White Night ตอนที่ 1-1

Reader Settings

Size :
A-16A+

บทที่ 1 (1)

“สวัสดีค่ะ คุณหนู สวัสดีค่ะ คุณซึงโด ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปดิฉันจะรับหน้าที่ดูแลท่านทั้งสอง ฝากตัวด้วยนะคะ”
หญิงแปลกหน้าเอ่ยแนะนำตัวว่าหล่อนมาทำงานเป็นแม่บ้านประจำคฤหาสน์แห่งนี้เมื่อราวหนึ่งเดือนก่อน ผมไม่ได้ยินน้ำเสียงสดใสอ่อนโยนแบบนี้มานานแล้ว แต่ผมไม่มีทั้งแรงกายและแรงใจจะกล่าวตอบ ทำได้เพียงเหม่อมองไปที่ปลายเท้าของหล่อนเท่านั้น
แทกูกยองเหลือบตามาสังเกตอาการของผม พอเห็นผมไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง เขาก็ปิดปากสนิท ทำเป็นไม่เห็นแม่บ้านคนใหม่ ราวกับว่าเขาได้รับการปฏิบัติอย่างเย็นชากว่าจากผมซึ่งมีท่าทีสนใจหล่อนเพียงเล็กน้อย
“วันนี้เป็นวันเกิดอายุครบสิบเจ็ดปีของคุณหนู ดิฉันเลยเตรียมอาหารมาให้เยอะเชียวค่ะ ยิ่งรู้ว่าคุณซึงโดกินไม่หมดเป็นประจำก็เลยปรุงสุดฝีมือ”
ที่ผ่านมาอาหารส่วนของผมมีแค่ข้าวสวยชืด ๆ และกับข้าวกระป๋องแต่ผมไม่ทุกข์ร้อนหรอก ในเมื่อผมหมดอาลัยตายอยากในชีวิต จะไม่เจริญอาหารก็คงไม่แปลก
“ดิฉันเดาว่าคุณคงชอบอาหารทะเลมากกว่าพวกเนื้อสัตว์ เมื่อกี้ตอนไปจ่ายตลาดเจอของสดดี ๆ เลยหยิบติดมือมาด้วย โชคดีนะคะที่ดิฉันปรุงอาหารทะเลเก่งกว่าแม่บ้านคนอื่นที่นี่”
แม่บ้านคนใหม่ทยอยหยิบจานอาหารจากรถเข็นวางลงบนโต๊ะกินข้าวหล่อนชวนคุยเจื้อยแจ้วตลอดเวลาที่จัดโต๊ะ ผมแปลกใจแกมทึ่งจนถึงกับเงยหน้ามองหล่อนเต็มตาเป็นครั้งแรก พอสบตากันหล่อนก็ส่งยิ้มกว้างมาให้ก่อนทำหน้าสลดวูบ
“โถ ดูคุณสิ ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกแล้วค่ะ”
สีหน้าเป็นห่วงอย่างจริงใจของหล่อนทำให้ผมสงสัย ทำไมต้องห่วงผมด้วยล่ะ ไม่สิ หล่อนห่วงผมจริงหรือ คำถามเหล่านั้นผุดพรายขึ้นมาในห้วงความคิด ทันใดนั้นก็มีเงาทะมึนตระหง่านพาดทับใบหน้าแม่บ้านคนใหม่อย่างเงียบเชียบ
แทกูกยอง เขาแยกเขี้ยวด้วยท่าทางมาดร้าย
อย่าแตะต้องซึงโดนะ
แม่บ้านคนใหม่ชะงัก ทว่าไม่มีท่าทีหวั่นกลัว ไหล่ของหล่อนเกร็งเล็กน้อยคล้ายตกใจ แต่แล้วก็พูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
“ตกลงค่ะคุณหนู เชิญรับประทานอาหารกันก่อนเถอะค่ะ”
ดูจากท่าทีของหล่อนคล้ายเข้าใจคำพูดของแทกูกยอง แม่บ้านคนใหม่อาจมีเลือดของเผ่าพันธุ์อสูรอยู่ในกายก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม คำพูดกับบุคลิกของหล่อนดันทำให้ผมฉุกคิดถึงคุณป้าร้านขนมปังข้างบ้านที่ผมเคยอยู่สมัยเด็ก ๆ อ้อมกอดของคุณป้าติดกลิ่นหอมอบอวลของเนย หล่อนเป็นคนอบอุ่น ที่พอถูกผมในวัยเด็กอ้อนเรียกว่า “คุณป้าฮะ ๆ” หล่อนก็จะยิ้มใจดีพร้อมกับมอบขนมปังไส้ครีมกับครีมฮอร์นมาให้เต็มอ้อมแขน
ซึงโด กินข้าวสิ
แทกูกยองงับขากางเกงผมแล้วดึงเบา ๆ ผมซึ่งใช้โซฟานอนต่างเตียงหันหลังให้อย่างเงียบกริบเป็นการปฏิเสธคำชวนของหมอนั่นเช่นทุกครั้งเกิดความเงียบงันอันปวดร้าวขึ้นภายในห้อง
ตอนนั้นสภาพจิตผมย่ำแย่เต็มทนจากการใช้ชีวิตอย่างถูกกักขังมายาวนาน ผมไม่เหลือพลังใจที่จะมีชีวิตต่อ แต่ก็ขลาดกลัวเกินกว่าจะกัดลิ้นฆ่าตัวตาย สิ่งที่ทำได้มีเพียงยึดเอาอารมณ์เกลียดชังเผาผลาญเป็นเชื้อเพลิงให้มีชีวิตรอดไปวัน ๆ
แน่นอนว่าผมพุ่งเป้าความเกลียดชังไปที่แทกูกยอง ไม่ใช่เพราะเขาสมควรถูกเกลียดหรอก แต่เป็นเพราะเขายอมผมเสมอ ถึงถูกเกลียดก็ยังยอม แทกูกยองไม่กล้าทำร้ายผม เขาถึงต้องช้ำใจเพราะผมอยู่เสมอ แต่เขาก็ยังกระหายความรักใคร่เอ็นดูจากผม ฉะนั้นเขาจึงกลายเป็นเป้านิ่งให้ผมทุ่มความเกลียดชังเข้าใส่อย่างง่ายดาย
“คุณซึงโดเป็นแผลที่หลังด้วยค่ะ ถ้ายังไม่อยากกินข้าว ให้ดิฉันดูแผลให้ก่อนไหมคะ”
ผมเงียบ แม่บ้านคนใหม่ถือเอาความเงียบของผมเป็นคำอนุญาตหล่อนจึงเดินมาใกล้ คราวนี้แทกูกยองไม่ขวาง ปลายนิ้วอบอุ่นของหล่อนจึงไล้เบา ๆ ไปบนแผ่นหลังที่เปล่าเปลือยของผม
“โดนคุณหนูเกเรข่วนนี่เอง เดี๋ยวดิฉันจะล้างแผลและทายาให้ แสบหน่อยนะคะ”
พูดจบสักพักจมูกผมก็ได้กลิ่นยาฆ่าเชื้อฉุน ๆ ขณะที่หล่อนทำแผลให้ผมอย่างเบามือ ในที่สุดผมก็ตระหนักได้ว่าทำไมถึงรู้สึกประหลาดตั้งแต่หล่อนเข้ามาในห้อง
นี่เป็นครั้งแรกที่คนที่เข้ามาในห้องนี้พูดกับผมโดยตรง หล่อนคุยกับผมเป็นคนแรก
ส่วนใหญ่คนรับใช้ที่นี่จะทำงานกันอย่างเงียบกริบ หากต้องทำสิ่งที่ต้องขออนุญาต พวกเขาก็มักจะบอกกับแทกูกยอง ทว่าไม่เคยถามความเห็นผมในเรื่องต่าง ๆ เลย ต่อให้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผมโดยตรง เช่นอาหารหรือที่นอนก็เถอะ เพราะในสายตาพวกเขา ผมเปรียบเสมือนสิ่งของหรือไม่ก็ส่วนประกอบชิ้นหนึ่งที่พ่วงมากับแทกูกยอง
“คุณซึงโด ปีนี้คุณอายุเท่าไรแล้วคะ”
“…”
“สิบเจ็ดสิบแปด ประมาณนี้หรือเปล่าคะ ร่างกายคุณกำลังเติบโตถึงไม่นึกอยากอาหาร แต่ก็ต้องกินให้ครบสามมื้อนะคะ ขืนปล่อยให้ตัวเองขาดโภชนาการที่ดี สุขภาพกายและใจจะไม่แข็งแรง คุณหนูเองก็เหมือนกันคุณซึงโดต้องมาอยู่แบบนี้เพราะใครกันคะ ไหนว่าชอบเขามาก แล้วทำไมทำแบบนี้คะ ดูซิ ทั้งตัวคุณซึงโดมีแต่รอยแผล”
แทกูกยองผู้คอยสอดส่องอยู่ใกล้ ๆ พลันโพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
ฉันชอบเขาจริง ๆ ฉันเอ็นดูซึงโดมาก ส่วนแผลพวกนั้นน่ะ…
แทกูกยองเงียบไปอึดใจเดียวก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเบาลงอย่างหดหู่
ฉันไม่ได้เจตนา แต่เมื่อวานเป็นคืนวันเพ็ญนี่นา ฉันไม่ได้อยากทำให้เขาเป็นแผลจริง ๆ นะ ฉันคิดว่าตัวเองอดทนได้ดีแล้ว แต่รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นแบบนี้
แทกูกยองย้ำคำว่า “ฉันไม่ได้เจตนา” ซ้ำ ๆ ราวกับจะแก้ตัว ส่วนผมผู้ผ่านคืนวันเพ็ญอันแสนทรมานมากับเขาคืนแล้วคืนเล่าย่อมรู้ดีว่าแทกูกยองพูดความจริง อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยกางเล็บใส่ผมตราบเท่าที่ยังเหลือสติสัมปชัญญะ
น่าจะตั้งแต่ตอนแทกูกยองอายุสักสิบสามสิบสี่ปีกระมังที่เขาเริ่มระแวดระวังและจับสังเกตอาการของผมเสียจนผมอึดอัด พฤติกรรมอาละวาด กัดข่วน และงอแงขอให้กอดยามจับไข้ของเขาก็เริ่มหายไปในช่วงนั้น
ส่วนใหญ่แทกูกยองจะพยายามอดทนผ่านคืนหฤโหดที่เจ็บปวดจนแทบฉีกทึ้งร่างของตัวเองเพียงลำพัง จวบจนสติสัมปชัญญะกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ถึงค่อยลากร่างกายที่หมดสภาพมาวางหัวเกยกับปลายเท้าของผม
เมื่อคืนวานแทกูกยองอดทนได้ดี แต่มีอาการกระตุกเล็กน้อยระหว่างหลับ ไม่รู้เป็นเพราะฝันร้ายหรือเพราะเจ็บปวดจึงเผลอปัดป่ายเล็บมาข่วนโดนผมจนเป็นแผล
“ได้เลียแผลให้เป็นการขอโทษหรือยังคะ”
จะเลียได้ยังไงเล่า คนนี้น่ะ แค่ถูกตัวนิด ๆ หน่อย ๆ ก็รังเกียจฉันแทบแย่แล้ว
แทกูกยองตอบด้วยน้ำเสียงขัดเคืองระคนอัดอั้น แม่บ้านคนใหม่เดาะลิ้นแล้วถอนใจเฮือก เท่านี้หล่อนก็พอเดาสถานการณ์คร่าว ๆ ออกแล้วหล่อนแตะไหล่ผม
“คุณซึงโด แข็งใจลุกมากินข้าวสักช้อนเถอะค่ะ ดิฉันอุตส่าห์เข้าครัวตั้งสองชั่วโมงปรุงสารพัดเมนูมาให้ มีทั้งโจ๊กหอยเป๋าฮื้อ ปูหิมะนึ่ง แล้วก็ซุปกระดูกวัวเคี่ยวอย่างดี เลือกกินแค่อย่างเดียวก็ได้ค่ะ”
น่าทึ่งนัก คำพูดของหล่อนทำให้ผมหวนนึกถึงกลิ่นและรสของอาหารในความทรงจำเลือนรางจนรู้สึกหิวขึ้นมา ภาพต้มจืดที่จืดสนิทสมชื่อข้าวสวยแฉะ ๆ กับไข่ม้วนหน้าตาประหลาดฝีมือแม่ผู้ทำอาหารไม่เป็นพลันปรากฏขึ้นในสมอง
ผมค่อย ๆ หยัดตัวลุกขึ้นนั่งแบบเสียมิได้ พอแม่บ้านคนใหม่เห็นว่าผมให้ความร่วมมือก็กล่าวเชิญชวนให้ผมลองชิม บนโต๊ะมีสำรับอาหารหลากหลายจริงตามคำอวดอ้างของหล่อน
กี่ปีแล้วนะที่ไม่ได้เห็นอาหารที่ปรุงอย่างพิถีพิถันแบบนี้
ผมฝืนหยิบช้อนขึ้นมาตักซุปเคี่ยวกระดูกวัวเข้าปาก รสกลมกล่อมไร้กลิ่นคาวของน้ำแกงปลุกประสาทปลายลิ้นที่หลงลืมรสชาติอาหารไปแล้วขึ้นมาใหม่ ปลุกกระทั่งสารพันความทรงจำที่ผมจงใจฝังเก็บให้ลึกที่สุดเพราะเจ็บปวดเกินกว่าจะนึกถึง
แม่ของผมเคยใช้เวลาตั้งสองสามวันในการเคี่ยวกระดูกขาวัว น้ำแกงที่ได้จะมีเต็มสองหม้อใหญ่ ทำครั้งเดียวก็ต้องกินแทบทุกมื้อไปอีกเป็นเดือน พูดตรง ๆ ผมก็เบื่อนะ แต่ไม่เคยบ่น ไม่ใช่เพราะผมเป็นเด็กดีอะไรหรอก แต่เป็นเพราะต่อให้เป็นอาหารที่แม่คุยนักหนาว่าเป็นเมนูสุดพิเศษสุดท้ายแม่ก็ปรุงออกมาล้มเหลววันยังค่ำ
คิดถึงเจ้าซุปกระดูกวัวจืดชืดฝีมือแม่จัง
ดวงตาผมแดงรื้นขึ้นมา ผมฝืนกลั้นไว้แล้ว แต่สุดท้ายเสียงร้องไห้ที่เก็บกดมาตลอดก็ปะทุออกมา น้ำตาของผมพรั่งพรูดุจทำนบที่ต้านห่าฝนไว้ไม่อยู่
ผมเทข้าวใส่ในน้ำซุปแล้วตักขึ้นมาเคี้ยวช้า ๆ น้ำตาของผมร่วงผล็อยจากแก้มหล่นลงถ้วยน้ำแกง หยดแล้วหยดเล่า ทำเอาน้ำซุปกลมกล่อมเจือรสเค็มปะแล่ม ๆ
ผมยังจำความนิ่งงันเบื้องหน้าสายตาพร่าเลือนของตัวเองในตอนนั้นได้ดี แม่บ้านคนนั้นกับแทกูกยองไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ทั้งสองคนเฝ้ามองผมกินข้าวแบบเงียบกริบ
“แปด…ครับ”
หล่อนที่กำลังเก็บถ้วยชามที่พร่องลงไปแค่หนึ่งในสี่ออกไปหันมามองผมตาโต
นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้เอ่ยปากกับแผ่นหลังของแม่บ้านคนนั้น ผู้ซึ่งกลายมาเป็นคุณแม่นมของสกุลแทในปัจจุบัน
“ถ้าแทกูกยองอายุสิบเจ็ดปี…ผมก็อายุยี่สิบแปดปีครับ”
ที่ผ่านมาการนับวันนับคืนกลายเป็นเรื่องไร้ความหมาย ผมเพิ่งตระหนักได้ในวันนั้นว่าผมถูกพาตัวมาอยู่ที่นี่นานสิบสองปีแล้ว ยากจะเชื่อว่าผมอายุใกล้จะสามสิบเข้าไปทุกที ทั้งที่ผมยังรู้สึกเหมือนตอนเด็ก ๆ ว่าวัยเรียนคล้ายจะดำเนินอยู่เรื่อยไป ส่วนการมีอายุขึ้นเลขสองก็ยังอีกนานเหลือเกิน
ถึงร่างกายจะเจริญเติบโต แต่จิตใจของผมหยุดนิ่งอยู่ที่อายุสิบหกทั้งที่วัยยี่สิบแปดปีควรเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว แต่ผมยังคงมีความคิดอ่านเหมือนเด็ก ๆ นิสัยยังคงขลาดเขลา อ่อนแอ และขี้ตื่น สำนึกนั้นจู่โจมผมราวกับฟ้าผ่าลงกลางกระหม่อม ส่งผลให้ผมยิ่งสมเพชตัวเอง
แม่นมกอดผมเงียบ ๆ ผมยังจำได้ว่าหยดน้ำตาอุ่น ๆ ของหล่อนร่วงหล่นลงมาบนไหล่ ไออุ่นจากร่างแม่นมอ่อนโยนจนผมแทบละลาย เป็นสัมผัสที่ทำให้ผมละอายแก่ใจกับการกัดฟันทนหลอกตัวเองตลอดมาว่าชีวิตนี้ไร้ความหมาย
ฉันไม่มีทางเหงา
ผมยอมรับอย่างยากเย็นว่าตัวเองคิดถึงไออุ่นเช่นนี้จนเสียดแทงหัวใจ

คอมเมนต์

Chapter List