เสพติดหัวใจนายช่างกล้อง ตอนที่ 2-3

Reader Settings

Size :
A-16A+

บทที่ 2.3

เสี่ยวหมี่…
“เสี่ยวหมี่!”
ขณะที่ตกอยู่ในภวังค์ อยู่ๆ ก็มีแรงตบลงมาบนไหล่ ทำเอาหลี่เหยาสะดุ้งโหยง
“โอ้ย!”
“เกิดอะไรขึ้น” ปฏิกิริยาที่รุนแรงทำให้หลี่เชียนจื๋อเผยอาการเป็นห่วง
“ขอโทษครับพ่อ เมื่อกี้ผมกำลังคิดบางเรื่องอยู่” รีบปิดนามบัตรอย่างรวดเร็ว ด้วยความตกใจหัวใจของเขายังคงเต้น แรงตึกๆ ทว่าสีหน้าของเขากลับเรียบนิ่ง ไม่อยากให้พ่อต้องมาคิดมากเรื่องของตนเอง
อย่างไรก็ตาม หลี่เชียนจื๋อที่มีแววตาเรียบนิ่งอยู่ตลอดนั้น กลับมองความกังวลของลูกชายออก “เมื่อกี้พ่อเรียกลูกตั้งหลายครั้ง ลูกก็ไม่ยอมตอบ กำลังคิดอะไรอยู่ หรือว่าพบเรื่องลำบากใจอะไรมา ไหนเล่าให้พ่อฟังสิ” เขาตบไหล่ของลูกชาย จากนั้นก็เดินมาที่ขอบเตียงและนั่งลง ตั้งใจเป็นผู้ฟังที่ดี
พ่อ…
หลี่เหยาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างแปลกใจ รู้ว่าปิดไม่ได้แล้ว จึงหันกายเผชิญหน้ากลับพ่อ แล้วถามเสียงเศร้าว่า “พ่อชีวิตนี้พ่อเคยตัดสินใจทำอะไรที่ต้องเสี่ยงกับชีวิตบ้างไหม”
เมื่อเผชิญกับใบหน้าที่จริงจังของเขา ดวงตาของหลี่เชียนจื๋อวูบไหวเล็กน้อย จากนั้นก็เผยท่าทีผ่อนคลาย มองมือที่วางอยู่ระหว่างขาของตนเอง “พ่อคิดว่าชีวิตนี้การตัดสินใจที่เสี่ยงที่สุดในชีวิตของพ่อก็คือการยอมให้แม่คลอดพวกลูกออกมา”
ได้ยินดังนั้น หลี่เหยาก็ปิดตาลง เขาเห็นด้วยกับพ่อที่สุด นี่เป็นการตัดสินใจที่อันตรายมากจริงๆ
เพราะแม่ของเขาเป็นโรคหัวใจตั้งแต่เกิด การมีลูกไม่ต่างกับการเอาชีวิตของเธอไปต่อกรกับเทพแห่งความตาย เมื่อเทียบกับปัญหาที่ตนเองกำลังเผชิญแล้ว สิ่งที่พ่อต้องเผชิญทั้งหมดคงเป็นเรื่องที่โหดร้ายและยุ่งเหยิงที่สุดบนโลกใบนี้
“แล้ว หลังจากที่ผลลัพธ์กลายมาเป็นแบบนี้ พ่อเสียใจไหม”
แม้ว่าพ่อจะไม่แสดงท่าทีรังเกียจหรือโกรธเกลียดตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับรู้สึกปวดใจมาก เพราะถ้าแม่ไม่คลอดตนเองตั้งแต่ทีแรก บางทีท่านอาจจะไม่ต้องจากโลกนี้ไป
“พ่อไม่เสียใจ เพราะในเมื่อเสี่ยงตัดสินใจแล้วก็ต้องกล้ารับผิดชอบผลของความเสี่ยงที่ตนเองเลือก” หลี่เชียนจื๋อลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยน
“อีกอย่างพวกเราไม่สามารถตัดสินผลลัพธ์ได้ว่าสุดท้ายแล้วจะออกมาดีหรือไม่ดี หรือลูกรู้สึกว่าระหว่างทางไม่สำคัญ…ตราบเท่าที่ลูกทุ่มเท จริงใจและทำงานหนัก พ่อคิดว่าผลลัพธ์เป็นเพียงสิ่งที่เราจินตนาการขึ้นมาเองเท่านั้น ไม่ใช่ทุกอย่าง”
หลี่เหยาเบิกตาโต เข้าใจว่าพ่ออยากให้เขาปล่อยวางและลงมือทำ ไม่ว่าผลลัพธ์จะดีหรือแย่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือไปหาประสบการณ์และเอาชนะสิ่งนั้นด้วยหัวใจ
เขาคิดว่าพ่อเองก็ต้องใช้จิตใจที่มองโลกในแง่ดีแบบนี้เผชิญหน้ากับความตายและชีวิตใหม่ ค้นพบทิศทางของหัวใจในความทุกข์ยาก
หลังจากพูดคุยสั้นๆ สองสามประโยคแล้ว ความกังวลในใจทั้งหมดของหลี่เหยา พลันได้รับการปลดล็อก
เขาต้องการให้ถังเหยี่ยนถ่ายรูปของตนเอง ให้เขาได้เป็นตัวแทนของโลกแห่งการถ่ายภาพของเขา ความคิดนี้ผุดขึ้นอย่างแน่วแน่และชัดเจนในหัวสมองของหลี่เหยา
ไม่ว่าสภาพของตนเองในเวลานี้จะเพียบพร้อมพอที่จะเป็นดวงดาวที่เปล่งประกายในดวงตาของเขาหรือไม่ แต่เขาก็จะทำมันอย่างสุดความสามารถ พยายามบรรลุความต้องการของเขา
นี่ไม่ใช่เพื่อถังเหยี่ยน แต่ยังรวมถึงตัวเขาด้วย
“ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นบ้างไหม” เมื่อเห็นสีหน้าของลูกชายกลับมามีความสุขเหมือนเดิมแล้ว หลี่เชียนจื๋อถึงได้วางใจ
“ไม่ว่าลูกกำลังตัดสินใจทำอะไร พ่อสนับสนุนลูกเต็มที่ เพราะพ่อเชื่อว่าลูกทำได้”
“ขอบคุณครับพ่อ…”
…..
ไม่ถึงสองวัน หลี่เหยาก็ได้รับข่าวจากอาเหมย ว่าทางด้านถังเหยี่ยนนั้นก็เซ็นสัญญาแล้ว และนัดพบกันวันพุธเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเนื้อหาของการถ่ายทำและถามความเห็นของเขา
การเจรจาขั้นต่อไปมอบให้อาเหมยเป็นผู้จัดการ สำหรับการพูดคุยในวันนั้น หลี่เหยาลากับทางมหาวิทยาลัยเอาไว้ก่อนแล้ว เขามาที่บริษัทตั้งแต่เช้าตรู่ให้อาเหมยแต่งหน้าและดูแลเรื่องการแต่งตัว
เพราะใส่ใจกับครั้งแรกที่พบกัน จึงสวมเพียงชุดเดรสคอปกสีกรมท่าเรียบง่ายและสง่างาม บวกกันแต่งหน้าเรียบๆ หวังจะทำให้ถังเหยี่ยนรู้สึกประทับใจตั้งแต่ครั้งแรก
หลังจากที่นั่งรถกับเสี่ยวฉีมุ่งหน้าไปยังสตูดิโอแล้ว ทั้งสองก็ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่สิบสอง พอเข้าไป ก็มองเห็นทีมงานวิ่งเข้าออก คล้ายกับว่ากำลังเตรียมฉากสำหรับการถ่ายทำครั้งนี้อยู่
ไม่เคยรับงานใหญ่ขนาดนี้ หลี่เหยาจึงรู้สึกเครียดอย่างเห็นได้ชัด ทว่ากลับไม่ลืมก้มศีรษะอย่างสุภาพให้กับคนที่สังเกตเห็นเขา หลังจากที่แจ้งพนักงานต้อนรับหญิงสาวแล้ว ผู้ชายที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาก็เดินออกมาจากด้านใน ดวงตาคมไม่เป็นมิตรกวาดมอง “ตามผมมา”
น้ำเสียงที่แย่มากทำให้คนทั้งสองสบตากัน เดินตามคนคนนั้นเข้าไปที่ห้องประชุมอย่างเงียบๆ
“ผมเป็นผู้ช่วยของถังเหยี่ยน พวกคุณรออยู่ที่นี่สักครู่หนึ่งก่อน” พูดจบ คนคนนั้นก็เดินออกไป
“ผมล่ะไม่เคยเห็นผู้ช่วยที่หยาบคาบขนาดนี้มาก่อนเลย ถ้าไม่ใช่คนระดับถังเหยี่ยน ก็ต้องเพิ่งถูกแฟนทิ้งมาแน่” เสี่ยวฉีพูดหยันอย่างไม่พอใจ
“นั่นเป็นปัญหาของเขา” เขากระโดดออกมาพูดแทนถังเหยี่ยนโดยไม่รู้ตัว หลี่เหยาวางกระเป๋าเอาไว้ด้านหลังก่อน จากนั้นถึงได้นั่งลงไป
“ยังไงรออีกสักพักเดี๋ยวก็รู้เอง”
ขณะที่รอ หลี่เหยาไม่ได้เล่นโทรศัพท์มือถือหรือเดินไปทั่ว นั่งเรียบร้อยอยู่บนเก้าอี้ สองตาจับจ้องไปที่ประตูบานนั้น คาดเดาหน้าตาของคนที่จะเข้ามาไม่หยุด
ช่างภาพส่วนใหญ่ที่เขารู้จักล้วนมีหน้าตาไม่เลว รูปลักษณ์อ่อนโยนแต่กลับเชื่อมั่นในตัวเองสูง ซึ่งเขาหวังว่าถังเหยี่ยนจะไม่เหมือนกับคนอื่นๆ
เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของเขาจะทัดเทียมกับคนธรรมดาได้อย่างไร
รอคอยด้วยความตื่นเต้น ทั้งสองรอกระทั่งเวลาล่วงเลยไปสิบห้านาที เนื่องด้วยเมื่อคืนก่อนเครียดจนนอนไม่หลับ บวกกับรอนานจนรู้สึกเบื่อ ทันใดนั้นคนจึงเผยความเหนื่อยล้าออกมา หลี่เหยาทนไม่ไหวเปิดปากหาวหวอด
แต่ยังไม่ทันได้เช็ดคราบชื้นที่ติดอยู่บนหางตา ทันใดนั้นเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น เขารีบลุกขึ้นและโค้งตัวเต็มพิธีการ “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อ Miu ค่ะ” พร้อมกับเก้าอี้ที่พลิกหงายลงไปดัง “ตึ้ง!” เสียงเสียดหูเสียงหนึ่งดังขึ้นทำลายความเงียบภายในห้อง
รู้สึกตกใจที่ทำเรื่องโง่ๆ ลงไป หลี่เหยาอับอายไม่กล้าเงยหน้า หรี่ตาเหลือบมองเสี่ยวฉีที่กลั้นขำอยู่ด้านข้าง
“สวัสดีครับ ผมชื่อถังเหยี่ยน”
เสียงทุ้มต่ำที่ดึงดูดและไพเราะดังเข้ามาในหูของเขา ทำให้เลือดทั่วทั่งกายพลุ่งพล่าน
เขาเชยตามองโดยไม่รู้ตัว ทันทีที่สายตาปะทะเข้าการดวงตาที่ลึกล้ำของชายหนุ่ม ร่างกายก็สั่นไหวอย่างรุนแรง คล้ายกับทุกสิ่งหยุดนิ่งขยับตัวไม่ได้ชั่วขณะ แม้แต่ลมหายใจก็ถูกพรากไป
สิ่งที่สะท้อนเข้ามาในรูม่านตาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ กลิ่นอายความแข็งแกร่งของเขาแผ่กระจายออกมาทั่วทั้งร่าง ดวงตาลึกล้ำราวกับธารน้ำลึก ครู่หนึ่งคล้ายกับว่าเขาถูกดูดเข้าไปในโลกอันน่าตื่นตาตื่นใจ ความรู้สึกนึกคิดพลันว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว
ทว่าเมื่อถูกสายตาร้อนกวาดมองทั่วร่างราวกับมองเข้าไปถึงเนื้อในที่แท้จริงของตนเองแล้ว เขาก็กำกระโปรงโดยไม่รู้ตัว ดวงตาที่ประสานอยู่นั้นเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข
“ขอโทษค่ะ”
หลังจากที่โพล่งปากพูดประโยคนี้ออกไปอย่างแปลกประหลาดแล้ว แก้มของเขาก็ปรากฏริ้วแดงขึ้น
สมควรตาย…
จุดโฟกัสที่กระจัดกระจายกลับมาอยู่บนร่างของถังเหยี่ยนอีกครั้ง เมื่อเห็นเขายกยิ้มน่ามองให้กับปฏิกิริยาที่สูญเสียการควบคุมของตนเองแล้ว หน้าอกของหลี่เหยาฉับพลันบีบรัด
“ประโยคนี้ควรเป็นผมที่พูดกับคุณถึงจะถูก ขอโทษด้วยที่ทำให้คุณรอนาน” เมื่อมองเห็นการแสดงออกที่หลากหลายของเขาตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว ดวงตาของถังเหยี่ยนซุกซ่อนความคิดที่ลึกซึ้ง รีบก้าวเท้าเดินมาข้างเขาอย่างรวดเร็ว ทั้งมีความเป็นสุภาพบุรุษยกเก้าอี้ที่พลิกหงายลงไปขึ้นมา
“เชิญนั่งครับ”
“ขอบคุณค่ะ” ร่างกายใกล้ชิดกันอย่างรวดเร็ว กลิ่นอายเข้มของชายหนุ่มโชยแตะเข้ามาที่จมูก ทำให้หลี่เหยาขนลุกทั้งตัวอย่างน่าประหลาด สายตามองตามแผ่นหลังกว้างที่เคลื่อนไหว ตอนที่เจ้าของแผ่นหลังหันกลับมาก็เก็บสายตากลับไม่เหลือร่องรอยเอาไว้แล้ว
“Miu นี่คงเป็นครั้งแรกที่คุณรับงานถ่ายแบบเป็นพรีเซนเตอร์ ผมดูแล้วก่อนหน้านี้คุณจะรับเฉพาะงานนิตยสารและถ่ายแบบออนไลน์เท่านั้น”
“เพราะประสบการณ์ของฉันยังน้อยมาก ภายใต้การพิจาณาของตัวแทน การถ่ายภาพพื้นๆ ง่ายๆ ดูค่อนข้างจะเหมาะสมกับฉันมากกว่า แต่ฉันรู้สึกขอบคุณคุณมากนะคะที่เจาะจงเลือกฉันให้รับหน้าที่เป็นนางแบบครั้งนี้ ฉันจะพยายามให้ความร่วมมืออย่างสุดความสามารถค่ะ”
ที่แท้ท่านเทพก็มีหน้าตาแบบนี้…
แม้ว่าจะตอบอย่างถ่อมตัวตามที่คิดเอาไว้ ทว่าแววตาของหลี่เหยาข่มความรู้สึกคาดหวังเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายวาววาบ จ้องมองถังเหยี่ยนเขม็ง
“ผมเจาะจงเลือกคุณเพราะมีเหตุผล” ถังเหยี่ยนยกยิ้มที่มุมปาก นัยน์ตาเต็มไปด้วยความลึกลับ
“คะ?”
หลี่เหยามองถังเหยี่ยนอย่างแปลกใจ
เพียงแต่ถังเหยี่ยนที่พูดเป็นนัยคล้ายกับไม่คิดที่จะอธิบาย เหลือบตามองเล็กน้อยและเปิดหนังสือแผนงานออก “ผมคิดว่าคุณคงได้ดูแผนงานครั้งนี้มาก่อนแล้ว สิ่งที่บริษัทไวน์ต้องการโปรโมทก็คือผลิตภัณฑ์ไวน์แดงและไวน์ขาวตัวใหม่ของพวกเขา ดังนั้นพวกเราจะถ่ายภาพสองชุดที่มีรูปแบบแตกต่างกัน”
ความผิดหวังบางๆ ปกคลุมที่หัวใจ แต่หลี่เหยากลับไม่แสดงออก พยักหน้าเข้าใจเท่านั้น
“จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ไวน์ขาวมู่หลานคือกลิ่นผลไม้ที่หอมหวาน ผมเลยคิดที่จะนำเสนอในรูปแบบที่หรูหราและสง่างาม ส่วนไวน์แดงลี่ซือหลิงตั้งชื่อตามรสชาติและความหวานของผลไม้ที่เข้มข้น ดังนั้นจึงต้องการเน้นความเป็นผู้ใหญ่และความเย้ายวนเป็นหลัก”
แม้ว่าจะเป็นเพียงช่างภาพ แต่ถังเหยี่ยนได้ค้นคว้าข้อมูลมากมายเกี่ยวกับตัวเอกที่ตนเองต้องถ่าย ไวน์สองชนิดนี้เขาเคยชิมมาแล้วทั้งหมด จึงรู้สึกคุ้นเคยกับข้อดีและคุณสมบัติของทั้งสองสิ่งนี้เป็นอย่างดี

คอมเมนต์

Chapter List