หลังนำรองเท้าส้นสูงแบรนด์เนมราคาแพงใส่เข้าไปในตู้เก็บรองเท้าแล้ว ก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปในบ้านอย่างสง่างาม คล้ายกับว่าสถานะของตนในบ้านหลังนี้สูงยิ่งกว่าพ่อ
หลี่เหยากับพ่อเดินตามหลังเธอเข้าไป จากนั้นก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเอง คนหนึ่งนั่งรออยู่ในห้องรับแขกส่วนอีกคนกลับเข้าไปในห้องครัว
“อ่ะ อาหารค่ำเพิ่มเติมคืนนี้” หลี่เฮ่ายื่นถุงกระดาษใบหนึ่งมาให้น้องชายไร้เดียงสาซึ่งยืนแข็งค้างอยู่ด้านข้าง ลูบเส้นผมสีดำของเขาคล้ายกับลูบลูกสุนัขขนปุย แล้วขึ้นข้างบนไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
หลี่เหยารีบเปิดดูของข้างใน ใบหน้าหมองคล้ำกวาดมองทันที จากนั้นก็รีบสาวเท้าเข้าไปในห้องครัว ตะโกนแข่งกับเสียงเครื่องดูดควันบอกพ่ออย่างมีความสุขว่า “พ่อ พ่อดูสิว่าพี่ซื้ออะไรมาด้วย!”
หลังปิดเตาแล้ว หลี่เชียนจื๋อที่ถือตะหลิวอยู่ก็เดินเข้ามาใกล้ “ทำไมอยู่ๆ ถึงซื้อเนื้อวัวกลับมาล่ะ”
มองผ่านๆ ประมาณเก้าร้อยกรัม พอสำหรับกินอิ่มสามคม เพียงแต่คงจะเสียเงินไปไม่น้อยเลย
ขณะที่สองพ่อลูกประเมินราคาเนื้อวัวชิ้นนี้ในใจคร่าวๆ หลี่เฮ่าที่ออกไปไม่ถึงห้านาทีก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าคนทั้งคู่อีกครั้ง
“ไม่ใช่แค่เนื้อวัวนะคะ หนูยังเอาเจ้านี่มาด้วย” มือชูไวน์แดงขึ้นสูง ริมฝีปากแดงของเธอเผยรอยยิ้มลึกลับออกมา จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ทรงสูงอย่างสง่างาม หยิบที่เปิดจุดขวดซึ่งวางอยู่บนชั้นวางของ เปิดไวน์แดงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเลือกแก้วทรงสูงมาสามใบ และรินไวน์แดงด้วยความสง่า
น้อยมากที่จะได้เห็นพี่สาวที่ดุร้ายในด้านนี้ หลี่เหยานั่งลงข้างๆ เธอ แล้วถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “พี่วันนี้มีเรื่องพิเศษอะไรเหรอ”
เนื้อวัวราคาแพงกับไวน์แดง ไม่ได้ฉลองวันเกิดแล้วก็ไม่ใช่เทศกาลพิเศษ
เป็นไปได้ไหมว่าเธอจะได้เงินเดือนเพิ่ม
งั้นเงินเดือนของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอีกหน่อยใช่ไหม
หลี่เฮ่ายกแก้วไวน์ขึ้นมา จากนั้นก็ใช้สายตาบอกพ่อและหลี่เหยาให้ตั้งใจฟัง
“ปารีสแฟชั่นวีคอาทิตย์หน้า หัวหน้าบรรณาธิการจะพาหนูไปด้วย ทุกคนว่าวันนี้ควรเป็นวันที่ต้องฉลองใช่ไหมคะ!”
ดวงตาคู่นั้นของหลี่เฮ่าเปล่งประกายระยิบระยับ ไม่สามารถหยุดความตื่นเต้นในใจเอาไว้ได้ประกาศออกมาเสียงดัง เมื่อนึกถึงภาพที่ตัวเองสวมเสื้อผ้าแบรนด์เนม กระเป๋าและรองเท้าหรูที่ผลิตโดยแบรนด์ระดับโลกแล้ว ก็เผยรอยยิ้มกว้างออกมา
เมื่อได้ยินเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับเงิน หลี่เหยาก็หมดความสนใจในทันที แต่เมื่อตั้งใจคิดถึงสิ่งที่แฝงอยู่ในคำพูดของพี่สาวแล้ว เขาก็คลี่ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
ไม่ผิด! วันนี้ควรฉลองกันจริงๆ
“ยินดีด้วยพี่!” หยิบแก้วไวน์ใบนั้นของตนเองขึ้นมา เขาแสดงออกว่ามีความสุขที่พี่สาวได้รับความชื่นชมจากเจ้านาย ทว่าในใจกลับเฉลิมฉลองให้กับช่วงเวลาครึ่งเดือนของตนเอง ที่ไม่ต้องแต่งตัวเป็นผู้หญิง ไม่ต้องมองสีหน้าเธอ และสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างอิสระ
…..
ความสุขนี้ดำเนินต่อไปจนหลี่เหยากินและดื่มจนอิ่มหนำ กระทั่งตอนที่กลับมาถึงห้องก็ยังไม่สามารถสลัดออกไปได้ มุมปากยกขึ้นอยู่ตลอด ยิ้มโง่งม อารมณ์ดีฮัมเพลงออกมาโดยไม่รู้ตัว
ในเมื่อนางปีศาจไปต่างประเทศ เช่นนั้นเขาก็สามารถใช้ช่วงเวลานั้นให้เป็นประโยชน์ ทำในสิ่งที่อยากทำได้
เขาหยิบปฏิทินตั้งโต๊ะขึ้นมาและใช้ปากกาแดงวาดวงกลมขนาดใหญ่ ทำเครื่องหมายเอาไว้ เพียงแต่พอพยายามครุ่นคิดพักหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏเข้ามาในหัวของเขาถ้าไม่ใช่ถ่ายภาพก็เสียเวลาอยู่ที่ชมรมและไปร้านขายอุปกรณ์ถ่ายภาพ หมดนี้ก็คือชีวิตประจำวันที่น่าเบื่อของหนุ่มโอตาคุทั้งสิ้น
ซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกเซ็ง
พูดตามจริง ความสัมพันธ์กับคนของหลี่เหยานับว่าดี เพื่อนก็มีมาก ความสัมพันธ์กับคนในคณะก็ถือว่าไม่เลวเพราะนิสัยเป็นกันเองและไม่ค่อยโมโห ขอเพียงแค่ไม่ไปเหยียบทุ่นระเบิดเรื่องหน้าตาท่าทางที่บอบบางของเขา ก็แทบจะเข้ากับคนอื่นได้อย่างรวดเร็ว
แต่ถ้าพูดเรื่องมิตรภาพหรือการเสียเงินเพื่อความบันเทิง เขาไม่ได้รู้สึกสนใจและเอาตัวเองออกห่างด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกสนใจก็คือการถ่ายภาพ มีเพียงการพูดคุยเรื่องการถ่ายภาพเท่านั้นถึงจะเปลี่ยนเขาให้เป็นอีกคน ดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับ เผยความทุ่มเทและความกระตือรือร้น
เขาหลงลืมโอกาสครั้งแรกที่ทำให้สัมผัสการถ่ายภาพไปแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้หลี่เหยาสนใจเป็นเพราะภาพถ่ายคนในหนังสือนิตยสาร
ช่างภาพคือถังเหยี่ยน และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขารู้ถึงการมีอยู่ของถังเหยี่ยนผ่านภาพถ่าย
ตอนที่เขามองเข้าไปในรูปถ่าย ภาพที่นั่งอยู่เพียงลำพังภายในห้องโล่ง ใบหน้าของเด็กสาวเผยความโศกเศร้าและจำใจอย่างที่เด็กไม่ควรมี ทั้งตัวของเขารู้สึกได้รับแรงปะทะเข้าอย่างจัง
แม้ว่าถังเหยี่ยนจะไม่ได้อธิบายเกี่ยวกับภาพถ่ายมากนัก แต่เขากลับเข้าใจสิ่งที่รูปภาพต้องการจะสื่อ ชั่ววินาทีนั้น เขาถึงได้เข้าใจว่ากล้องสามารถเสนอภาพความจริงออกมาได้ ทั้งยังมีอิทธิพลและอำนาจมาก ทำให้เขาค่อยๆ รู้สึกสนใจถังเหยี่ยนขึ้นมา
หลังจากที่ผ่านการค้นคว้าและฝึกฝนมาหลายปี เขาค่อยๆ ชำนาญขึ้น สามารถถ่ายภาพได้หลากหลายแบบแตกต่างจากภาพทั่วไป เรียกได้ว่าเป็นรูปภาพของช่างภาพได้เลย
ทว่าหลี่เหยากลับไม่กล้าพูดว่าตนเองเป็นช่างภาพ แต่ก็หวังว่าคนอื่นจะมอบสมญานามเช่นนั้นให้เขา
เขาหยิบกล้องดีเอสแอลอาร์ตัวแรกของตัวเองออกมาจากตู้กันความชื้นบนโต๊ะ ดวงตาเผยรอยยิ้มอ่อนโยนราวกับมองคนรัก “ขอโทษนะ อีกเดี๋ยวผมต้องเอาคุณไปเก็บไว้ในตู้อีกแล้ว”
เพราะ…เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะหันไปโปรดปรานกล้องอีกตัวหนึ่ง
เมื่อมองดูร่องรอยบนกล้องที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมากับเขาแล้ว หลี่เหยารู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยลูบสหายคนนี้ที่อยู่กับเขามาหลายปี ทว่าทันใดนั้นเองประตูด้านหลังกลับถูกคนเปิดออกอย่างแรง
“นี่หลี่เหยา! หลายวันนี้ระหว่างที่ฉันไปปารีส ไม่อนุญาติให้นายไปรับ Case ใดๆ เข้าใจไหม!”
การข่มขู่ที่เกิดขึ้นกะทันหัน ทำให้เขาตกใจจนเกือบจะทำกล้องถ่ายรูปตกลงพื้น
เขาหันไปมองอย่างหวาดๆ มองคนที่ไม่สนใจความเป็นส่วนตัวของคนอื่น เดินวางมาดนั่งลงบนเตียง พี่สาวที่พื้นเดิมเป็นคนเอาแต่ใจตนเอง แม้ในใจของหลี่เหยาจะมีคำพูดก่นด่ามากมาย แต่เขากลับไม่กล้าพูดมันออกมา
เพียงตอบเสียงเรียบว่า “รู้แล้ว…”
เรื่องนี้ถึงเธอไม่บอก เขาก็มีความคิดเป็นของตัวเอง ต่อให้เมื่อถึงเวลานั้นมีคนมาคุกเข่าอ้อนวอน เขาก็ไม่มีทางรับ
เมื่อคิดว่าพี่สาวจะออกไปหลังพูดหัวข้อนี้จบ หลี่เหยาก็ลงมือเช็ดกล้อง ไม่คิดสนใจเธออีก
ทว่าหลี่เฮ่ากลับเอาแต่จ้องมองแผ่นหลังของเขา จ้องจนเขาขนลุกชันไปทั้งตัว เขาจึงเหลือบมองไปข้างหลังเล็กน้อยคิดจะเปิดปากพูด แต่หลังจากหายใจเข้าลึกแล้ว เขากลับยอมแพ้
ภายในห้องขนาดเจ็ดตารางเมตร เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน พี่สาวและน้องชายอยู่ในห้องเดียวกัน บรรยากาศชวนอึดอัดเล็กน้อย ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาขณะที่หลี่เหยากำลังแปลกใจคิดว่าเธอเป็นตะคริวตรงไหน ทำไมไม่ลุกออกไปนั้น
คำถามที่พุ่งแหวกอากาศเข้ามาทำให้เส้นประสาทของเขาหดเกร็งทันที
“นี่คืออะไร”
เมื่อเห็นเธอหยิบหนังสือที่วางอยู่บนเตียงของตนเองขึ้นมา พลิกอ่านอย่างป่าเถื่อนแล้ว หลี่เหยาก็รีบวางกล้องถ่ายรูปลง พุ่งมาที่เตียงอย่างตกใจคิดจะแย่งคืน “อย่ามาแตะของคนอื่นมั่วซั่วสิ!”
แต่การเคลื่อนไหวของหลี่เฮ่านั้นเร็วกว่า พลิกตัวยืนบนเตียงอย่างว่องไว ทั้งยังชูหนังสือขึ้นสูงจนเขาเอื้อมไม่ถึง
เธอเหลือบมองหน้าปกแวบหนึ่ง และเอ่ยคำสองคำออกมาอย่างเหยียดหยามว่า “ถังเหยี่ยน”
ความรู้สึกซับซ้อนปรากฏขึ้นในดวงตาของเธอ จากนั้นก็โยนหนังสือกลับลงไปบนเตียง “อย่ามัวแต่ดูของที่ไม่มีประโยชน์พวกนี้ อ่านหนังสือเรียนยังจะดีเสียกว่า”
“พี่!”
หน้าปกสีดำกระแทกจนเป็นรอยยับ หัวใจของหลี่เหยาก็ราวกับถูกมีดกรีดด้วยเช่นกัน
ครั้งนี้เขาไม่อดทนอีกต่อไป ซุกหนังสือลูกรักเอาไว้ในอ้อมอก แล้วก่นด่าเสียงต่ำอย่างอารมณ์เสียว่า “พี่ไม่รู้จักเขาสักหน่อย เอาอะไรมาวิจารณ์งานของเขาแบบนี้!”
นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นน้องชายกล้าขึ้นเสียงกับตนเอง หลี่เฮ่าเลิกคิ้วขึ้นอย่างนึกสนุก ในสายตาของเธอเขาก็เหมือนลูกแมวอ่อนแอไม่รู้ความที่ง้างกรงเล็บสูงเท่านั้น ไม่รู้สึกถึงการข่มขู่เลยสักนิด
“ฉันบอกนายเลยนะ บนโลกนี้ไม่มีผู้ชายคนไหนดีเลยสักคน เลวทั้งหมดนั่นแหละ!”
หลังจากที่ใช้น้ำเสียงเหยียดหยามพูดประโยคนี้ออกไปแล้ว เธอก็เอาสองมือแนบอก พูดเสริมอีกประโยคว่า “ไม่ใช่สิ! ยกเว้นพ่อ!”
หลังจากตกใจกับความคิดสุดโต่งของพี่สาวแล้ว ความโกรธที่อัดแน่นของหลี่เหยาลดลงเล็กน้อย ในใจคิดว่าคงไม่ใช่เพราะเธอได้รับผลกระทบจากการถูกทิ้งของรักแรก ถึงเกลียดผู้ชายขนาดนี้หรอกนะ
“แล้วผมล่ะ!”
เขาเบิกตาโต “น้องชายพี่ ผม…ก็เป็นผู้ชายนะ”
“นายจะเป็นผู้ชายได้ยังไง นายเป็นเด็กดื้อของฉันต่างหาก” หลังหลี่เฮ่าชื่นชมใบหน้าของหลี่เหยาที่ถูกน้ำมือเธอปู้ยี่ปู้ยำด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายแล้ว เธอก็สะบัดผมสาวเท้าเดินจากไปอย่างหยิ่งผยอง ไม่สนใจเศษหัวใจที่แหลกละเอียดของเขาเลยสักนิด
“น่ารังเกียจชะมัด!” เป็นอีกครั้งที่เสียทั้งหน้าและศักดิ์ศรี หลี่เหยาโมโหต่อยไปที่เตียงอย่างแรง หน้าอกสะท้อนขึ้นลงหอบหายใจ อารมณ์เสียสุดๆ นี่เขาก็อายุยี่สิบเอ็ดปีแล้ว แต่ทำไมยังพี่สาวยังปฏิบัติกับเขาเหมือนสัตว์เสี้ยงอีก
เขาควรทำอะไรที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ให้พี่สาวคนนี้เปลี่ยนมุมมอง เธอจะได้ไม่กล้าดูถูกเขาได้อีก
หลังจากที่บ่นงึมงำอย่างอารมณ์เสียครู่หนึ่งแล้ว เขามองหนังสือในอก จ้องตัวอักษรสองตัวที่พิมพ์เป็นสีเงินด้วยใบหน้าครุ่นคิด ท้ายที่สุดหลังจากที่ครุ่นคิดพักหนึ่งก็ตัดสินใจครั้งสำคัญ
คอมเมนต์