เสพติดหัวใจนายช่างกล้อง ตอนที่ 2-2
บทที่ 2.2
หลังจากยืนยันการลงทะเบียนเข้าร่วมการแข่งขันถ่ายภาพเมืองที่สนับสนุนโดยรัฐบาลแล้ว ทันทีที่พี่สาวไปต่างประเทศ หลี่เหยาแทบทนรอไม่ไหว เริ่มเดินทางไปถ่ายภาพยังเมืองเก่าใกล้ๆ ทันที
แสงแดดอบอุ่นสาดส่องลงมาบนทางเดินหินด้านหน้า ในอากาศยังหลงเหลือกลิ่นดินของฝนที่ตกลงมาเมื่อคืน บ้านอิฐสีแดงสองข้างทางที่ผ่านกาลเวลามาหลายปี สถานที่แห่งนี้ยังคงรักษาความเรียบง่ายที่หาได้ยากในเมืองนี้เอาไว้
สายลมพัดมาครั้งคราว ส่งผลให้ดอกบัวภายในสระลอยไปมา ทำให้รู้สึกสบายใจมากจริงๆ
หลี่เหยายกกล้องขึ้นมาและถ่ายติดต่อกันหลายภาพ จากนั้นเผยรอยยิ้มพึงพอใจ แม้เขาจะรู้ว่าคนที่เข้าร่วมการแข่งขัน จะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือช่างภาพมืออาชีพ แต่ตนเองก็แค่อยากแสดงผลงานในชมรมเท่านั้น โดยที่เดิมทีแล้วไม่รู้กำลังของตนเองเลย
แต่เมื่อครุ่นคิดหลายครั้ง เขาจึงยอมรับการว่าแข่งขันครั้งนี้เป็นความท้าทายของตนเอง ถ้าขนาดเขายังเอาชนะตัวเองไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพี่สาว
นี่จึงนับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติเพื่อเกียรติและศักดิ์ศรีของเขา
บ้านเรือน สถาปัตยกรรม ภาพผู้คนและธรรมชาติ ความจริงแล้วเขาอยากลองทุกหัวข้อ ก่อนหน้านี้ภาพที่เขารู้สึกมั่นใจมากที่สุดคือภาพถ่ายผู้คน จึงตั้งใจว่าจะใช้ถนนเก่าเป็นพื้นหลัง บวกเข้ากันการกระทำของผู้คน สะท้อนภาพชีวิตที่เร่งด่วนอันยุ่งเหยิง จนหลงลืมความเรียบง่ายและความสุขไป
เลนส์กล้องจับภาพสถาปัตยกรรม ซึ่งมีพี่น้องที่เล่นวิ่งไล่จับกันเผยรอยยิ้มไร้เดียงสาและบริสุทธิ์
เสียงหัวเราะราวกับเสียงของกระดิ่งดังก้องเป็นพื้นหลังของยามบ่ายที่ผ่อนคลาย ครู่หนึ่งสองพี่น้องเป่าฟองสบู่หัวเราะคิกคัก อีกครู่พ่อแม่ก็วิ่งเข้ามาออดอ้อนขอกอด ดวงตาของหลี่เหยาในเลนส์ก็ขยับตามการเคลื่อนไหวของพวกเขา
ทุกครั้งที่เห็นภาพที่หวานชื่นและสนิทสนมของครอบครัว ภายในใจของเขามักมีความรู้สึกเจ็บปวดอยู่บ้าง
พูดตามจริงเขาไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับแม่ผู้ให้กำเนิดของเขานัก ในความทรงจำของเขาคนที่อยู่เคียงข้างมีเพียงพ่อและพี่สาว
วัยเด็กของครอบครัวที่มีพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยวไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถจินตนาการได้ แม้ว่าภายนอกดูเข้มแข็ง แต่ความรู้สึกต้องการที่พึ่งพาก็มีมาตั้งแต่เด็ก หลังจากที่เขาเติบโตจึงผูกพันกับคนในครอบครัวอย่างมาก
และเพราะเจ็บปวดใจที่พ่อและพี่ต้องลำบาก ดังนั้นเขาจึงมีความรับผิดชอบอย่างลึกซึ้งต่อครอบครัวนี้ อยากปกป้องคนในครอบครัวไปตลอดชีวิต
สำหรับสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ฝันที่หวังว่าครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้ากัน นั่นก็คือสิ่งที่เขาจะเอาใส่เข้าไปในรูปภาพ
ขณะที่เขากำลังจดจ่ออยู่นั้น ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น หลี่เหยาจึงวางกล้องลงแล้วกดรับ
“ไอ้มอดข้าวตัวเหม็น กำลังทำอะไรอยู่”
“มีอะไร”
สวีเสี่ยวคัง เจ้าหมอนี่ต้องการอะไรมากกว่าถามแค่นี้แน่
“ตอนกลางคืนพวกเราจะไปเที่ยวที่หยางหมิงซาน หลิงจื่อนัดเพื่อนสมัยมัธยมปลายมาด้วย ได้ยินว่าหน้าตาเหมือน Miu อยากแนะนำให้นายรู้จัก”
“ไม่สนใจ”
“ทำไมไม่สนใจอีกล่ะ เฮ้ๆ…โชคดีแค่ไหนที่ฉันสามารถหาเทพธิดามาให้นายได้”
“ยิ่งกว่านั้นคือหน้าตาเหมือนมากๆ”
คิดไม่ถึงว่าจะกล้าพูดถึงตัวปลอมต่อหน้าเขา เหอะๆ
“โอเคๆ นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ในฐานะพี่ชายที่รู้จักนายในเวลานี้ ฉันเป็นห่วงนายมากจริงๆ” สวีเสี่ยวคังพูดขึ้น พร้อมกับถอนหายใจ
“ห่วงอะไร”
“ก็กลัวว่าจะไม่สนใจผู้หญิงเพราะมีโรคร้ายแอบแฝงอยู่น่ะสิ”
“ฉันเป็นโรคแม่นายสิ!”
เสียงหัวเราะเยาะดังเข้ามาในหูทันที หลี่เหยารู้ว่าสวีเสี่ยวคังกินอิ่มไม่มีอะไรทำ[1]เลยโทรมาก่อกวนเขา
“ไม่ว่าง แค่นี้นะ”
“เดี๋ยวก่อน…”
จากนั้นเอามือถือยัดกลับเข้าไปในกระเป๋า ทันใดนั้นกลับมีเสียงริงโทนดังขึ้นอีกครั้ง
“อะไรอีก”
“ฮัลโหล คุณคือหลี่เหยาใช่ไหมคะ ฉันชื่อหวงเวยเหมยเป็นผู้ช่วยของพี่สาวคุณค่ะ”
เสียงปลายสายทำให้คนรู้สึกเบื่อหน่าย เขากรอกตาอย่างเกียจคร้าน “ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรเหรอครับ” แม้ว่าน้ำเสียงจะสุภาพ แต่ภายในใจกลับแน่วแน่ ไม่ว่าเธอจะพูดเรื่องอะไร ล้วนไม่สามารถสั่นคลอนหรือเปลี่ยนแผนของตนเองได้
“ถึงพี่เฮ่าจะมีคำสั่งไม่อนุญาติให้คุณรับงานในช่วงนี้ แต่ฉันคิดว่านี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก จึงอยากถามความเห็นของคุณก่อนจะดีกว่า”
ในเมื่อเธอเองก็รู้ว่าต้องผ่านความเห็นชอบของพี่สาวก่อน แล้วทำไมยังโทรศัพท์มาหาเขาอีก
แม้ว่าคำพูดของอาเหมยจะดูคลุมเครือไร้หัวไร้หาง แต่หลี่เหยาก็พอจะเดาได้ว่าลูกค้าพยายามขอร้องเธอ เธอจึงฝืนทำสิ่งที่เสี่ยงจะถูกพี่เฮ่าไล่ออกลับหลัง
เพราะปกติแล้วงานทั้งหมดของเขาล้วนเป็นหลี่เฮ่าที่ติดต่อกับบริษัทของลูกค้า ช่วยเขาแต่งตัว เลือกเสื้อผ้า และพาไปที่สตูดิโอถ่ายภาพเอง ด้วยกลัวว่าจะไม่ระวังตัวตนเผยออกมา ดังนั้นปกติแล้วหลี่เฮ่าจึงไม่ยอมให้เขาติดต่อกับบริษัทของลูกค้าและช่างภาพที่เธอไม่คุ้นเคยโดยตรง
“คุณพูดมาเถอะครับ”
“คุณคงรู้จักถังเหยี่ยนใช่ไหม…”
เดิมทีกะว่าจะรอให้เธอพูดจบก่อน จากนั้นค่อยปฏิเสธตามคำสั่งของพี่เฮ่า แต่เมื่อได้ยินสองคำนี้ หัวใจของหลี่เหยาพลันกระตุกเล็กน้อย เหม่อมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาสั่นไหว นิ่งเงียบไม่พูดจาในทันที
“ครั้งนี้บริษัทไวน์ที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติจ้างเขาให้ถ่ายภาพโฆษณาชุดหนึ่ง เขาเสนอเงื่อนไข เจาะจงว่าต้องการให้คุณมารับหน้าที่เป็นนางแบบในครั้งนี้น่ะค่ะ”
ถังเหยี่ยนเจาะจงต้องการให้เขาเป็นนางแบบ…
เขาไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม
อยู่ๆ หลี่เหยาก็รู้สึกว่าเท้าทั้งสองข้างที่เหยียบอยู่บนพื้นของตนเองลอยขึ้นเหนือพื้น เสียงรอบด้านเปลี่ยนเป็นคลุมเครือไม่ชัดเจน ราวกับความฝันที่ทำให้คนไม่กล้าจะเชื่อ
แต่บนโลกใบนี้นอกจากถังเหยี่ยนคนนั้นที่ตนเลื่อมใสศรัทธาราวกับเทพเจ้าแล้ว ยังจะมีช่างภาพคนไหนที่มีชื่อว่าถังเหยี่ยนอีก…
“ฉันรู้ว่าคุณต้องคุยกับพี่เฮ่าก่อน แต่ถึงยังไงนี่ก็เป็นโอกาสที่หาได้ยากมากในชีวิต คุณลองคิดดูมีคนตั้งมากมายอยากจะ…”
“ผมรับงานนี้”
ไม่คิดมากอีก เพียงเพื่อที่จะได้เห็นถังเหยี่ยนกับตาตัวเอง เขารีบตอบรับทันที
“คุณตัดสินใจถูกแล้วค่ะ แต่ว่าต้องบอกพี่เฮ่าหรือเปล่า” น้ำเสียงของอาเหมยเจือความกังวล
“เรื่องนี้ผมรับผิดชอบเอง ไม่ต้องบอกพี่หรอกครับ”
แค่คิดดูก็รู้แล้วว่าพี่ต้องปฏิเสธแน่นอน เขาจะปล่อยให้ปีศาจสาวคนนั้นทำลายโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ในใจของเขาได้อย่างไร
“งั้นวันนี้คุณพอจะมีเวลามาคุยเรื่องสัญญาที่บริษัทไหมคะ ส่วนเรื่องคุยรายละเอียดกับถังเหยี่ยนและเวลาถ่ายภาพ ฉันค่อยแจ้งคุณทีหลัง”
“อืม รบกวนพี่เหมยแล้วครับ”
“อย่าพูดแบบนี้สิ ความจริงแล้วฉันเองก็ตื่นเต้นมากที่ทำให้คุณรับงานนี้ได้”
“แล้วพบกันนะครับ”
ทันทีที่เขาวางโทรศัพท์ ฝ่ามือและหูของเขาล้วนร้อนผ่าว หัวใจเต้นแรงตึกๆ เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้มีอิทธิพลต่อเขามาก
เขารีบออกจากตรงนั้น ไปที่สำนักพิมพ์อย่างรวดเร็ว หลังจากที่รับสัญญาจากอาเหมย และเห็นรายละเอียดสตูดิโอของถังเหยี่ยนแล้ว ภายในใจยังรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องจริง ตื่นเต้นจนคิดอะไรไม่ได้เหมือนปกติ แม้ว่าจะเห็นรายละเอียดแล้ว ทว่าในสมองกลับยังคงความว่างเปล่า เซ็นชื่อลงไปด้วยความตื่นเต้น
กระทั่งกลับมาถึงบ้าน นั่งหน้าโต๊ะทำงาน และมองดูนามบัตรของถังเหยี่ยนที่อาเหมยให้มาแล้ว ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าตนเองวู่วามเกินไป
คิดๆ ดูถังเหยี่ยนเป็นถึงช่างภาพที่มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศ เคยได้รับรางวัลช่างภาพดีเด่นระดับนานาชาติอันดับที่สิบ คนดังและนางแบบส่วนใหญ่ล้วนกระตือรือร้นอยากได้รับความโปรดปรานจากเขา ยืนอยู่บนสื่อสิ่งพิมพ์ มีชื่อเสียงในคืนเดียว
ส่วนเขานั้นกลับเคยแค่ถ่ายแบบบนนิตยสารพื้นๆ และถ่ายแบบลงอินเตอร์เน็ต ไม่เคยเห็นโลกกว้างและก็ไม่เคยผ่านการฝึกฝนของอาชีพนี้ เป็นนางแบบตัวเล็กๆ ที่เป็นผู้ชายแต่กลับแต่งตัวเป็นหญิงเท่านั้น
ควรจะกังวลเกี่ยวกับภาระของตัวเอง ทำไมถึงได้โลภมากเพียงเพราะคำพูดประโยคเดียวของถังเหยี่ยน คิดเพ้อฝันว่าจะสามารถเข้าไปใกล้เขาได้สักก้าวหนึ่ง และทิ้งร่องรอยเอาไว้ในชีวิตของเขา
ถึงเขาจะดีใจมากที่ถังเหยี่ยนรู้ถึงการมีอยู่ แต่เวลานี้เขากลับถามตัวเองว่าจะสามารถแสดงบทบาทของ Miu ได้ดีรวมถึงรับมือกับทีมถ่ายภาพขนาดใหญ่และทำตามความต้องการของถังเหยี่ยนได้งั้นหรือ
คำตอบคือไม่มีทาง
Miu ไม่ใช่เขา แต่เป็นตัวละครที่พี่เฮ่าและเขาร่วมกันสร้างขึ้น พอไม่มีพี่เฮ่าอยู่ข้างหลัง เขาก็ไม่มีความมั่นใจที่จะไปยืนอยู่หน้าสปอตไลท์ เผชิญหน้ากับผู้อื่นตามลำพัง
เขากลัวมากว่าเมื่อถึงเวลานั้นตนเองจะทำพลาด ทำลายชื่อเสียงของถังเหยี่ยน…
‘ดูสิ! ฉันบอกแล้วไงว่านายน่ะไม่ใช่ผู้ชาย เป็นเด็กดื้อที่เอาแต่สร้างปัญหา ไม่มีความรับผิดชอบแล้วก็ใจเสาะ’
แทบจะนึกภาพออกเลยว่าพี่สาวจะพูดเย้ยหยันไม่น่าฟังมากขนาดไหน เขาขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
แต่เมื่อเทียบกับการที่ต้องถูกพี่สาวตำหนิหรือตัวตนเปิดเผยแล้ว สิ่งที่เขาสนใจจริงๆ คือถังเหยี่ยนจะปฏิบัติต่อเขาอย่างไร จะเผยสีหน้าผิดหวังที่มองคนผิด หรือว่าจะแสดงอารมณ์โกรธและโมโหออกมาตรงๆ
ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน แค่คิดเขาก็รู้สึกหนักอึ้งแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการอยู่ในช่วงเวลาที่โหดร้ายแบบนั้น เขาต้องพังทลายอย่างแน่นอน ตอนนี้เขาควรทำอย่างไรดี
สัญญาน่าจะยังอยู่ที่พี่เหมย ควรโทรไปกลับคำพูดดีไหม
แต่ขืนทำแบบนั้นถังเหยี่ยนจะต้องรู้สึกขายหน้ามากแน่ๆ เขาจะปล่อยให้ถังเหยี่ยนเผชิญกับเรื่องไร้สาระแบบนี้ได้อย่างไร
พูดไปพูดมา เขาก็ยังค่อนข้างเป็นห่วงความรู้สึกของถังเหยี่ยนอยู่ดี
________________________________________
[1] กินอิ่มไม่มีอะไรทำ หมายถึงคนที่เบื่อและว่างจนไม่มีอะไรทำ
คอมเมนต์