White Night ตอนที่ 1-5
บทที่ 1 (5)
“หืม เรื่องอะไรล่ะ”
“คือว่า…ลูกตนที่สองของสกุลแทน่ะครับ”
ประเด็นร้อนแรงที่สุดในหมู่ชาวอสูรขณะนี้หลุดจากปากของยองการกำเนิดของอสูรน้อยตนนั้นเป็นที่กล่าวขวัญแพร่หลายขนาดที่กลบข่าวงานสมรสของแทกูกยองเสียสนิท แววตายอนฮีคมกล้าขึ้น หล่อนหยัดกายขึ้นนั่งตัวตรง
“อ๋อ หมายถึงแทอึนกยองสินะ ทำไมหรือ”
“อสูรน้อยตนนั้นเติบโตได้อย่างปลอดภัยแน่นอน เพราะมีแม่แท้ ๆเป็นผู้ชี้ทาง…เพราะงั้นพอโตเข้าวัยผู้ใหญ่ เธอก็คงจะแข็งแกร่งเท่าแทกูกยองสินะครับ”
ไร้คำตอบจากยอนฮี หล่อนเอาแต่นิ่งเงียบ ถึงแม้การกำเนิดของแทอึนกยองจะเป็นประเด็นฮือฮาแม้แต่ในหมู่ชาวอสูรต่างแดน แต่หล่อนยังไม่เคยคิดไปไกลเกินกว่านั้น
หากมองด้วยสายตามนุษย์ คงพออธิบายได้ว่าแทอึนกยองเกิดในร่างของเด็กเพศหญิงที่แข็งแกร่งแบบเพศชาย แล้วก็ดันเป็นเพศชายที่มีพละกำลังยอดเยี่ยมและแข็งแรงอย่างที่สุด ซึ่งนับเป็นการกลายพันธุ์อันผิดจากกฎธรรมชาติไปไกลโข
“ไม่รู้สิ ยังยากที่จะสรุป แต่แทอึนกยองมีสายเลือดราชันย์แบบนั้นก็ย่อมต้องมีร่างกายแข็งแกร่งระดับสูงสุดอย่างแน่นอน”
“แต่อสูรเพศเมียมีสิทธิ์ขอรับการไว้ชีวิตเมื่อเกิดเหตุสู้รบนี่ครับพวกเราเองก็ยอมรับเรื่องนั้น ถ้าเด็กนั่นโตขึ้นแล้วเป็นผู้ก่อเหตุสู้รบเสียเองจะเกิดกรณีไม่เป็นธรรมต่ออริของเธอไหม”
“ถ้าเป็นปัญหานั้นละก็ตอบง่ายมาก” ยอนฮีตอบได้อย่างไม่ลังเลผิดจากเมื่อครู่
“แทอึนกยองจะไม่อ่อนแอขนาดร้องขอให้ใครไว้ชีวิตเธอหรอกอีกอย่างนะ ศักดิ์ศรีของการที่ตัวเองเป็นถึงลูกสาวแทกูกยองคงทำให้เธอไม่ยอมก้มหัวให้ใครง่าย ๆ เดิมทีอสูรเลือดราชันย์ก็ไม่ได้ถือกำเนิดมาเพื่อที่จะเข่นฆ่า แต่เกิดมาเพื่อปกป้องเหล่าบริวารต่างหาก พี่ก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะมีใครกำราบเด็กนั่นได้ไหม แต่ถึงมี แทอึนกยองเองก็คงไม่ยอมขอสิทธิ์ไว้ชีวิตแน่ ที่เราปกป้องเพศเมียก็เพราะข้อจำกัดเรื่องความแข็งแกร่งทางร่างกาย ผู้แข็งแกร่งก็สมควรปกป้องผู้อ่อนแอนั่นละ สรุปแล้วปัญหาจะไม่เกิดเพราะประเด็นที่ว่าเป็นเพศชายหรือเพศหญิงหรอก”
“แบบนี้นี่เอง ถ้าสมมติผมเกิดต้องประมือกับแทอึนกยอง คงเงอะงะน่าดู เพราะร่างกายคุ้นเสียแล้วว่าต้องไม่ทำร้ายเพศเมีย”
ยอนฮีเดาะลิ้นจึ้กจั้กใส่คำพูดขึงขังทว่าไร้เดียงสานั้น
“เลิกคิดเถอะ ถ้าเกิดประมือกันจริง ๆ นายเผ่นให้ไวที่สุดก็แล้วกันไม่ก็หาจังหวะเผลอ ๆ โจมตีจุดตายไว้ก่อน ไม่งั้นนายตายแหง ขืนมัววางมาดนักบุญต่อหน้าคู่ต่อสู้ที่อันตรายปานนั้น ชีวิตนายมีหวังจบเห่”
ยองนึกอยากเถียงว่า “ผมก็เก่งพอตัวนะ” แต่ยั้งปากไว้ทัน ด้วยนึกออกว่าแทกูกยองจับไต๋เล่ห์กลเร้นกายซึ่งเป็นอาวุธเด็ดของสกุลยอได้แล้ว ต่อจากนี้จะไม่มีอสูรตนใดเร้นกายพ้นสายตาเจ้าบ้านสกุลแทอย่างสมบูรณ์ได้อีก และแน่นอนว่าลูก ๆ ของแทกูกยองย่อมจะได้เรียนรู้ชั้นเชิงเหล่านี้จากพ่อครบทุกประการ
“ที่ต่างแดนก็ยังไม่เคยมีประมุขอสูรที่เป็นหญิงใช่ไหมครับ”
ยองโพล่งถาม ยอนฮีพยักหน้าด้วยกิริยาสงบนิ่ง
“ยังไม่เคยมีนะ ทำไมหรือ กังวลว่าแทอึนกยองจะได้เป็นประมุขอสูรรึไง”
“พูดตรง ๆ ก็กังวลนิดหน่อยครับ ถ้าเธอเหมือนแทกูกยองไปยันนิสัยบ้าบิ่น แถมกระหายอำนาจอีก โลกจะไม่วุ่นวายระดับหายนะหรือเนี่ย”
“อย่าห่วงเลย ยิ่งสืบสายเลือดของสกุลแทเข้มข้น อสูรก็ยิ่งมีนิสัยเกียจคร้าน ไม่รู้ทำไมสิน่า เจ้าพวกอสูรสกุลแทผู้รักสบายถึงได้พละกำลังแข็งแกร่งไปครอง สวรรค์ก็ช่างจัดสรรไม่ยุติธรรมเอาซะเล้ย”
ความหวาดวิตกของยองถูกกำจัดไปจนหมดสิ้น เขาแอบโล่งใจและคิดว่าโชคดีจริง ๆ ที่ได้ฟังคำวิเคราะห์อย่างมั่นอกมั่นใจของยอนฮี
“ผมจูกยอง ผู้ดูแลบันทึกเผ่าพันธุ์อสูร จะขอลงรายละเอียดการสมรสครั้งนี้อย่างเป็นทางการในบันทึกโบราณ ทั้งสองท่านมีอะไรจะแย้งไหมครับ”
จูกยองกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ อีซึงโดได้กลิ่นคุ้นเคยจาง ๆ จากกายอสูรตนนี้ เขามีกลิ่นเดียวกับอีวอนพโย ชายที่ตนคงพูดว่าสนิทกันไม่ได้ แต่ก็เป็นผู้มีพระคุณนั่นเอง จูกยองคงมีเชื้อสายสกุลอีเช่นกัน
คงเพราะเกิดความรู้สึกสนิทใจขึ้นมาปุบปับ อาการเกร็งเครียดบริเวณต้นคอจึงผ่อนคลาย อีซึงโดยิ้มบางขณะกล่าวตอบ
“ไม่มีครับ”
แทกูกยองก็ส่ายหัวเช่นกัน
“ไม่มี”
อีซึงโดลอบส่งสายตาดุ ๆ ใส่แทกูกยอง ถึงจะคะเนอายุจากรูปลักษณ์ของอสูรชายตรงหน้าได้ยาก แต่จูกยองน่าจะเป็นรุ่นพ่อแล้ว คำตอบห้วนสั้นของแทกูกยองจึงดูไม่น่ารักสำหรับอีซึงโด ผู้คุ้นเคยวิถีชีวิตแบบมนุษย์แทกูกยองมุ่นคิ้วคล้ายรำคาญใจ แต่เพราะชอบสวมบทสามีผู้อยู่ในโอวาทภรรยาเป็นทุนเดิม เจ้าบ้านหนุ่มเลยแก้คำพูดเสียใหม่
“ไม่มีครับ”
จูกยองเขียนเหตุการณ์ลงบันทึกโบราณต่อหน้าทุกคน จากนั้นก็ให้ยอนฮีประทับตรารับรองข้อความที่เพิ่งบันทึกใหม่ เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนสมรสอย่างเป็นทางการ ในงานไม่มีทั้งคำกล่าวอวยพรของประธานในพิธีหรือร้องเพลงฉลองใด ๆ ต่อ
ยอนฮีเก็บตราประทับใส่อกเสื้อ หล่อนส่งยิ้มและยื่นมือให้อีซึงโด
“ยินดีด้วยค่ะ ขอให้พวกคุณครองคู่อย่างมีความสุขกันจนแก่เฒ่า”
“ขอบคุณครับ”
อีซึงโดจับมือหล่อน ดวงตายอนฮีโค้งตามรอยยิ้มดุจจันทร์เสี้ยว
“โชคดีจังที่ได้คุณมาอยู่ในความดูแลของเผ่าพันธุ์เรา คุณมีพลังที่ดีจริง ๆ”
“พลังหรือครับ”
“ผู้ชี้ทางแต่ละคนก็มีความแตกต่างเช่นเดียวกับที่ไม่มีอสูรตนไหนเหมือนกันนั่นละ กลิ่นกับสัมผัสของผู้ชี้ทางต่างกันจากรากพลังในกายสมัยโบราณเคยมีผู้ชี้ทางคนหนึ่งทำลายราชวงศ์ย่อยยับ ได้ยินว่ารอยสัมผัสของเขาเหมือนยาเสพติด ใครได้เข้าใกล้สักครั้งก็ยากจะถอนตัว แต่พลังของคุณซึงโดกระจ่างและสะอาดเหลือเกิน รากพลังที่ไร้ความเห็นแก่ตัวแบบนี้คงสืบทอดมาจากบรรพบุรุษของคุณน่ะค่ะ”
“อ๋อ”
นี่เป็นเรื่องที่อีซึงโดคาดไม่ถึง ผู้ชี้ทางสายเลือดเดียวกันหรือ หากยังมีชีวิตอยู่ก็คงแตกฉานซ่านเซ็นเพื่อหลบให้ไกลสายตาเหล่าอสูร อีซึงโดเองก็เคยเจอญาติเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
แน่นอนอีซึงโดลืมใบหน้าของพวกเขาไปแล้ว จำได้เพียงสัมผัสที่เห็นใจระคนเป็นห่วงตอนที่พวกเขาลูบศีรษะสมัยเด็ก ๆ แล้วพูดว่า “เธอคือซึงโดสินะ” แต่ทั้งหมดนั้นก็เลือนรางเต็มทน
พวกเขาเป็นอย่างไรบ้างนะ
ญาติ ๆ ที่อีซึงโดเคยพบเป็นมนุษย์ธรรมดา แม้จะสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ต้องคอยหลบซ่อนเหมือนเขากับแม่ แต่อีซึงโดจำได้ว่าทุกคนตื่นตัวและระมัดระวังตัวกันจนชิน
อีซึงโดนึกสงสัยชีวิตความเป็นอยู่ของญาติ ๆ ที่เคยเจอ ซึ่งแน่นอนไม่ใช่เพราะเหตุผลเชิงอารมณ์ว่าคิดถึงแต่อย่างใด
ข่าวการตายของแม่รู้ถึงหูของพวกเขาหรือยังนะ
หากมีคนพบศพแม่ ตำรวจคงหาทางแจ้งไปยังเครือญาติ พวกเขาอาจจะจัดงานศพให้แม่ก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้มากกว่าว่าบิดาของแทกูกยองคงกำจัดศพแม่ชนิดไม่ทิ้งร่องรอยไปก่อนแล้ว
“คุณซึงโด?”
เสียงเรียกปลุกอีซึงโดจากภวังค์ “อ๊ะ ครับ” พอเห็นเขาขานรับยอนฮีถึงได้ปล่อยมือ หล่อนส่งยิ้มมาให้
คอมเมนต์