Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก ตอนที่ 2
บทที่ 2
เพราะเพิ่งจะเป็นวันแรกน่ะสิ อีกไม่นานเดี๋ยวก็เชื่อกันเอง
มูคยอมยกช้อนขึ้นและเริ่มรับประทานอาหารช้ากว่าคนอื่นไปเล็กน้อย อย่างไรก็ตามข้อดีหลักๆ อย่างหนึ่งของการอยู่ที่นี่ก็คือเขาสามารถกินข้าวที่จัดเตรียมอย่างดีได้ทุกวัน
อาหารของกรีนฟอร์ดเองก็ไม่ได้แย่ แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าสำรับอาหารเกาหลีที่ประกอบด้วยข้าว แกง และเครื่องเคียง ก็ช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกพึงพอใจขึ้นมาจากส่วนลึกของหัวใจ ถึงมูคยอมจะอาศัยอยู่ที่อังกฤษเกือบสิบปี แต่สิ่งที่เรียกว่านิสัยการกินซึ่งถูกหล่อหลอมมาตั้งแต่เด็กก็ไม่ได้เปลี่ยนกันง่ายๆ ขณะที่กำลังทานข้าวไป นักกีฬาคนหนึ่งก็พูดขึ้นมราวกับเพิ่งนึกเรื่องที่ลืมไปแล้วได้
“จริงสิ พวกพี่ ได้ยินข่าวพี่ฮาจุนกันแล้วใช่ไหมครับ เห็นว่าไม่มะรืนหรือวันถัดไปจะมาทำงานกับทีมเรานะครับ”
“อา จริงด้วย ฮาจุนจะมาแล้วนะ จะว่าไป ก็ถึงเวลาแล้วสินะเนี่ย”
คำพูดของนักกีฬาคนหนึ่งทำให้จองคยูและนักกีฬาหลายคนแสดงทีท่าเหมือนนึกขึ้นได้ มูคยอมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนเอ่ยถาม
“ฮาจุน?”
“อีฮาจุน รู้จักใช่ไหม เวิลด์คัพ[1]ครั้งที่แล้วเคยเล่นด้วยกันนี่”
“อา”
อีฮาจุน อีฮาจุน… มูคยอมทบทวนชื่อนั้นในใจแล้วพยักหน้าเบาๆ แม้จะไม่สามารถจดจำนักกีฬาที่เจอกันครั้งละประเดี๋ยวเดียวเฉพาะตอนที่ถูกเรียกตัวทีมชาติ และไม่มีความสนิทสนมเป็นการส่วนตัวทั้งหมดได้อย่างละเอียดทุกคน แต่ถ้าเป็นตอนเวิลด์คัพก็เหมือนจะอยู่ด้วยกันนานมากอยู่เหมือนกันนะ
ทว่ามูคยอมก็นึกออกเพียงแค่ ‘อ่อ มีคนแบบนั้นอยู่ด้วยนี่นะ’ เท่านั้น ไม่รู้ทำไมหน้าตาของฮาจุนถึงดูเลือนรางจนนึกไม่ออกเลย
“เหมือนจะจำได้รางๆ”
“ถ้าเห็นหน้าก็จะรู้ ตอนนั้นเป็นการแข่งรอบไหนแล้วนะ เขาเคยแอสซิสต์[2]ให้นายด้วย”
“ย้ายสังกัดมาจากทีมอื่นงั้นเหรอ”
จองคยูยู่หน้าพร้อมส่ายศีรษะ
“เปล่า จะมาเป็นโค้ช มีเหตุผลบางอย่างเขาเลยปลดเกษียณเร็วน่ะ เห็นว่าทันทีที่ปลดเกษียณก็รีบไปเรียนจนได้รับใบรับรอง แล้วก็ฝึกหัดอยู่กับทีมเยาวชนจนถึงฤดูกาลที่แล้ว ก่อนตัดสินใจมาที่นี่ตั้งแต่ฤดูกาลนี้น่ะ”
“อายุเท่าไร”
“รุ่นเดียวกันกับพวกเรา”
ถ้าอายุ 26 ก็เร็วไปจริงๆ สำหรับการปลดเกษียณและมาเป็นโค้ช แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลย ถ้าอย่างนั้นก็คงจะเป็นโค้ชที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มโค้ชของทีม มูคยอมพยักหน้าโดยไม่ได้คิดอะไรอย่างอื่นนอกเหนือจากนี้
“นาย ฉัน ฮาจุน รุ่นเดียวกันหมดเลยแฮะ ถ้าฮาจุนมาแล้วเราสามคนไปดื่มกันหน่อยเถอะ นายก็มา ฮาจุนก็มา แต่ละคนมีเหตุผลส่วนตัว แต่นั่นก็ดีกับฉันละนะ”
“ดูเหมือนจะสนิทกับนายด้วยสินะ”
“หมอนั่นก็สนิทไปทั่วหมด เขานิสัยดี ไม่เหมือนกับนาย”
“งั้นก็คงไม่เหมือนกันนายด้วยสินะ”
มูคยอมรำคาญที่จองคยูทำเหมือนว่าตัวเองนิสัยดีอยู่คนเดียว ทั้งๆ ที่จิกกัดเขาแทบทุกประโยค จึงเหน็บกลับไปแล้วเริ่มทานข้าวอีกครั้ง หลังจากนั้นมูคยอมที่จดจ่อกับการทานข้าวโดยไม่พูดอะไรอีกก็ทานอาหารเสร็จเร็วกว่าคนอื่นๆ ก่อนจะลุกจากที่โดยไม่สนใจว่าคนอื่นๆ จะทานอยู่หรือไม่ ก้าวเดินเนิบๆ ไประหว่างโต๊ะอาหารตัวยาวแล้ววางถาดอาหารลงตรงจุดที่คืนถาดเปล่า
“ขอบคุณสำหรับอาหารครับ”
“อุ้ยตาย นักกีฬาคิมมูคยอม! กินอีกสิ เอาเพิ่มอีกไหม”
แววตาของแม่ครัวที่รับถาดอาหารคืนอบอุ่นราวกับกำลังมองลูกชายแท้ๆ ที่ได้รับวันหยุดออกมาจากกองทัพ
มูคอยมตอบกลับอย่างสุภาพ
“ขอบคุณนะครับ แต่ไม่เป็นไรครับ”
“คราวหน้ากินเพิ่มอีกนะ ชอบกินอะไรล่ะ บอกมาได้เลยนะ! พวกเราจะทำให้ทุกอย่างเลย”
มูคยอมฉีกยิ้มออกไปโดยไม่ได้ตอบอะไรให้กับไมตรีจิตที่แสดงออกมาอย่างเปิดเผย นั่นทำให้การโจมตีจากความเสน่หาของคนทำอาหารยิ่งยืดยาวมากขึ้น
“เราน่ะ ทำไมถึงทั้งแข็งแกร่ง ทั้งเกลี้ยงเกลาและหล่อเหลาอย่างนี้กัน ฉันอยากจะจับคู่ให้กับลูกสาวฉันเลยนะเนี่ย ถ้าเกิดสนใจก็บอกได้ตลอดเลย เดี๋ยวนี้พวกคนหนุ่มสาวแค่ลองคบหากันแบบง่ายๆ ดูก็ได้ไม่ใช่เหรอ”
“พอได้แล้ว! คนคนนี้นี่ทำไมถึงวุ่นวายอย่างนี้ตั้งแต่วันแรกเลย”
กลุ่มแม่ครัวถกเถียงกันไวขึ้นจนมูคยอมไม่มีโอกาสได้โต้ตอบอะไร เขาทิ้งความวุ่นวายเล็กๆ ไว้เบื้องหลังแล้วออกมาจากโรงอาหาร รสชาติอาหารก็ใช้ได้ บรรยากาศในครัวก็ถูกใจ มูคยอมคิดขณะมุ่งหน้าไปยังสนามฝึกซ้อมอีกครั้งด้วยหัวใจที่อบอุ่นขึ้น
เพราะยังเหลือเวลาก่อนเริ่มฝึกซ้อมช่วงบ่ายอีกประมาณยี่สิบนาที มูคยอมจึงเดินไปบนสนามหญ้าเพื่อเดินเล่น และทำความคุ้นเคยกับสนามฝึกซ้อมใหม่ไปในตัว พอมองไปรอบๆ ก็เห็นจุนซองที่เป็นผู้จัดการทีมยืนอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม จุนซองยืนคุยอยู่กับชายคนหนึ่ง มูคยอมยิ้มและเดินมุ่งหน้าไปทางด้านนั้น
“ผู้จัดการทีม ทานข้าวหรือยังครับ”
“อ้าว มูคยอม กินข้าวเสร็จแล้วเหรอ”
“ครับ”
ในตอนนั้นเองชายหนุ่มที่มูคยอมได้เห็นเพียงแค่ด้านหลังก็หันหน้ามามองมูคยอม มูคยอมสบเข้ากับดวงตาของชายหนุ่ม ตอนแรกเขาคิดว่าชายหนุ่มคงเป็นหนึ่งในโค้ชที่ฝึกซ้อมร่วมกันไปเมื่อช่วงเช้า แต่กลับไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย เป็นชายหนุ่มที่มีลักษณะหน้าตาที่ดูสุภาพอ่อนโยน จุนซองทำไม้ทำมือราวกับได้จังหวะพอดี
“ทักทายกันไว้ก่อนสิ ได้ยินมาแล้วใช่ไหม นี่คือคิมมูคยอมที่จะมาเล่นกับทีมของเราในฤดูกาลนี้”
“ครับ จะมีใครไม่รู้จักด้วยเหรอครับ”
ชายหนุ่มตอบและหันกายมาทางมูคยอม เมื่อหันกลับมาและได้เผชิญหน้ากันชัดๆ ลักษณะหน้าตาก็ดูจะต่างออกไปเล็กน้อย
นัยน์ตาดำที่กลมโตเป็นพิเศษกับรูปตาที่แม้จะกลมแต่ส่วนหางนั้นให้ความรู้สึกเย็นชาเล็กๆ ดวงตาคู่นั้นมุ่งมาทางมูคยอม เป็นชายหนุ่มที่ดูสุภาพอ่อนโยนแต่ในขณะเดียวกันก็มีบรรยากาศที่ขัดแย้งเหมือนกระดาษบางๆ ที่ยับย่น
ไม่เหมือนกับความรู้สึกที่ดูไร้กำลังหรือเรี่ยวแรง แต่คงเพราะชายหนุ่มมีผิวขาว และในส่วนของใบหน้าก็ดูราวกับถูกสรรสร้างมาอย่างเรียวงามเหมือนกัน ชายหนุ่มเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายมูคยอมก่อน
“ไม่เจอกันนานเลย ดีใจที่ได้เจอนะ”
ใครกันนะ ทำท่าเหมือนรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่ก็เหมือนจะเคยเจอที่ไหนมาก่อนอยู่เหมือนกัน
มูคยอมยื่นมือออกไปแทนที่จะเอ่ยข้อสงสัยที่อยู่ในใจของตนเองออกมา ชายหนุ่มก้มมองมือนั้น ก่อนจับเพียงครู่เดียวสั้นๆ แล้วปล่อยออก แล้วจุนซองจึงแนะนำชายหนุ่ม
“นี่อีฮาจุนที่จะมาเป็นโค้ชฟิตเนส[3]ใหม่ของทีมเรา จะเริ่มงานหลังจากนี้อีกสองสามวัน แต่วันนี้มีเอกสารที่ต้องยื่นก่อนเลยแวะเข้ามาเดี๋ยวหนึ่งน่ะ”
“อ่า”
มูคยอมร้องออกไปสั้นๆ โดยไม่รู้ตัว คนที่จองคยูกับคนอื่นๆ พูดถึงเมื่อครู่น่าจะหมายถึงคนคนนี้ที่จองบอกว่าเห็นแล้วจะนึกออกนั้นไม่ใช่เลย รู้สึกเหมือนคุ้นแต่ก็ไม่ได้คุ้นเสียทีเดียว เหมือนจะเคยเจอมาก่อนแต่ความทรงจำกลับไม่ชัดเจนนัก ลักษณะของฮาจุนเองก็ไม่ได้จืดจางขนาดนั้นด้วย
มูคยอมที่กำลังประเมินอีกฝ่ายอยู่ในใจต้องยกยิ้มอย่างขมขื่นขึ้นมาในใจ เมื่อตอนเวิลด์คัพครั้งที่แล้ว ตัวเขาอยู่ในสภาพที่อารมณ์หงุดหงิดง่ายอยู่ตลอดและไม่ได้คบค้าสมาคมกับนักกีฬาคนอื่นๆ เป็นพิเศษ ดังนั้นหากเคยพบหน้ากันในช่วงนั้นเป็นส่วนใหญ่ ก็ไม่ใช่เรื่องเกินไปเลยที่จะบอกว่ามูคยอมลบเลือนใบหน้าเขาออกจากความทรงจำไปแล้ว
เป็นเมื่อสามปีก่อน มูคยอมฝึกซ้อมกับสมาชิกทีมระดับสูงที่กรีนฟอร์ดอยู่ 365 วัน แล้วก็มาฝึกซ้อมกับพวกนักกีฬาทีมชาติที่มารวมตัวกันอย่างสับสนวุ่นวายแค่ประมาณหนึ่งเดือน การนำทีมที่มักกระทบกระทั่งกันบ่อยๆ และลงแข่งขันอย่างต่อเนื่อง เฉพาะแค่ในตอนนั้นมูคยอมก็อดทนได้อย่างลำบากแล้ว เขาไม่แม้แต่จะแสร้งทำเป็นปกปิดความอึดอัดใจนั้นด้วยซ้ำ และเพราะมูคยอมลงแข่งเวิลด์คัพครั้งแรกจึงมีความกระตือรือร้นล้ำหน้าไปอยู่คนเดียว ทำให้ความไม่พอใจระหว่างเขากับนักกีฬาคนอื่นยิ่งค่อยๆ หยั่งลึกมากขึ้น
คำวิจารณ์ทั้งจากสื่อมวลชน และประชาชนทั่วไปต่างพุ่งตรงมาที่มูคยอม ว่ามูคยอมถือว่าตนเป็นดาวรุ่งในต่างประเทศเลยทำตัวอวดดี เพราะอย่างนั้นถึงมูคยอมจะยิงประตูได้มากที่สุด แต่ก็ยังถูกตำหนิด้วยคำว่า ‘สาเหตุของความพ่ายแพ้’ ไม่ใช่เหรอ และเวิลด์คัพแรกของมูคอยมก็กลายเป็นเวิลด์คัพที่ไม่อยากนึกถึง อาจเพราะเหตุนั้นทำให้สมาชิกในทีมที่แข่งด้วยกันตอนนั้นเลือนรางอยู่ในความทรงจำ ในตอนนี้ถึงมูคยอมจะไม่ได้อาละวาดโดยไม่รู้จักแยกแยะบ่อยมากเท่ากับเมื่อตอนนั้นแล้ว แต่ก็แค่สงบเสงี่ยมลงเล็กน้อยเท่านั้น เขาไม่มีทางที่จะเข้าหาคนอื่นๆ อย่างกระตือรือร้นก่อนแน่นอน หากไม่ใช่ตอนที่ต้องการเข้าหาใครก่อนเพราะจำเป็น และถึงอย่างนั้นมูคยอมก็ไม่ใช่คนประเภทที่คนอื่นๆ จะสามารถเข้าหาได้ง่ายๆ ด้วยเช่นกัน แต่ถึงจะอยู่เฉยๆ คนอื่นๆ ก็ยังเว้นระยะห่างจากเขาก่อนอยู่ดี ไม่รู้เป็นลักษณะภายนอกที่ดูนิ่งเฉย และมีนิสัยที่ไม่ค่อยปกปิดความรู้สึก หรือเป็นเพราะมีรูปร่างที่สูงใหญ่กันแน่
ช่วงแรกของการไปใช้ชีวิตในต่างประเทศที่สื่อสารไม่ได้ แม้ว่าจะลำบากหน่อย แต่หลังจากได้มีประสบการณ์ตรงส่วนนั้นแล้วเขาก็ไม่เคยมีความคิดที่อยากจะเปลี่ยนแปลงนิสัยของตัวเองเลย เพราะถึงอย่างไรก็เป็นปัญหาที่ต้องใช้เวลาในการแก้ไขด้วยเหมือนกัน
“ไอ้เจ้านี่ อ่าเอออะไร ต้องพูดทักทายสิ”
เสียงดุของผู้จัดการทีมที่เอ่ยราวกับอับอายกับการกระทำของมูคยอมดึงมูคยอมที่หลุดไปกับความคิดเรื่องอื่นอยู่ครู่หนึ่งให้กลับมาสู่บทสนทนา มูคยอมจ้องมองฮาจุนที่ยืนอยู่ตรงหน้า แล้วต้องพูดว่าอะไรกันล่ะ มูคยอมใช้เวลาครุ่นคิดสั้นๆ แล้วตัดสินใจทักออกไปอย่างเรียบง่าย
“ยินดีที่ได้พบครับ โค้ชอี”
พอเขาพูดออกไปเช่นนั้น จุนซองก็หัวเราะฮ่าๆ ออกมาพร้อมกับถามว่า
“อ่อๆ พูดสุภาพเพราะเป็นโค้ชงั้นเหรอ พวกนายรุ่นเดียวกันไม่ใช่หรือไง”
“ใช่ครับ ถ้าไม่ใช่ตอนฝึก เรียกแค่ชื่อก็พอ”
ฮาจุนตอบพร้อมยิ้ม ฝ่ายนั้นทำท่าทีเหมือนสนิทสนมกันมาก แต่มูคยอมกลับอยู่ในสถานการณ์ที่ขัดเขินเพราะความทรงจำเลือนราง ในตอนนั้นก็ได้ยินเสียงคล้ายเสียงอุทาน “โอ๊ะๆ” ดังมาพร้อมกับเสียงของคนอื่นๆ จากทางด้านหลัง
“พี่ฮาจุน!”
“ฮาจุน!”
“ได้ยินว่าอีกหลายวันถึงจะมานี่นา”
ชั่วพริบตาเดียวรอบข้างก็เอะอะเจี๊ยวจ๊าวขึ้น อย่างไรก็ตามดูท่าทางว่าอีฮาจุนจะเป็นสตาร์ในคนละความหมายกับมูคยอม พวกนักกีฬาที่เคยเอาแต่ระวังท่าทีจนไม่กล้าเข้าใกล้มูคยอม พากันกรูเข้ามาประกบใกล้ฮาจุนด้วยท่าทางยินดี ชายหนุ่มที่ชื่ออีฮาจุนเองก็ยิ้มเต็มใบหน้าและกำลังตอบคำถามนู่นนี่ของพวกเขา
เป็นชายหนุ่มที่ถ้าบอกว่าเป็นโค้ชก็คงคิดว่าคงจะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าบอกว่าเป็นนักกีฬาฟุตบอลก็ดูจะไร้เรี่ยวแรงอยู่บ้างขนาดที่ทำให้เกิดความคิดว่าคาดไม่ถึงอยู่นิดหน่อย ทั้งดวงตาที่ประเดี๋ยวๆ ก็ยิ้มออกมา ทั้งดวงหน้าขาวเหมือนกับเด็กคงแก่เรียนนั่นเองก็ด้วย
อันที่จริงก็ใช่ว่าจะมีการแบ่งแยกหน้าตาแบบที่เหมือนนักกีฬาเสียหน่อย แล้วผู้คนจะพูดเล่นถึงอาชีพอื่นที่เหมาะกับหน้าตาของนักกีฬาฟุตบอลบ้างไหมนะ
“ทักทายมูคยอมแล้วเหรอ”
“อือ”
ฮาจุนตอบคำถามของจองคยูด้วยรอยยิ้ม
“แต่เหมือนจะจำฉันไม่ได้เลย”
“…”
ถูกจับได้เสียแล้ว
อันที่จริง การที่เขาส่งเสียงทึ่มๆ อย่าง “อ่า” ออกไปทันทีที่ได้ยินชื่อแบบนี้ก็ไม่มีทางที่จะดูไม่ออก มูคยอมไม่รู้สึกอยากจะตอบรับหรือปฏิเสธดังนั้นจึงทำแค่ฟังเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร พอมูคยอมทำอย่างนั้น จองคยูก็แสดงท่าทีกระดากใจออกมาเล็กน้อยตามคาด แล้วจึงจัดการกู้สถานการณ์ให้
“เจ้าหมอนี่ เดิมทีก็ไม่ค่อยจะมีสิ่งที่เรียกว่าความทรงจำหรอก เป็นพวกที่รู้จักแต่ตัวเองน่ะ กับฉันเองตอนประถมขนาดเจอกันเป็นสิบครั้งแล้ว เขาพูดว่าไงรู้ไหม ‘นายเองก็อยู่ชมรมฟุตบอลเหรอ’ พูดอย่างนี้น่ะ ไอ้เจ้านี่”
ฮ่าๆ ฮาจุนส่งเสียงหัวเราะออกมา จะยังไงก็เถอะ มูคยอมรับรู้เป็นอย่างดีแล้วว่าฮาจุนจะมาเข้ารับตำแหน่งโค้ช เพราะอย่างนั้นคราวนี้คงไม่มีทางลืมแล้วล่ะ งั้นก็หมดเรื่องล่ะนะ
หนึ่งในโค้ชประกาศเริ่มการฝึกซ้อมรอบบ่าย นักกีฬาอายุน้อยจึงวิ่งออกไปก่อนอย่างรวดเร็ว ในตอนที่เหลือเพียงแค่จองคยูกับมูคยอมและฮาจุน ฮาจุนเองก็หยิบกระเป๋าขึ้นสะพายราวกับเตรียมตัวจะกลับแล้วพูดว่า
“ฉันเองก็เพิ่งเคยเป็นโค้ชทีมชุดใหญ่ครั้งแรกเหมือนกัน เพราะงั้นต่อไปก็ฝากตัวด้วยนะ”
“อืม ไว้เจอกัน พวกเราสามคนรุ่นเดียวกันนี่ ต่อไปก็ช่วยเหลือ ทำดีต่อกันนะ”
“อืม ยินดีที่ได้เจอกันนะ ทั้งสองคนเลย รีบไปเถอะ”
ฮาจุนโบกมือราวกับจะบอกให้ทั้งสองรีบไปฝึก หลังจากจองคยูเอ่ยลาอีกครั้งแล้ว มูคยอมเองก็หมุนตัวกลับ เหล่านักกีฬารวมตัวกันเป็นวงกลมอยู่ตรงกลางของสนามฝึกซ้อม มูคยอมที่กำลังรับคำสั่งเกี่ยวกับการฝึกที่จะทำโดยการแบ่งเป็นทีม จู่ๆ ก็ย้ายสายตามองไปยังตำแหน่งที่ฮาจุนเคยยืนอยู่
ฮาจุนที่ทำท่าเหมือนพร้อมจะกลับได้ทุกเมื่อ นึกไม่ถึงว่าจะยังไม่กลับและยังคงยืนอยู่ตรงนั้น
***
หลังกลับเข้าประเทศเกาหลีได้วันที่สี่ มูคยอมหยุดพักแค่วันที่เดินทางมาถึงวันเดียวเท่านั้น จากนั้นก็เข้าร่วมการฝึกซ้อมประจำทันทีในวันถัดมา เขาเข้ารับการฝึกเหมือนกันกับนักกีฬาคนอื่นๆ หลังจากนั้นจึงได้ใช้วันพักหนึ่งวัน
เพราะเพิ่งมาถึงได้ไม่นานจึงยังไม่มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษ บ้านในเกาหลีที่มูคยอมจะอยู่ในช่วงระยะเวลาหนึ่งปีก็ทำสัญญาเสร็จมาจากลอนดอนแล้ว การเตรียมย้ายเข้าอยู่หรือการตกแต่งภายใน ทางเอเจนซี่ก็จัดการไว้ให้เสร็จเรียบร้อยแล้วก่อนที่มูคยอมจะกลับมาประเทศเกาหลี มูคยอมมีเพียงเข้าๆ ออกๆ สถานที่ราชการเพราะขั้นตอนเกี่ยวกับเอกสารหลายอย่างที่ต้องไปติดต่อด้วยตนเอง และเข้าประชุมเรื่องสัญญางานที่คุยไว้ตั้งแต่ก่อนจะมาเกาหลีครั้งหนึ่ง และนั่นคือทั้งหมด
“เห็นนี่หรือยัง?”
วันฝึกซ้อมถัดมาหลังผ่านวันหยุดที่แสนหอมหวาน จองคยูเพื่อนร่วมทีมก็ทำหน้าตึงขณะยื่นโทรศัพท์พรวดเข้ามาหามูคยอมทันทีที่พบหน้ากัน และนั่นเป็นก่อนที่มูคยอมซึ่งเพิ่งเข้ามาในห้องล็อกเกอร์จะทันได้วางกระเป๋าที่สะพายอยู่บนไหล่ด้วยซ้ำ
โทรศัพท์ถูกยื่นมาใกล้หน้ามากเกินไปจึงเห็นได้ไม่ชัดด้วยซ้ำว่าอะไรเป็นอะไร มูคยอมขมวดคิ้วและใช้นิ้วดันโทรศัพท์ออก ในหน้าคอมเมนต์ของเว็บไซต์ บรรดาคอมเมนต์แถวหนึ่งถูกเรียงเป็นลงมาเป็นแถวยาว
‘*******
มนุษย์ LTE เห็นด้วยมะ???’
‘*******
ก่อนจะลงนัดเปิดตัวก็เริ่มจากยิงประตูอื่นก่อน คึๆๆๆ’
‘*******
ช่วงล่างโคตรเละเทะ ถึงจะเก่งแค่ไหนก็ทำใจรักชอบไม่ได้’
‘*******
ฉันเป็นแฟนซิตี้โซลนะ แต่ฉันก็หวังว่าไอ้หมอนี่จะไม่ย้ายมา’
‘*******
ประสาท แสร้งทำว่าเป็นแฟนซิตี้โซล คึๆๆๆ นักกีฬา แค่เล่นกีฬาเก่งก็พอแล้วสิ เกี่ยวอะไรกับชีวิตส่วนตัวล่ะ’
มูคยอมไม่จำเป็นต้องถามด้วยซ้ำว่าเป็นคอมเมนต์จากข่าวอะไร มูคยอมดันมือถือออกด้วยมือข้างหนึ่ง โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
“เอาของแบบนี้มาจ่อหน้าฉันแต่เช้าเพื่ออะไร”
“มาถึงปุ๊บก็เริ่มเลยเหรอ”
“ฉันชอบคอมเมนต์สุดท้ายจังแฮะ นักกีฬาแค่เล่นกีฬาเก่งก็พอแล้วสิ”
มูคยอมพูดเหมือนไม่มีอะไรสำคัญและถอดเสื้อเจอร์ซีย์กับเสื้อยืดแขนสั้นที่สวมอยู่ออก เผยโครงร่างที่รองรับส่วนสูงที่ใหญ่โตรวมถึงกล้ามเนื้ออัดแน่นเต็มที่บนร่างหนาออกมา มูคยอมเพียงแค่กำลังถอดเสื้อยืดออกเท่านั้น แต่ทุกครั้งที่แขนขยับ กล้ามเนื้อที่ตัดกล้ามเนื้อหลังและแผ่นหลังกว้างในแนวตั้งก็ผุดขึ้นมาราวกับทิวเขา
เป็นร่างกายที่กระทั่งผู้ชายด้วยกันมองดูแล้วก็ยังอดรู้สึกเกรงขามไปพร้อมกับประทับใจไม่ได้ ทำให้ทั้งจองคยูและพวกนักกีฬาที่อยู่ใกล้เคียงพูดไม่ออกไปชั่วครู่ สายตาพวกเขาจับจ้องไปทางมูคยอม ก่อนจะเบนสายตาออกไปทันทีที่มูคยอมเริ่มสวมชุดยูนิฟอร์มสำหรับฝึกซ้อมลงบนศีรษะ
“ฮืม ถึงอย่างนั้นก็เถอะ นี่เป็นปัญหาเรื่องชื่อเสียงของทีม ช่วยระวังความประพฤติหน่อย นายก็รู้นี่ว่าบรรยากาศมันต่างจากต่างประเทศ”
จองคยูกระแอมไอและบ่นออกมาคำหนึ่งแบบไม่ค่อยจริงจังนัก มูคยอมเองก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย เขาเองก็ไม่นึกว่าจะโดนถ่ายรูปตั้งแต่รอบแรก
จนถึงเมื่อไม่กี่ปีก่อนปาปารัสซี่ที่เกาหลีเหมือนจะไม่ได้ทำตามอำเภอใจจนถึงขนาดนี้ แต่เรื่องนั้นก็ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องเล่าในอดีตไปแล้ว ถึงปาปารัสซี่เกาหลีจะไม่ตามติดในลักษณะไม่ดีเท่าสื่อเหลือง[4]ของอังกฤษ ที่มีชื่อเสียงไม่ดีอย่างมากในระดับโลก แต่ถ้าจะกล่าวถึงระดับความน่ารำคาญแล้ว ปาปารัสซี่ที่นี่อาจจะน่ารำคาญยิ่งกว่าก็ได้
อย่างที่จองคยูว่า มันต่างกับที่อังกฤษตรงที่ที่นี่มูคยอมไม่ใช่คนต่างชาติ เพราะอย่างนั้นถึงจะมีจุดที่ทำให้รู้สึกสบายใจอยู่ แต่ในทางกลับกันก็ทำให้เกิดจุดที่ไม่สะดวกใจด้วยเช่นกัน ถึงจะเข้าใจได้แต่สิ่งที่รู้สึกไม่สะดวกใจก็ยังคงเป็นสิ่งที่ไม่สะดวกใจอยู่ดี มูคยอมขมวดคิ้วและแย้งขึ้น
“ในที่ทำงาน ยังต้องถูกควบคุมกระทั่งชีวิตส่วนตัวด้วยงั้นเหรอ?”
“รู้อยู่แล้วทำไมยังทำอย่างนั้นอีกล่ะ ฉันถึงบอกให้ช่วยคิดถึงสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกอ่อนไหวของประชาชนหน่อยไง
คอมเมนต์